“นางกลับไปก่อนแล้ว” ลุงจางดีดลูกคิดในมือ “การเดินทางรอบนี้มีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลย สรุปบัญชีทั้งหมดแล้วนำมารายงานข้า”
สีหน้าของเด็กรับใช้กลับสู่ความสงบ “ข้าไม่เคยเห็นหน้าตาของนายหญิงมาก่อนเลยขอรับ”
“ตั้งแต่วันที่เจ้าเข้ามาในเวยเจ๋อ ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วนี่ว่าความอยากรู้อยากเห็นไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับงานนี้” ลุงจางเก็บลูกคิด แล้วก็คล้ายกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันกลับมา แล้วเอ่ยว่า “จริงสิ นำคำพูดของนายหญิงไปบอกต่อให้คนอื่นๆ รู้ด้วยว่า ถ้าในอนาคตมีคนจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์มาขอซื้ออาวุธจากพวกเรา ให้บอกพวกเขาไปให้ชัดเจนว่าพวกเขาจำเป็นต้องจ่ายเพิ่มเป็นสิบเท่าจากราคาปกติ เราถึงจะยอมขายให้”
“สิบเท่า!” เด็กรับใช้หรี่ตาลงเล็กน้อย “คนของคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ไปยั่วโมโหนายหญิงได้อย่างไรกันขอรับ” ต่อให้นางต้องการที่จะหลอกเอาเงินของอีกฝ่าย แต่วิธีนี้ก็ไม่ต่างกับการเชือดอีกฝ่ายอย่างไร้ซึ่งความปรานี หลังจากที่คนของคฤหาสน์ผู้พิทักษ์รู้ข่าวนี้เข้า พวกเขาจะต้องโมโหเจียนตายเป็นแน่
ลุงจางยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า “ถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าจะยั่วโมโหใครก็ได้ แต่อย่าไปยั่วโมโหนายหญิง แม้แต่ในเวลาเรียน นางก็ยังสามารถสร้างอาวุธออกมาได้ทั้งๆ ที่อยู่ภายใต้สายตาจ้องจับผิดของอาจารย์ แล้วนับประสาอะไรกับการรับมือกับเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างบรรดาคุณหนูคุณชายพวกนั้นเล่า”
ภายในเวลาเพียงแค่เดือนเดียว นางก็ตีคู่ขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันกับคนที่มีชื่อเสียงในโลกของการสร้างอาวุธได้ นั่นจึงไม่ใช่แค่ว่านางสร้างอาวุธขึ้นมามากเพียงใด แต่มันยังขึ้นอยู่กับมันสมองของนางด้วย
สุดท้ายแล้วคนพวกนั้นก็ยังประเมินนายหญิงของเขาต่ำเกินไปอยู่ดี
นอกจากนั้นนายหญิงก็ยังมีอีกสถานะที่เป็นถึง ‘คุณหนูผู้เอาแต่ใจ’ ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงด้วย
นางเป็นคนที่ทุกคนต้องการที่จะเหยียบเอาไว้ใต้เท้า แม้แต่คนจากตระกูลขุนนางอย่างตระกูลเฮ่อเหลียนก็ถึงกับตัดชื่อนางออกจากตระกูลเลยทีเดียว
กับคนเช่นนี้ ใครหรือจะเชื่อว่านางคือนายหญิงของเวยเจ๋อผู้เป็นถึงปรมาจารย์ด้านการสร้างอาวุธที่ทำให้โลกของการสร้างอาวุธสั่นสะเทือนได้ด้วยมือเปล่า…
พูดจบ ลุงจางก็ก้าวเข้าไปในรถม้า เขาไม่รู้ตัวแม้แต่นิดเดียวว่าทันทีที่เขาออกเดินทางไปนั้น ในดวงตาของเด็กรับใช้ก็พลันมีแสงแสงหนึ่งวาบผ่าน ตามมาด้วยเสียงไอเล็กน้อย เด็กรับใช้คนนั้นเดินเข้าไปในตรอกเปลี่ยวร้างคับแคบอย่างเชื่องช้า นิ้วซีดๆ ของเขาปัดผ่านใบหน้าซีกหนึ่ง พร้อมกันนั้นชั้นผิวบางๆ ที่มองไม่เห็นก็ค่อยๆ แยกตัวออกมาจากใบหน้าที่เดิมเคยดูสุขภาพดี และสุดท้ายสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ก็คือใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวจนดูป่วยของใครคนหนึ่ง
“คุณชายขอรับ!”
ชายชุดดำโผเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น และเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาซื่อสัตย์ภักดี “ต่อไปนี้ ได้โปรดยกเรื่องพวกนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าน้อยเถิดขอรับ สุขภาพของท่าน…”
“ข้าไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน” คนคนนั้นไอออกมาเบาๆ สองครั้ง กลิ่นยาโชยออกมาจากแขนเสื้อยาวที่พลิ้วอยู่ในอากาศของเขา เสียงตอนพูดของเขาอ่อนโยนอย่างที่สุด และแตกต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง แสงจันทร์สาดส่องลงมากระทบใบหน้างดงามได้รูปของเขา หากคนคนนี้ไม่ใช่คุณชายจากตระกูลผู้ดีนามว่าจิ่งอู๋ซวง แล้วจะเป็นใครได้อีก
ไม่มีใครรู้ว่าเขามาที่เมืองอู่ซิวในครั้งนี้ นอกจากการหาหญิงสาวผู้เหมาะจะเป็นเจ้าของอาวุธของตนแล้ว เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเขาต้องการพบกับเจ้าของเวยเจ๋อที่ทุกคนเล่าลือกันสักหน
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับกลายเป็นว่าการเคลื่อนไหวของนางเป็นความลับยิ่งกว่าเขาเสียอีก เขาจึงทำได้เพียงแค่ปลอมตัวเป็นเด็กรับใช้ของเวยเจ๋อเพื่อเข้าใกล้นาง
เขารออยู่ที่เมืองอู๋ซิวมาตั้งสองวันเต็ม แต่ก็ยังไม่เห็นคนที่เรียกว่านายหญิงอะไรนั่นเลย
แต่ก็ยังถือว่าคุ้มค่าทีเดียว
ต่อให้ลุงจางจะรอบคอบเพียงใด แต่ก็ยากที่จะเลี่ยงไม่ให้เผลอเปิดเผยข้อมูลของคนคนนั้นออกมาตอนที่คุยกันได้
เช่นประโยคที่ว่า ‘แม้แต่ในเวลาเรียน นางก็ยังสามารถสร้างอาวุธออกมาได้ทั้งๆ ที่อยู่ภายใต้สายตาจ้องจับผิดของอาจารย์’
ประโยคนี้ชี้ชัดว่าคนคนนี้ไม่ใช่ปรมาจารย์สูงวัยเหมือนอย่างที่ทุกคนคิดเอาไว้
แต่นางเป็นลูกศิษย์สำนักหนึ่ง
ในจักรวรรดิจ้านหลงนั้น มีเพียงสำนักเดียวที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง และนั่นก็คือสำนักไท่ไป๋ที่ทุกคนล้วนแต่ใฝ่ฝันอยากเข้าเป็นศิษย์
จิ่งอู๋ซวงหลับตาลง สิ่งที่ถูกปิดบังเอาไว้ภายในคือประกายแสงจำนวนนับไม่ถ้วน ในเวลาเดียวกันเขาก็ออกคำสั่งกับคนที่อยู่บนพื้นว่า “ไปแจ้งคนที่สำนักไท่ไป๋ว่าข้าตอบรับคำเชิญของพวกเขา”
“เอ๋” ยากนักที่ชายชุดดำจะแสดงสีหน้าประหลาดใจเช่นนี้ออกมา “คุณชายขอรับ ท่านจะไปเป็นอาจารย์ของสำนักนั้นจริงๆ หรือขอรับ”
“ไม่ได้ไปสอน” จิ่งอู๋ซวงไอออกมาเบาๆ สองครั้ง รอยยิ้มที่อยู่ตรงมุมปากยังคงอ่อนโยนและงดงามเฉกเช่นเดิม “ข้าจะไปเป็นศิษย์”
ชายชุดดำตาโต อะไรนะ
คุณชายจะเป็นไปศิษย์หรือ
มันเรื่องตลกอะไรกันล่ะนี่ แม้แต่ฝีมือการสร้างอาวุธของท่านปรมาจารย์ก็ยังมิอาจเทียบชั้นกับคุณชายได้เลยด้วยซ้ำ
ถ้าเขาเข้าไปเป็นศิษย์ แล้วยังจะมีใครกล้ามาเป็นอาจารย์ของเขาอีกหรือ…
ชายชุดดำมีลางสังหรณ์ว่า ในอนาคตนั้นสำนักไท่ไป๋คงจะไม่มีวันคืนอันผาสุขอีกต่อไปอย่างแน่นอน…
“ข้าเข้าไปในสภาพนี้ไม่ได้ ข้าจำเป็นต้องสร้างตัวตนใหม่ให้ตัวเอง”
จิ่งอู๋ซวงครุ่นคิดเรื่องนี้ด้วยความรอบคอบ เขาจรดนิ้วลงบนหน้าผากแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย “ข้าไม่ต้องการถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนทุกวัน และขอให้ข้าช่วยสร้างอาวุธให้กับพวกเขา”
ดวงตาของชายชุดดำตกอยู่ในความคิดของตน “นอกจากท่านปรมาจารย์แล้ว อาจารย์ท่านอื่นในสำนักไท่ไป๋ก็ไม่เคยเห็นหน้าคุณชายมาก่อน น่าจะไม่มีใครรู้จักท่านตอนที่ท่านเข้าไปขอรับ”
“ในบรรดาคนที่เข้าร่วมการประลองเจ้ายุทธ์ในครั้งนี้มีลูกศิษย์ของสำนักไท่ไป๋รวมอยู่ด้วย” จิ่งอู๋ซวงกระแอม ดวงตางดงามอ่อนโยนราวกับน้ำหมึกที่ใช้วาดภาพจมอยู่ในภวังค์ คนที่ได้อาวุธของเขาไปก็เป็นหนึ่งในนั้น
ชายชุดดำขมวดคิ้วเข้าหากัน “คุณชายวางใจได้ขอรับ ข้าจะจัดการลูกศิษย์ทั้งสามคนที่ปรากฏตัวขึ้นในวันนี้ให้เอง นอกจากเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ข้าไม่คุ้นเคยแล้ว อีกสองคนที่เหลือจะไม่มีทางปากโป้งเรื่องฐานะของคุณชายอย่างแน่นอนขอรับ”
“นางก็คงไม่ปากโป้งเช่นกัน” น้ำเสียงของจิ่งอู๋ซวงแผ่วเบาขณะที่ถอนสายตากลับมา
ชายชุดดำแปลกใจ “คุณชายรู้ได้อย่างไรขอรับ”
“นางไม่ใช่คนที่ชอบเรื่องยุ่งยาก” จิ่งอู๋ซวงไอออกมาอีกสองครั้ง และทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มออกมาอย่างผิดวิสัย
มันเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจจริง ไม่เหมือนกับสีหน้ายิ้มแย้มที่แสร้งทำเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น
ชายชุดดำงุนงงเมื่อเห็นเช่นนั้น สถานการณ์นี้คืออะไรกัน เขาควรจะถามลุงเหลียงหรือเปล่าว่าในช่วงสองวันที่เขาไม่อยู่นั้นมันเกิดอะไรขึ้น
คุณชายถึงกับยอมพูดแทนคุณหนูผู้มีชื่อเสียงว่าเป็นจอมเอาแต่ใจของเมืองหลวงเชียวหรือ
เรื่องนี้มันดูแปลกเกินไปหรือเปล่า…
“ไปกันเถอะ” จิ่งอู๋ซวงหมุนตัวกลับ ท่วงท่าอันหล่อเหลานั้นทำให้เขาดูเหมือนชายหนุ่มสูงศักดิ์ผู้อบอุ่นจากภาพแขวนในสมัยโบราณ เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อนหรือกระวนกระวายว่า “เก็บข้าวของ แล้วเตรียมตัวเข้าสำนักไท่ไป๋ภายในสองวัน”
ชายชุดดำค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม แล้วรับคำว่า “ขอรับ! แต่…”
“ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ” จิ่งอู๋ซวงเห็นว่าเขาลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่าง จึงหันกลับไปมองทางชายชุดดำ
ชายชุดดำก้มศีรษะลงต่ำยิ่งกว่าเดิม “ตอนที่ข้าน้อยเข้ามาในเมืองหลวง ข้าน้อยเห็นยอดฝีมืออยู่หลายคน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาจากเมืองหลวง และน่าจะเป็นมือสังหารพลีชีพจากสี่ตระกูลใหญ่ขอรับ เพียงแต่ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าพวกเขามาที่เมืองอู่ซิวด้วยเหตุอันใด”
นิ้วของจิ่งอู๋ซวงหยุดชะงัก พร้อมกันนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองพระจันทร์เสี้ยวที่สุกสว่างเบื้องบน “วันเวลาในเมืองหลวงได้เปลี่ยนไปแล้ว ใครบางคนคงทนเฉยต่อไปไม่ไหวอีกแล้วกระมัง…”
“คุณชายหมายความว่าเป้าหมายของคนพวกนั้นคือองค์ชายสามหรือขอรับ!” เปลือกตาของชายชุดดำกระตุกขึ้นด้วยความประหลาดใจ แม้จะรู้ว่าตระกูลจิ่งนั้นเป็นกลางอยู่เสมอ อีกทั้งยังไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาระหว่างคนพวกนั้น แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่าตาแก่พวกนั้นช่างใจกล้ากันเหลือเกิน พวกเขากล้าถึงขนาดมาที่นี่เพื่อลอบสังหารองค์ชายสาม
แต่เขาก็ได้รับรายงานมาเหมือนกันว่าองค์ชายสามมาที่นี่เพียงลำพัง โดยไม่ได้พาใครมาด้วยเลยสักคน
ไม่แปลกเลยที่คุณชายกล่าวว่าวันเวลาภายในเมืองหลวงได้เปลี่ยนไปแล้ว
คราวนี้ เขาเกรงว่าองค์ชายสามคงได้เผชิญหน้ากับหายนะเข้าแล้วจริงๆ…