“ไป” เหล่าคุณชายทั้งหลายต่างแยกย้ายกันไป แม้ว่าพวกเขาไม่ใช่ศิษย์ของหอชั้นเลิศ แต่ตระกูลของพวกเขาก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อตระกูลหยวน ในฐานะที่เป็นน้องชาย พวกเขารู้ดีว่าในช่วงนี้ ใครคือเสี้ยนหนามตำตาของพี่หยวน
หากเป็นพวกเขา พวกเขาก็คงจะไม่มีความสุขเช่นกัน คนที่ไม่มีอะไรนอกจากหน้าตาอันหล่อเหลา จะมาทำตัวอวดดีได้อย่างไรกัน!
“นายน้อยขอรับ หากพวกเขาทำเช่นนั้น จะไม่เป็นไรหรือขอรับ” ข้ารับใช้ตัวน้อยมองดูกลุ่มคนเหล่านั้นเดินห่างออกไป
หยวนหลิงเซวียนวางอาวุธที่กำลังเล่นอยู่ในมือ และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “จะเป็นอะไรไปเล่า ก็แค่พวกคนชั้นต่ำต่อสู้กันก็เท่านั้น อีกไม่กี่วัน ข้าก็จะเป็นตัวแทนการแข่งขันของหอชั้นเลิศแล้ว จึงไม่สะดวกที่จะลงมือเอง ให้พวกเขาจัดการกับมันดีกว่า”
“ขอรับ” ข้ารับใช้ตัวน้อยก้มศีรษะลงและคิดในใจว่าครั้งนี้ คนๆ นั้นจะต้องถูกอัดจนเละอย่างแน่นอน คนที่กล้าเลือกสาขาเดียวกับนายน้อยของพวกเขา ก็ทำได้แค่กล่าวโทษว่าคนๆ นั้นช่างประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไปเสียจริง
ปัง…
ตรงปากตรอกยาวแห่งหนึ่ง
บุตรชายที่แต่งตัวจัดของตระกูลที่ร่ำรวยคนหนึ่งยื่นแขนออกไปขวางทางออกของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย มุมปากของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มแปลกประหลาด “ไอ้คนจากหอสามัญ พวกเราอยากจะคุยกับเจ้าหน่อย”
ร่างกายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหยียดออกอย่างสง่างาม เขาสวมเสื้อผ้าสีม่วงและผมสีดำ เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง ในขณะเดียวกัน มือข้างหนึ่งของเขาก็สอดอยู่ในกระเป๋าเสื้อ ราวกับว่าผู้คนที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่มีตัวตน
ท่าทีเช่นนี้ของเขาทำให้อีกฝ่ายรู้สึกโกรธเคืองมากขึ้น ความขุ่นเคืองใจนั้นคุกรุ่นในดวงตาของพวกเขาอย่างรุนแรง ขณะที่พวกเขาแบ่งกันเป็นสี่ทิศทาง และค่อยๆ เดินบีบเข้ามาล้อมรอบไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในตรอกยาวแห่งนี้ “เจ้ายังคงหยิ่งผยองยิ่งนัก”
“เจ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่ใครเป็นคนคุม หืม” คนที่อยู่ในกลุ่มพวกเขาพูดขึ้น พร้อมกับคิดจะเหวี่ยงกำปั้นของเขาออกไป
แต่ทันใดนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยิ้มออกมา พร้อมกับใช้มือข้างเดียวขัดขวางการโจมตีของคนๆ นั้น ในขณะที่มืออีกข้างก็ดึงปกคอเสื้อของเขามา ก่อนจะก็ใช้กำลังยกคนๆ นั้นขึ้นทั้งตัว ประกายในแววตาคู่นั้นราวกับมีชั้นน้ำแข็งกำลังก่อตัวอยู่ก็ไม่ปาน
ก่อนที่คนๆ นั้นจะทันได้ตอบโต้อะไร ก็ได้ยินเพียงเสียงแว่วขึ้นมาเท่านั้น
ร่างของคนๆ นั้นราวกับถูกคลื่นความเจ็บปวดลูกใหญ่กลืนกินไปทั้งตัว เสียงกรีดร้องแหลมและรุนแรงดังก้องไปทั่วตรอกยาวแห่งนี้
“พวกเจ้ามัวแต่ยืนบื้ออยู่ทำไมกัน รีบเข้าไปเร็วเข้า”
อีกสามคนที่เหลือเป็นคุณชายที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจจากตระกูลผู้ร่ำรวย ซึ่งต่างก็ตกตะลึง ก่อนที่จะเดินเข้าล้อมรอบ และพุ่งโจมตีไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพร้อมกัน
แต่ผลที่ได้คือ…พวกเขาทุกคนต่างก็ต้องคุกเข่าลงกับพื้นในท่าเดียวกันโดยไม่มีข้อยกเว้น
ผู้ชาย ผู้ชายคนนี้…
ผู้ชายคนนี้หักกระดูกของพวกเขา
ไม่มีใครกล้าพูดจาอวดดีอะไรอีกแม้แต่คำเดียว เหงื่อตรงหน้าผากของพวกเขาผุดออกมาจากความเจ็บปวด
พวกเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจที่จะทำเช่นนี้หรือไม่ แต่ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายสามารถฆ่าพวกเขาได้อย่างแน่นอน แต่เขากลับปล่อยให้พวกเขารู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดทรมาน
พวกเขามองดูชายคนนั้นเดินเข้ามาหาทีละก้าว ในขณะที่หนังศีรษะของพวกเขาชาวาบ แต่ไม่มีส่วนใดในร่างกายของพวกเขาที่สามารถต้านทานได้
ทำไมศิษย์จากหอสามัญถึงแข็งแกร่งและน่ากลัวเช่นนี้
“มิใช่ว่าพวกเจ้ามีอะไรอยากจะพูดกับข้าหรอกหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเช็ดมือซ้ายที่ตัวเองเคลื่อนไหวเมื่ครู่อย่างสบายใจ และยิ้มออกมาเล็กน้อย “ตอนนี้ สามารถคุยกันได้แล้ว”
ชายทั้งสี่คนที่หน้าเขียวและบวมเป่งต่างก็อยากจะร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตา ตอนนี้ พวกเขาไม่อยากจะพูดคุยอะไรอีกแล้ว อันที่จริง ตอนนี้ พวกเขาเพียงแค่อยากจะกลับบ้านเท่านั้น
“ไม่พูดหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย และทำเหมือนว่าชายที่เพิ่งทำร้ายคนเหล่านี้ ไม่ใช่เขา “ถ้าเช่นนั้น ก็แย่หน่อยนะ”
เมื่อพูดจบ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยกขาซ้ายขึ้น ราวกับกำลังจะเตะใครสักคนในกลุ่มนี้ แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างชัดเจนว่า “ตอนที่พวกเจ้าเจอเขา เขาอยู่ที่ไหนหรือ”
คือนางเช่นนั้นหรือ ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นประกาย พร้อมกับวางขาของตัวเองลง จากนั้น เขาก็คว้าแขนของผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นแล้วชกเข้าที่หน้าของเขาเอง
ชายคนนั้นตกตะลึง นี่มันสถานการณ์อะไรกัน!?
อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกงุนงงได้เพียงชั่วอึดใจ เพราะวินาทีต่อมา ก็มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาเตะใบหน้าของเขาอย่างจัง
เขาไม่มีโอกาสได้พูดเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็จับปกคอเสื้อของเขา ก่อนจะต่อยเขาสองครั้งติดต่อกัน ยังไม่พอ นางยังบิดข้อมือของเขา พร้อมกับยิ้มเยาะเย้ย “ใบหน้าของเขาคือสิ่งที่เจ้าสามารถต่อยได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นหรือ หืม”
“ฮือๆๆ” เขาจะกล้าต่อยใบหน้านั้นได้อย่างไรกันเล่า ผู้ชายคนนั้นดึงมือเขาเข้าไปต่อยหน้าตัวเองชัดๆ เขาเองก็ยังแปลกใจอย่างมากเช่นกัน เข้าใจไหมเล่า ไอ้เวรนี่ มันต่อยตัวเองไปได้อย่างไร!
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเรียวยาวของตนเอง “เจ้าจะพูดว่าอะไร”
“เขาคงรู้สึกผิด” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกมือขึ้นลูบใบหน้าด้านข้างของตัวเองที่เพิ่งถูกต่อย พร้อมกับย่นคิ้วราวกับกำลังเจ็บ ผนวกกับขนตาที่เป็นแพหนาของเขา ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารเขาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นเช่นนั้น นางก็ต่อยคนๆ นั้นต่ออีกสองครั้งอย่างรุนแรง “เจ้ายังกล้าพูดว่าตัวเองรู้สึกผิดอีกหรือ ใบหน้างดงามเช่นนั้น เจ้าทำได้อย่างไรกัน”
“ฮือๆๆๆ” เขารู้สึกผิดจริงๆ เขาจะรู้ได้อย่างไรกันเล่าว่าในโลกใบนี้จะมีผู้ชายที่แสดงละครได้แนบเนียนเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต่อยใครสักคน แล้วยังเป็นการโดนอีกฝ่ายลากมือเขาเข้าไปต่อยเองอีกต่างหาก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยยกขึ้น “อะไรกัน เจ้ายังไม่ยอมรับอีกหรือ พวกเจ้าสี่คนรุมทำร้ายคนๆ เดียว แล้วจะร้องไห้ทำไมกัน”
คนๆ นั้นร้องเสียงแหบแห้ง “เจ้าไม่เข้าใจเลยสักนิด ไม่มีใครเข้าใจความเจ็บปวดของข้าเลย”
“ปล่อยเขาไปเถอะ” น้ำเสียงอันเยือกเย็นและชั่วร้ายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดังขึ้นจากด้านหลัง “สร้างความวุ่นวายในสำนักไม่ดีเท่าไหร่นัก”
เหล่าคุณชายทั้งสี่คนคิด ‘…เจ้ากลัวว่าจะสร้างความวุ่นวายจริงๆ หรือ ไอ้เวรเอ๊ย หากเจ้ากลัวว่าจะสร้างความวุ่นวาย เจ้าก็ไม่ควรหักข้อศอกของพวกเราสิ’
“ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ เช่นนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว “เจ้าจะใจดีเกินไปหรือเปล่า”
“หา” คนที่ถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยลากตัวไป รู้สึกกระวนกระวายมากขึ้น [ได้โปรด ข้าขอร้อง แม่นาง เจ้าควรจะดูให้ดีก่อน ผู้ชายคนนี้ใจดีได้อย่างไรกัน แม้ว่าแต่ละท่วงท่าของเขาจะไม่ได้ทำให้พวกเราเลือดออก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการจะเอาชีวิตของพวกเรา เฮือก เขาเพียงแค่หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเราเลือดออก เพราะว่าเขาไม่ชอบความสกปรกของคราบเลือดเท่านั้น ตอนที่จัดการพวกเรา เขาเป็นคนพูดเองด้วยซ้ำ]
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มหน้าลง “ดูเหมือนพวกเจ้ามีอะไรจะบอกกับข้านะ”
คนๆ นั้นกำลังจะพยักหน้า แต่เขากลับเห็นสายตาของชายหนุ่มจ้องมองมาที่ตนเองอย่างเคร่งขรึมราวกับราตรีกาล กระดูกของเขาก็เย็นเฉียบ
“ฮึก ฮึก”
เขาสำลักน้ำลายอย่างสิ้นหวัง หลังจากนั้น เขาก็รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อส่ายศีรษะแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่มี ข้าไม่ได้จะพูดอะไร”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถอนสายตาของตัวเองออกไป และพูดอย่างแผ่วเบา “ในเมื่อเขาไม่มีอะไรจะพูด ก็ปล่อยเขาไปเถอะ ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับสถานการณ์การต่อสู้กันเช่นนี้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเขา คุณชายทั้งสี่คนก็ขนลุกจนตัวสั่น พวกเขาเคยฟังคำโกหกมาบ้าง แต่ไม่เคยฟังคำโกหกที่ลื่นไหลเช่นนี้มาก่อนเลย
ไม่คุ้นเคยเช่นนั้นหรือ
แล้วเมื่อครู่นี้ ไอ้บ้าที่ไหนเตะพวกเขาจนตัวปลิวด้วยขาเพียงข้างเดียวกันเล่า
และยังหักกระทั่งกระดูกข้อศอกของพวกเขาจนแหลกเป็นชิ้นๆ อีกด้วย
หากผู้หญิงคนนี้ไม่ปรากฏตัวขึ้น ป่านนี้ พวกเขาก็คงมีสภาพอันน่าเวทนากว่านี้แน่ๆ
“เช่นนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินไปประจันหน้ากับเหล่าคุณชายทั้งสี่คน ตอนนั้น นางไม่รู้เลยว่าผู้ชายที่อยู่ด้านหลังของนางมีสายตาที่เต็มไปด้วยประกายความเยือกเย็น
สายตาของเขาเต็มไปด้วยคำข่มขู่
เหล่าคุณชายทั้งสี่คนต่างก็เนื้อตัวสั่นเทาขึ้นมาพร้อมกัน
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก “พวกเจ้ากลัวอะไรกันหรือ”
ถึงแม้ว่าผิวของนางจะดำคล้ำไปหน่อย แต่นางก็ไม่ได้น่าเกลียดจนน่าหวาดกลัวขนาดนั้น แล้วทำไมชายสี่คนนี้ถึงได้ทำท่าเหมือนเห็นผีกันเล่า…