เมื่อต้องรับมือกับผู้ที่ฝึกฝนพลังปีศาจ สี่ตระกูลใหญ่ก็ต้องการกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก
แม้แต่บรรดาเชื้อพระวงศ์ก็ยังต่อต้านการฝึกฝนพลังปีศาจเป็นอย่างมาก
เพราะในจักรวรรดิจ้านหลงแห่งนี้มีตำนานเล่าขานกันอยู่เรื่องหนึ่ง
ในตำนานเก่าแก่ที่เล่าขานกันมาเป็นเวลาหลายพันปีกล่าวไว้ว่าเดิมทีแผ่นดินนี้มิได้ถูกปกครองโดยมนุษย์
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทั้งแผ่นดินกลับตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชายหนุ่มผู้มีสายเลือดปีศาจไหลเวียนอยู่ในตัว
แต่เขาคนนั้นกลับไม่สนใจในเรื่องของอำนาจเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้โลกภายนอกจะรุ่งเรืองเพียงใด มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา
เขาใช้ชีวิตอยู่แต่ภายในวังของเขาเท่านั้น มีรูปโฉมอันงดงาม และชีวิตอมตะที่ทุกคนต่างก็อิจฉา เป็นปีศาจที่กุมโลกทั้งใบเอาไว้ในกำมือ
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หรือมนุษย์ ก็ล้วนแต่มีความเลื่อมใสศรัทธาในตัวเขามากจนผิดวิสัย
ทุกคนต้องการที่จะเข้าใกล้เขา แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกเกรงกลัวเขาอยู่ในใจ
แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่อาจทนอยู่ใต้การปกครองของปีศาจได้ตลอดไป
ด้วยเหตุนั้น บรรดาตระกูลผู้ทรงอิทธิพลจึงสั่งให้หญิงสาวนางหนึ่งเข้าใกล้เขา
หญิงสาวนางนั้นไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบนโลกใบนี้จะยังมีคนที่สูงส่ง และสง่างามคนอื่นนอกจากตัวเองอยู่
เขาทำเพียงแค่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ไม่แม้แต่จะชายตามามองนางเสียด้วยซ้ำ แต่กลับมองป่าที่อยู่นอกหน้าต่างด้วยท่าทางเย็นชาไม่แยแส เขาเท้าคางยันใบหน้าด้านหนึ่งของตนเอาไว้ พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อเทียบกับรอยยิ้มนั้น ฟ้าดินที่มีสีสันก็ถึงกับซีดลงไปถนัดตา
เพียงแค่นั้นหญิงสาวก็ตกหลุมรักชายคนนี้เข้าอย่างจัง แต่แล้วในตอนสุดท้าย นางก็เลือกที่จะทรยศต่อเขาเพื่อให้มวลมนุษย์ได้ปกครองแผ่นดินนี้
นางร่วมมือกับหลวงจีนอีกสองรูป หลวงจีนทั้งสองนำเอาเลือดและพลังชีวิตอันบริสุทธิ์ของตนมาสร้างเป็นพลังเวทอันกล้าแกร่ง พวกเขาเดินทางไปตามแนวเขาทั่วทั้งแผ่นดิน เหนือ ใต้ ออก ตก พวกเขาติดตั้งผนึกซึ่งมีพลังในการปราบอสูรและกำจัดปีศาจเอาไว้ทั้งสี่ทิศ
ในคัมภีร์เต๋ามีการบันทึกช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้เอาไว้เพียงสั้นๆ ว่า “ในยามนั้น ผืนดินเกิดการทรุดตัวก่อนจะแยกออกจากกัน ภูตผีร่ำไห้ ปวงเทพคร่ำครวญ เกิดฝนเลือดตกจากฟ้าเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนติดต่อกัน ฝูงปีศาจถูกจองจำเอาไว้ใต้พื้นพิภพชั่วกัปชั่วกัลป์ มิอาจได้เห็นดวงตะวันอีกเป็นครั้งที่สอง”
ทุกอย่างเพียงเพื่อล่อให้ผู้ชายคนนั้นมาติดกับ เพราะหญิงสาวรู้ดีว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด ต่อให้เขาจะอ่อนกำลังลง พวกนางก็ยังไม่สามารถกำราบเขาได้อยู่ดี
ยิ่งกว่านั้นข้างกายของเขาก็ยังมีกิเลนอัคคีซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถควบคุมธาตุทั้งสี่ได้อยู่ด้วย!
แล้วก็เป็นไปตามนั้น
ชายคนนั้นหายตัวไป กระทั่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สี่ธาตุอย่างกิเลนอัคคีก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส และสุดท้ายจึงถูกกักเอาไว้ในป่าวิญญาณ
มีผู้คนพยายามจะฝึกมันให้เชื่องนับครั้งไม่ถ้วน จนถึงกับพยายามใช้พันธสัญญาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ควบคุมมัน แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับเป็นฝ่ายถูกมันจับกินครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อกิเลนอัคคีปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ยอดฝีมือจากสี่ตระกูลใหญ่ต่างก็พากันตื่นตระหนก เพราะว่ากันว่าคนที่กิเลนอัคคีเลือกจะมีโอกาสได้เป็นฮ่องเต้องค์ถัดไป!
มนุษย์ก็เป็นเสียอย่างนี้ เมื่อใดที่พวกเขาพบเจอสิ่งที่มีผลกระทบกับตนเอง พวกเขาก็มักจะตอบสนองด้วยการทำในสิ่งที่ตนจะได้ประโยชน์สูงสุดเสมอ ถึงขนาดที่กล้าลงมือฆ่ากันอย่างไร้ความปรานี ไม่ปล่อยให้มีผู้ใดหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!
องค์ชายสามไม่ได้ฝึกฝนพลังปีศาจเลยด้วยซ้ำ แต่คนพวกนั้นกลับปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้
หากคนอื่นรู้ว่านางมีปีศาจรับใช้อยู่ในครอบครอง นางสงสัยว่าคนเหล่านั้นจะจัดการกับนางอย่างไร
ดังนั้นเพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกใครจับได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงไม่เคยออกคำสั่งกับหยวนหมิงเลยสักครั้ง
แต่ในตอนนี้ นางหวังแค่ว่าการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของนางจะรวดเร็วพอ หากองค์ชายสามจับสังเกตไม่ได้ก็คงดี
เมื่อคิดได้ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหันไปมองทางชายหนุ่ม นางมองเขาและเห็นเพียงสีหน้าที่ดูค่อนข้างผิดปกติของเขาเท่านั้น มันเหมือนกับว่า…เขามองไม่เห็นอะไรเลย
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ” เฮ่อเหลียนขมวดคิ้วยาวได้รูปของตนเข้าหากัน พิษสลายกำลังไม่ได้มีฤทธิ์ทำให้คนตาบอดนี่นา
เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดังขึ้นเบาๆ “พิษจากเมื่อสิบปีที่แล้วกำเริบขึ้นมา”
“ท่านหมายถึงเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในวังหลวงนั่นน่ะหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง คนจากสี่ตระกูลใหญ่ช่างโหดเหี้ยมอำมหิตเสียจริง “ส่งมือมาให้ข้า”
ไม่ว่าพิษก่อนหน้านี้จะเป็นอะไร สิ่งแรกที่นางจำเป็นต้องรักษาคือพิษตัวปัจจุบัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือข้างซ้ายของตนออกมา
กระชากเพียงครั้งเดียว เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ฉีกแขนเสื้อของเขาออกเป็นชิ้นๆ แม้นางจะรู้ถึงความร้ายแรงของพิษชนิดนี้ดี แต่นางก็นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะแทรกซึมได้เร็วถึงเพียงนี้!
ไม่มีเวลาแล้ว ผิวหนังรอบๆ บาดแผลค่อยๆ กลายเป็นสีดำแล้ว
นางต้องคิดหาวิธีเดี๋ยวนี้!
หากนางมีเครื่องไม้เครื่องมือสักชิ้นอยูในมือ นางก็ยังพอที่จะทำการ ‘ผ่าตัดเล็ก’ ให้เขาได้ เมื่อก่อนนางเคยปลอมตัวมาหลายครั้ง การผ่าตัดเล็กๆ พวกนั้นจึงย่อมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง
แต่ตอนนี้ ไม่ใช่แค่ไม่มีเครื่องมือ แต่พวกคนชุดดำยังไม่ยอมรามือกลับไป จากนี้อีกไม่นาน พวกเขาจะต้องหาตัวพวกนางเจอแน่
แต่พิษชนิดนี้ไม่สามารถรอได้ หากพวกนางยังชักช้าไม่ทำการรักษา ก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่องค์ชายสามจะกลายเป็นคนพิการขึ้นมา!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคยได้ลิ้มรสชาติของการเป็นคนไร้ค่าในจักรวรรดิจ้านหลงมาแล้ว แทบทุกวัน ร่างที่นางอาศัยอยู่นั้นเปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจให้นางรู้ว่าเพียงเพราะไม่มีพลังปราณ นางจึงต้องทนทุกข์ถูกเหยียดหยามอยู่เสมอ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคยสูญเสียพลังปราณไปแล้วครั้งหนึ่งเพราะเหตุเพลิงไหม้
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าคนเรายอมรับการยกระดับทางฐานะจากต่ำไปสูงได้ง่ายๆ แต่การร่วงหล่นจากที่สูงมาสู่ที่ต่ำนั้นย่อมสร้างความเจ็บปวดอันยากที่ใครจะเข้าใจได้ให้กับเจ้าตัวอย่างแน่นอน
ยิ่งเป็นคนที่รักความสมบูรณ์แบบและอยู่เหนือคนอื่นมาตลอดอย่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ไม่ว่าอย่างไร หากไม่ใช่เพราะนาง เขาก็คงหลบลูกธนูดอกนั้นได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเรียวยาวคู่งามของอีกฝ่ายสูญเสียความเย็นชาดุจน้ำแข็งและความห่างเหินที่เคยมีไปจนหมดสิ้น ไม่มีแม้แต่แสงสะท้อนใดๆ เลยด้วยซ้ำ ผิวที่มือของเขาร้อนจี๋ ต่างจากในยามปกติ
เฮ่อเหลียนเวยเวยตกใจกับความร้อนจที่ออกมาจากร่างของเขา
ยิ่งกว่านั้น อุณหภูมิยังสูงจนน่าตกใจ “ท่านมีไข้นี่ เริ่มมีอาการตั้งแต่เมื่อไหร่” นางอยากรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากร่างกายของเขาเอง หรือเกี่ยวข้องกับพิษสลายกำลัง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางที่อยู่ห่างกับเขาเพียงแค่คืบด้วยสีหน้าซับซ้อน ทั้งสองอยู่ใกล้กันมากทีเดียว เพื่อหลบบรรดาคนชุดดำ ร่างทั้งร่างของนางจึงตกอยู่ในอ้อมแขนของเขา และดูเชื่อฟังมากกว่าทุกที
แต่…
“ไข้หรือ” ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยังเย็นชาไม่แยแสตลอดเวลา “ข้ามีไข้หรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็พูดอะไรแทบไม่ออก เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเริ่มมีไข้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“เอาอย่างนี้ ข้าจะถามอีกแบบก็แล้วกัน ท่านเริ่มรู้สึกปวดหัวตั้งแต่ตอนไหน” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองชายหนุ่มใช้นิ้วเรียวยาวของตนจรดลงที่หว่างคิ้ว ขณะที่ยกแขนเสื้อขึ้น เขาก็เริ่มจัดระเบียบความคิดของตน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางด้วยสายตาว่างเปล่า
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก “อย่าบอกนะว่าท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเริ่มปวดหัวตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ข้ารู้” องค์ชายเอ่ยกับนางสองคำอย่างใจลอย
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจยาวออกมา ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าพวกนางจะสื่อสารกันรู้เรื่องเสียที “เช่นนั้นเมื่อไหร่ล่ะ”
“วันที่เจ้าหนีไปจากข้า” แม้ท่าทางขององค์ชายจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ภายในความสง่างามนั้นก็เต็มไปด้วยความเย็นชาเสมือนคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงมาอย่างยาวนาน
เฮ่อเหลียนเวยเวย “…”
ตอนนี้มันเวลาไหนแล้ว องค์ชายสามยังมีอารมณ์มาเพิ่มความเครียดให้นางอีก!
เขาพยายามที่จะทำให้นางรู้สึกผิดมากขึ้นหรือ?!
ไม่สิ
องค์ชายสามไม่น่าจะเป็นคนที่มีนิสัยแบบนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเรียบเรียงความคิดของตนใหม่ “ท่านหมายความว่าท่านมีไข้มาเป็นเวลาสามวันสองคืนแล้ว” มีคนประเภทนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ สมกับที่ทุกคนกล่าวกันว่าองค์ชายสามไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเทพ!
“ข้าไม่มั่นใจ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้าลง สีหน้าไร้อารมณ์ยังคงไม่ทุกข์ร้อน แม้ว่าจะมีเลือดซึมออกจากบาดแผลของเขามากเพียงใดก็ตาม
นั่นประไร!
ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะยังไม่เลวร้ายนัก อย่างน้อยพิษสลายกำลังก็ยังไม่ซึมเข้าไปลึกถึงเพียงนั้น
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนมาหยุดลงตรงมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และโดยที่ไม่ต้องคิดให้มากความ นางก็สูดลมหายใจเข้าครั้งหนึ่งอย่างกล้าหาญ หลังจากนั้นก็ก้มลงอย่างรวดเร็ว…