ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขา แล้วริมฝีปากบางของเขาก็เต็มไปด้วยพลังงานชั่วร้าย “ไม่หรอก ข้าจะทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อข้ายังไม่ได้จ่ายค่าเล่าเรียน ข้าจะต้องหาวิธีหาเงินเพิ่มอยู่แล้ว”
“แค่ก” เด็กชายหัวโล้นยังคงสำลักขณะที่ถือซาลาเปา พร้อมกับมองดูด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
แม้แต่คนที่คุมอารมณ์ได้ดีอย่างตู๋ซูเฟิง เมื่อเขาได้ยินคำตอบดังกล่าว ก็อดไม่ได้ที่จะเบะมุมปากของตนเอง ไอ้เจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้จะเสแสร้งมากเกินไปแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจว่าทำไมบรรยากาศในห้องหนังสือนี้จึงดูแปลกไป การมีคนมาช่วยฝึกซ้อม พร้อมกับหารายได้และมีวันหยุดไปพร้อมๆ กันเช่นนั้น นี่คงไม่มีข้อตกลงใดที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
“ข้าตกลง” เฮ่อเหลียนเวยเวยมักจะตัดสินใจเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็วอยู่เสมอ “แต่ข้าไม่มีคนที่จะแนะนำให้ได้”
นอกจากการนอนในห้องเรียนแล้ว หญิงสาวก็มักจะอยู่กับเพื่อนร่วมโต๊ะของนางเท่านั้น นอกจากนี้ นางก็จำคนอื่นๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“ข้ามี” ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่องประกายชั่วร้าย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หากเอาตัวอาเลี่ยมาด้วยก็คงได้ จะได้สนุกขึ้นอีกหน่อย”
เด็กชายหัวโล้นพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยัดซาลาเปาเข้าปากของตนเอง เพื่อห้ามตัวเองไม่ให้พูดอะไรออกมา
ตามความเข้าใจที่เขามีต่อพี่สาม คำว่า ‘จะได้สนุกขึ้นอีกหน่อย’ นั้น หมายถึงการกดดันอีกฝ่ายจนตายไปต่างหาก…
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังพาหนานกงเลี่ยมาอีกด้วย คนๆ นั้นเป็นราชาแห่งความชั่วร้ายเลยทีเดียว
หากสองคนนั้นร่วมมือกัน…
ไม่ว่าอย่างไร เขาจะต้องไม่เป็นตัวแทนของหอชั้นเลิศในการแข่งขันครั้งนี้อย่างเด็ดขาด
แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าองค์ชายเจ็ดนั้นคิดมากเกินไป อาจาย์คนใหม่ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งให้ดูแลหอชั้นเลิศ แม้ว่าจะไม่ได้ชัดเจนเหมือนจิ้งอู๋วั่ง แต่ในความคิดของเขา ก็ยังคงเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าจะต้องบดขยี้พวกขยะจากหอสามัญให้ได้ และเขาไม่จำเป็นต้องใช้ศิษย์อัจฉริยะอย่างองค์ชายเจ็ด หรือแม้แต่มู่หรงฉางเฟิง และเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เลยด้วยซ้ำ พวกเขาแค่คอยช่วยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเท่านั้นก็พอ
เพียงแค่มีคนเก่งๆ อยู่ในกลุ่มสักหนึ่งคนก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลากับคนจากหอสามัญมากจนเกินไปนัก แต่ในทางกลับกัน สำหรับหอชั้นดีนั้น เขาต้องการที่จะกำจัดคุณชายเฮยมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงต้องให้ความสนใจมากกว่านี้อีกหน่อย
ส่วนกลุ่มลูกศิษย์ที่เหลือ เขาเพียงแค่ลงมืออย่างไม่จริงจังนัก ก็สามารถกำจัดคนพวกนั้นได้หมดทุกคนแล้ว
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็คิดเช่นเดียวกันกับอาจารย์ประจำหอชั้นเลิศ การให้ผู้ฝึกปราณอย่างนางไปต่อสู้กับพวกขยะไร้ค่าจากหอสามัญ ก็มีแต่ด้อยค่านางลงไปเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือ เฮ่อเหลียนเวยเวยจะมีชื่อปรากฏบนรายชื่อของผู้เข้าแข่งขัน
นังแพศยานั่นควรจะต้องถูกไล่ออกไปจากสำนักไท่ไป๋ทันทีที่นางกลับมาเรียนแล้วไม่ใช่หรือ
หรือว่าเฮ่อเหลียนเหมยจะไม่ได้ทำตามคำสั่งของนางให้ดีพอ
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หลับตาลง และเริ่มรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าน้องสาวของตนเองคนนี้ นอกจากจะทำตัวอวดดีต่อหน้าคนอื่นแล้ว ยังไม่มีสมองอีกด้วย นางไม่สามารถแม้แต่จะจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ได้เลยด้วยซ้ำ
เฮ่อเหลียนเหมยไม่รู้เลยว่าตนเองทำให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ขุ่นเคืองเรื่องอะไร ตอนที่นางพบพี่สาวคนนี้ อีกฝ่ายก็มีท่าทีเย็นชาแล้ว
เฮ่อเหลียนเหมยไม่ใช่คนที่คุมอารมณ์ได้เก่งอยู่แล้ว นางจึงกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น และควบคุมน้ำเสียงไม่ให้ขุ่นเคืองอย่างยากลำบาก “พี่รอง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ท่านทำหน้าบึ้งตึงใส่ข้าตั้งแต่ที่ท่านกลับมาแล้ว”
“ทำหน้าบึ้งตึงเช่นนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หัวเราะอย่างเย็นชา “น้องสาม หากท่านพ่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นของเจ้า เจ้าก็คงจะไม่ได้ไปเรียนหนังสืออีกแล้ว ทำไมเจ้าไม่ลองหันไปมองดูก่อนว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วเจ้ายังพูดจาหยาบคายเช่นนี้อีก”
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเหมยไม่พอใจ แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับผิดเรื่องคำพูดของตนเอง ท่านพ่อตักเตือนนางจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หากนางทำผิดอีก ก็มีความเป็นไปได้ที่นางจะถูกส่งตัวออกจากสำนักไท่ไป๋จริงๆ
เมื่อถึงเวลานั้น นางก็คงจะต้องแต่งงานกับคนหน้าตาธรรมดาๆ หรือแย่กว่านั้น คือต้องแต่งงานกับขุนนางแก่ๆ สักคนก็เป็นได้
นางไม่ต้องการจะลิ้มลองรสชาติชีวิตแบบนั้น
“พี่รอง ข้าเป็นกังวลเกินไปเท่านั้น” เฮ่อเหลียนเหมยพึมพำด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ข้ากลัวว่าตัวเองจะทำให้พี่รองขุ่นเคืองใจ”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้จักน้องสาวคนนี้ดีกว่าใคร นางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ก่อนจะค่อยๆ ตอบกลับว่า “พวกเราเป็นพี่น้องกัน แล้วจะมีเรื่องอะไรให้ขุ่นเคืองใจกันเล่า ข้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง ตอนนี้ พลังปราณของเจ้ายังอยู่ในระดับธรรมดา เวลาผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่มีการพัฒนาครั้งใหญ่เลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป และเจ้ายังทำตัวไม่มีมารยาทอีก แล้วจะมีว่าที่สามีคนใดต้องการตัวเจ้าในอนาคตเล่า”
“พี่รองพูดถูก” เฮ่อเหลียนเหมยตอบด้วยรอยยิ้ม แต่หัวใจของนางไม่พอใจเลย นางไม่ใช่เด็กน้อยอีกแล้ว และนางก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่คำพูดทุกคำของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั้นกลับทิ่มแทงใจของนางยิ่งนัก
คงจะดีหากเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พูดจาดีขึ้นกว่านี้เล็กน้อย นางก็คงจะปล่อยวางมันได้ แต่ด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยามเช่นนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่เฮ่อเหลียนเหมยจะรับฟังด้วยความยินดี อย่างไรก็ตาม นางก็รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถหาเรื่องทะเลาะกับพี่สาวสายเลือดเดียวกันคนนี้ได้
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเชื่อฟัง เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เริ่มพูดถึงประเด็นหลัก “เจ้ากระจายข่าวลือที่ข้าบอกให้ไปพูดต่อแล้วหรือยัง”
เฮ่อเหลียนเหมยพยักหน้า “เรียบร้อย ข้าทำทุกอย่างตามคำสั่งของพี่รอง แต่นังแพศยานั่นกลับโชคดีอีกครั้ง ท่านปรามาจารย์ได้เข้ามาขอลาหยุดแทนนางด้วยตัวเอง และยังบอกอีกด้วยว่านางไม่ได้หนีตามผู้ชายไป แต่นางไปที่เมืองอู่ซิวแทน และดูเหมือนว่านางได้ไปเข้าร่วมงานประลองเจ้ายุทธ์อีกด้วย” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฮ่อเหลียนเหมยก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างเหยียดหยามและเย็นชา “คนอย่างนางต้องการจะเข้าร่วมงานประลองเจ้ายุทธ์ ช่างเป็นการหาเรื่องให้ตัวเองขายหน้าจริงๆ”
หากเฮ่อเหลียนเหมยไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เมืองอู่ซิวก็คงจะดีกว่านี้ แต่ในเมื่อนางพูดถึงเรื่องนี้มาแล้ว เจตนาร้ายในดวงตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ยิ่งเผยให้เห็นความฉุนเฉียวมากขึ้น ขณะเดียวกัน นางก็กำผ้าเช็ดหน้าของตนเอง และขยำมันจนเป็นก้อน
เมื่อเห็นท่าทีของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ เฮ่อเหลียนเหมยก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มีเรื่องอะไรเช่นนั้นหรือ
“นางพึ่งพาโชคดีได้อีกไม่นานหรอก” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะปล่อยผ้าเช็ดหน้าในมือ “นางคิดหรือว่าจะอาศัยวิธีการประจบสอพลอ เพื่อจะเล่นแง่อะไรได้อีก ช่างน่าขันยิ่งนัก”
เฮ่อเหลียนเหมยเห็นด้วยกับประเด็นดังกล่าว “พี่รองพูดถูก ข้าได้ยินมาว่า เอ่อ กองกำลังที่องค์ชายสามส่งมาได้ถอนกำลังออกไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาหมดความสนใจในตัวนังแพศยานั่นแล้ว”
“องค์ชายสามไม่เคยสนใจนางเลยต่างหาก” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เย็นชาอย่างมาก “แต่เขาแค่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของนาง และต้องการจะสอนบทเรียนให้กับนางเท่านั้น และตอนนี้ เขาก็รู้สึกว่าลำบากเกินไป ถึงเพิ่งจะเรียกกองกำลังกลับไป”
แต่ก็ไม่เป็นไร นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีเช่นกัน เพราะมันช่วยให้นางไม่ต้องรู้สึกว้าวุ่นใจอยู่ตลอดทั้งวันว่าองค์ชายจะปฏิบัติต่อนังแพศยานั่นด้วยความโปรดปรานเป็นพิเศษหรือไม่…
เฮ่อเหลียนเหมยไม่เข้าใจความคิดของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ นางเพียงแค่พูดเสียงดังก้องออกมาว่า “พี่รองก็ยังคงเป็นคนที่เข้าใจองค์ชายสามอย่างแท้จริง แต่เมื่อสองวันก่อน ในสำนักไท่ไป๋ลือกันว่ามีหญิงสาวที่งดงามราวกับนางฟ้าปรากฏตัวขึ้นในเมืองหลวง ข้าเคยเห็นคุณหนูทุกคนจากตระกูลผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงมาแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเจอใครที่สามารถสร้างความปั่นป่วนเช่นนี้ขึ้นมาได้เลย”
“ก็แค่หญิงสาวบ้านนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเท่านั้น” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นและเป่าปลายนิ้วสีแดงของตนเอง “นางดูยากจนและอวดดีแบบนั้น ยังจะเป็นนางฟ้าอยู่อีกหรือ หึ”
เฮ่อเหลียนเหมยตัวแข็งเกร็ง “พี่รองเคยเห็นนางแล้วเช่นนั้นหรือ”
“ข้าเคยเผชิญหน้ากับนางเลยล่ะ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นึกถึงใบหน้าของคนๆ นั้นที่ดูคุ้นเคย แต่นางก็นึกไม่ออกว่าคนๆ นั้นคล้ายกับใคร ดังนั้น นางจึงพูดจาดูถูก “ช่างมันเถอะ นางก็แค่มีผิวขาวใสนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
เมื่อเฮ่อเหลียนเหมยได้ยินว่าคนๆ นั้นเป็นเพียงหญิงสาวบ้านนอกคนหนึ่ง นางก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ข้าได้ยินมาว่าพี่รองได้รับอาวุธที่ดีมาชิ้นหนึ่งใช่หรือเปล่า ข้าขอดูมันได้หรือไม่”
“ยังไม่ได้อยู่ในมือของข้า ท่านพ่อจะไปเจรจากับคนที่นั่นก่อนการแข่งขันประลองยุทธ์” เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พูด นางก็นึกถึงหัวหน้าที่มองข้ามความหวังดีของผู้อื่นคนนั้น เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาได้เจอกัน นางจะต้องแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตนเองอย่างแน่นอน