ในอดีต หลังจากที่หยวนหลิงเซวียนพูดแบบนี้ เขามักจะได้ยินเสียงขานรับว่าเห็นด้วยดังตามมา
แต่วันนี้ ชายทั้งสี่คนกลับเงียบ ไม่ตอบรับ มันทำให้หยวนหลิงเซวียนอดไม่ได้ที่จะมองพวกเขาอย่างแปลกใจ “ทำไม พวกเจ้าคิดว่าสิ่งที่นายน้อยผู้นี้พูดผิดหรือ”
ในตอนแรก ชายทั้งสี่คนตัวแข็งเกร็ง แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็พยายามส่ายศีรษะอย่างรุนแรง พร้อมกับฝืนยิ้มออกมา “เปล่าขอรับ นายน้อยหยวนจะพูดผิดไปได้อย่างไรกัน”
“เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าก็กลับไปได้” หยวนหลิงเซวียนมองพวกเขาทั้งสี่คนที่โง่เขลาเป็นปกติอยู่แล้ว และจู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป
ข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ข้างเขาก็รู้สึกเช่นกัน เมื่อเขาได้ยินเจ้านายของตนพูด เขาก็เตรียมตัวส่งคนออกไปทันที ก่อนจะกลับมาพร้อมกับยิ้มหน้าบาน “นายน้อยขอรับ พวกข้าไปตรวจสอบมาแล้ว มีชายที่แข็งแกร่งคนหนึ่งอยู่ที่หอชั้นดี แม้ว่าพลังปราณของเขาจะไม่ได้ดีมากนัก แต่เขาก็ยังเป็นคนที่รับมือได้ยากอย่างแน่นอน มีเขาอยู่ เขาจะต้องสั่งสอนเด็กที่มองว่าตัวเองสูงส่งกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน”
“บอกผู้ชายที่แข็งแกร่งคนนั้นให้เล็งไปที่ใบหน้าของไอ้พวกนั่น หลังจากทำสำเร็จ ข้าจะมีรางวัลดีๆ มอบให้กับเขา” จริงๆ แล้ว หยวนหลิงเซวียนเป็นคนที่หยิ่งยโสยิ่งกว่าใครๆ และเขาเป็นผู้นำตระกูล แม้แต่ในเมืองหลวง ก็มีไม่กี่คนที่กล้ายั่วโมโหเขา ไม่ต้องพูดถึงมู่หรงฉางเฟิงและเฮยเจ๋อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความแข็งแกร่งของตัวเอง หรือภูมิหลังของตระกูลของพวกเขานั้นเทียบเท่าเขาได้ แต่ทว่า ชายผู้ยากจนคนนั้นที่ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากไหน กลับกลายเป็นคนที่โดดเด่นทันทีที่เข้ามาในสำนักไท่ไป๋
แน่นอนว่าหยวนหลิงเซวียนแตกต่างจากคุณชายตระกูลจางที่ไร้สมอง เมื่อเห็นคนแบบนั้น ความคิดแรกของเขาก็ไม่ใช่การสอนบทเรียนให้ แต่เป็นการใช้เขาเพื่อเป้าหมายของตนเอง
สิ่งที่นายน้อยตระกูลหยวนที่ยิ่งใหญ่เกลียดที่สุด คือการที่เขาถูกเด็กหนุ่มผู้ยากจนคนนั้นเมินเฉย
คนๆ นั้นพูดกับเขาแค่หนึ่งประโยคเท่านั้น ‘ไม่สนใจ’
แล้วจะให้หยวนหลิงเซวียนกล้ำกลืนความโกรธแค้นนี้ไปได้อย่างไรกัน
ข้ารับใช้ส่วนตัวของหยวนหลิงเซวียนรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว เขาเข้าใจความคิดของเจ้านายตนเองดี ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคารพ “นายน้อยไม่ต้องกังวลขอรับ ข้ารับใช้คนนี้จะจัดการทุกอย่างเอง ทั้งสามคนนั้นช่างไร้ค่ายิ่งนัก หากพวกเขาไม่ได้หลับในห้องเรียน ก็จะต้องขาดเรียนไปนานๆ หากไม่ใช่เพราะหอสามัญไม่มีใครให้เลือกจริงๆ ข้าคิดว่าเจ้าสำนักก็คงไม่ส่งพวกเขามาเข้าแข่งขันด้วย ข้าคาดว่าเมื่อทีมนี้แข่งขันกับอีกสามหอ ก็คงจะไม่ชนะแม้แต่รอบเดียว พวกเราจึงไม่จำเป็นต้องพูดไปถึงการแข่งขันกับหอชั้นเลิศเลยขอรับ…”
“ฮัดเช้ย!”
ณ มุมหนึ่งของย่านการค้า เฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังช่วยห้วนหมิงเสียงถูพื้นอยู่จามอย่างหนัก นางมองชายชราที่กำลังดื่มชาอยู่ด้านหลัง พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น “ผู้อาวุโสห้วน ข้าทำงานให้ท่านจนเสร็จทุกอย่างแล้ว ท่านก็ควรจะยกค่าจ้างที่สำนักไท่ไป๋จ่ายให้ท่านทั้งหมดกับข้าไม่ใช่หรือ”
“แค่ก” ห้วนหมิงเสียงที่กำลังเพลิดเพลินกับเวลาว่างครึ่งวัน ขณะที่เขากำลังฮัมเพลงพร้อมกับจิบชาอยู่นั้น เขาก็เกือบจะสำลัก “ผู้เฒ่าคนนี้จะได้ค่าจ้างได้อย่างไรกันเล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางไม้กวาดลงกับพื้น พร้อมกับเอนตัวพิงด้ามจับอย่างเกียจคร้าน พลางเอานิ้วเท้าคาง นางมองเขาอย่างขบขัน “ผู้อาวุโสที่ดูแลฮ่องเต้มาถึงสามสมัยต้องมากวาดพื้นอยู่ที่นี่โดยไม่มีค่าจ้างเช่นนั้นหรือ ใครจะเชื่อคำพูดพวกนี้กัน”
“สาวน้อย เจ้าไม่จำเป็นต้องไปจัดการกับชายที่ชื่อว่าตู๋ซูเฟิง อย่าหลงผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเด็ดขาด จิตใจของเขานั้นช่างชั่วร้ายยิ่งนัก”
ห้วนหมิงเสียงวางถ้วยน้ำชาในมือลงอย่างโกรธเคือง “หากจะให้พูด ลูกชายของพี่สาวของเขาก็ได้เรียนรู้นิสัยต่างๆ มาจากเขา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หลานชายของเขาน่ะหรือ”
“ใช่แล้ว เจ้าเด็กหนุ่มน้ำแข็งคนที่สวมหน้ากากตลอดทั้งวัน และชอบเสแสร้งว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วคนนั้นแหละ”
ในที่สุด เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เข้าใจว่าองค์ชายสามทำอะไรให้ผู้อาวุโสห้วนไม่พอใจ จนทำให้ผู้อาวุโสห้วนมีท่าทีขุ่นเคืองเช่นนี้ทุกครั้งที่พูดถึง
ในอดีต เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยรับฟังเรื่องพวกนี้ นางไม่เคยใส่ใจเลย แต่ตอนนี้ นางกำลังเตรียมและทำสัญญาที่จะแต่งงานกับคนๆ นั้นแล้ว เมื่อนางได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางจึงรู้สึกแปลกๆ…
“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจะเป็นตัวแทนของหอสามัญในการแข่งขันครั้งนี้” ห้วนหมิงเสียงลูบเคราของตนเองและหัวเราะ “ดีแล้ว ถึงเวลาให้พวกเขาเห็นความแข็งแกร่งของเจ้าแล้ว และนี่ยังสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับเจ้าก่อนจะถึงการแข่งขันประลองยุทธ์อีกด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยแตะจมูกของตนเอง และยิ้มเบาๆ “แต่สาขาที่ข้าลงแข่งขันไม่ใช่พลังปราณ”
“ไม่ใช่พลังปราณหรอกหรือ” ห้วนหมิงเสียงตกตะลึง “เพราะไอ้หนูตู๋ซูเฟิงไม่ได้เลือกเจ้าเช่นนั้นหรือ อีกสักครู่ ข้าจะไปหาเขาและพูดให้เอง เด็กคนนี้หลงเชื่อข่าวลือต่างๆ ได้อย่างไรกัน ช่างน่าเกลียดจริงๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่ใช่การตัดสินใจของเจ้าสำนักหรอก แต่เป็นเพราะพวกเราสามคนเลือกสาขากันเองต่างหาก”
นางไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก แม้ว่านางจะเลือกสาขาโหราศาสตร์ที่ตนเองไม่มีความรู้เลย แต่นางก็ยังมีหยวนหมิงและเสี่ยวไป๋ที่อยู่ในมิติสวรรค์คอยช่วยเหลือนางอยู่ดี แต่หากเป็นสาขาพลังปราณหรือสาขาอาวุธ โอกาสในการชนะก็จะเพิ่มสูงขึ้น พอมาคิดดูแล้ว ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสามคนไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้อย่างมาก พวกเขาราวกับว่า เจ้าเลือกไปหนึ่งสาขา ข้าเลือกหนึ่งสาขา พวกเขาเลือกสาขาในการแข่งขันเช่นนั้น…
ประเด็นสำคัญคือ เจ้าสำนักตามใจพวกเขาเกินไป โดยบอกว่าตราบใดที่พวกเขาตกลงว่าจะเข้าร่วมการแข่งขัน พวกเขาก็สามารถเลือกสาขาที่ตนเองต้องการได้เลย
พูดตามตรง นี่เป็นครั้งแรกที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้เจอเจ้าสำนักที่ใจกว้างเช่นนี้
“พวกเจ้าเลือกกันเองหรือ” ยิ่งห้วนหมิงเสียงฟังมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากเชื่อมากขึ้นเท่านั้น “แล้วใครเป็นคนเลือกพลังปราณหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยโน้มตัวลงกวาดพื้นเล็กน้อย และตอบอย่างสบายๆ “เพื่อนร่วมโต๊ะของข้าเอง”
“เจ้ามีเพื่อนร่วมโต๊ะด้วยเช่นนั้นหรือ” ห้วนหมิงซวนแสดงท่าทีตกใจ “เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียวมาตลอดหรือ”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก “แต่ทุกครั้งที่เข้าเรียน ทุกคนก็จะมีเพื่อนที่นั่งโต๊ะตัวเดียวกันเสมอน่ะสิ”
เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ห้วนหมิงเสียงก็ยังคงรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี “หากเจ้าเลือกพลังปราณ พวกเจ้าจะต้องชนะอย่างแน่นอน ข้าบอกได้เลยว่านอกจากเด็กชายหัวโล้นจากหอชั้นเลิศแล้ว ศิษย์ในสำนักไท่ไป๋ก็มีน้อยคนนักที่จะเอาชนะเจ้าได้”
“เด็กชายหัวโล้นหรือ…” นิ้วมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดชะงัก และยิ้มเบาๆ “องค์ชายเจ็ดแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ”
ห้วนหมิงเสียงพ่นลมออกมา “โทษเจ้าเด็กน้ำแข็งคนนั้นเลยที่ชี้นำเขาเช่นนั้น เด็กน้อยแสนดีและสมบูรณ์แบบที่ยังไม่เลิกดูดนิ้วกลับถูกเลี้ยงดูเหมือนเสือตัวน้อย ครั้งก่อน เจ้าเสือน้อยคนนั้นให้ซาลาเปากับข้า และในตอนเช้าตรู่ เขาก็ยืนตะโกนโหวกแหวกราวกับฟ้าผ่าอยู่ข้างนอก มันหนวกหูมากจนข้าไม่สามารถนอนหลับได้เลย”
“ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสห้วนจะชอบองค์ชายเจ็ดมาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้เวลาอยู่กับชายชราคนนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว หากเขาไม่ชอบใครสักคน คนพวกนั้นก็ไม่ต้องคิดเรื่องที่จะหาตัวเขาเจอได้เลย นับประสาอะไรกับมีโอกาสที่จะรบกวนเขาด้วยซ้ำ
ห้วนหมิงเสียงลูบเคราของตนเองและยิ้มให้ โดยไม่ได้ปฏิเสธ “ข้าก็ยังรู้สึกว่าการจัดการนี้มีบางอย่างผิดปกติ หากเจ้าได้แข่งขันในสาขาพลังปราณ อย่างน้อยพวกเจ้าก็สามารถชนะการแข่งได้ แล้วอีกสองคนนั้นแข็งแกร่งเพียงใดหรือ เจ้ารู้หรือไม่”
“รอดูในระหว่างการแข่งขัน ข้าก็จะค่อยๆ รู้เอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวแข็งเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
ห้วนหมิงเสียงเงียบ…นั่นหมายความว่าตอนนี้นางยังไม่รู้อะไรเลย
“เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดแข็งของพวกเขาคืออะไร แต่พวกเจ้าก็ตัดสินใจไปแล้วว่าใครจะลงแข่งในสาขาใดเช่นนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ห้วนหมิงเสียงก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย การแข่งขันครั้งใหญ่ที่สุดของสำนักไท่ไป๋ถูกเหยียดหยามเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เพราะในอดีต ศิษย์จากหอสามัญจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อคว้าชัยชนะ
เฮ่อเหลียเวยเวยเงยหน้าขึ้น จู่ๆ ชายชราคนนี้ก็ถามถึงเรื่องนี้อย่างไม่คาดคิด จนทำให้นางพูดไม่ออก เมื่อคิดดูอย่างรอบคอบแล้ว พวกเขาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ…