บิดาและบุตรสาวตระกูลเฉินเดินไปยังพระราชวังอย่างเชื่องช้าภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ เฉินเลี่ยหู่ตั้งใจที่จะเดินช้า เพื่อให้ขันทีมีเวลากลับไปรายงาน
ถึงแม้เขาจะขัดพระราชโองการไม่เข้าคุกหลวง แต่เขาไม่มีทางบุกประตูพระราชวัง ไม่ว่าท่านอ๋องอู๋จะเหลวไหลเพียงใด แต่เขาก็ยังเป็นท่านอ๋อง
ขันทีกลับเข้าพระราชวังด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเข้าพบท่านอ๋องอู๋ด้วยท่าทางโซซัดโซเซ
“ท่านอ๋อง เฉินเลี่ยหู่กบฏแล้ว”
ท่านอ๋องอู๋ผิวขาวอวบเล็กน้อย เป็นพระรัชทายาทเมืองอู๋ตั้งแต่กำเนิด ฟุ่มเฟือยเอาแต่ใจแต่เล็ก อีกทั้งถูกพี่น้องทำร้ายก่อนที่จะสานต่อราชบัลลังก์ ทำให้เขามีนิสัยไม่วางใจผู้ใด
เขากำลังนอนพักผ่อนอยู่บนเขาของจางเหม่ยเหริน ตกใจกับท่าทางของขันทีจนลุกขึ้นนั่ง เมื่อได้ยินชื่อของเฉินเลี่ยหู่จึงสงบลง
เจ้าแก่นี้อาศัยว่าตนเองเป็นคนเก่าแก่ของเมืองอู๋ชี้นิ้วต่อเขา แต่ยังไม่ถึงขั้นก่อกบฏ
เขาถามขันที “ท่านมหาราชครูไม่สนใจเจ้า จะขัดขืนต่อพระราชโองการหรือ”
ขันทีพลางร่ำไห้พลางเล่าเรื่อง ก่อนจะชี้นิ้วไปด้านนอก “เขายังนำทหารมาข่มขู่ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องรีบเรียกทหารมาเถิด!”
ท่านอ๋องอู๋เมื่อนึกถึงว่าตนเองต้องเผชิญหน้ากับเฉินเลี่ยหู่ก็ยื่นมือกดหน้าผาก
“ต้องฟังเขาบ่นไม่หยุดอีกแล้ว”
จางเหม่ยเหรินร้องไห้ขึ้นมา “เป็นเพราะข้าทำให้ท่านอ๋องลำบาก”
เมื่อเหม่ยเหรินร้องไห้ ท่านอ๋องอู๋ก็ปวดใจ เขารีบปลอบประโลม “ไม่ใช่ความผิดของเจ้ากับท่านพ่อของเจ้า ผู้ใดให้ท่านมหาราชครูส่งบุตรชายของตนไปทำสงคราม ตอนนี้ตายไปกลับกลายเป็นข้าทำผิดต่อพวกเขา”
เวลานี้องครักษ์เฝ้าประตูมารายงานว่าเฉินเลี่ยหู่รอเข้าพบอยู่ที่ประตูวัง ขันทีรีบคลานไปข้างหน้าพร้อมตะโกนเรียกท่านอ๋อง “รีบให้องครักษ์หลวงจับเขาเถิดขอรับ”
“บรรพบุรุษของเขาได้รับสถาปนาพร้อมกับเมืองอู๋ ตอนนั้นข้าได้รับบาดเจ็บ เขาเป็นผู้บัญชาการ ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ารุกราน” ท่านอ๋องอู๋ทั้งรำคาญทั้งโกรธเคือง “ข้าไม่อาจไม่ให้เกียรติเขา”
เจ้าแก่นี้ดวงแข็ง ไม่ตายเสียทีอีกทั้งเขายังต้องบูชาเอาไว้
สิ่งที่เฉินเลี่ยหู่จะพูดคงไม่พ้นว่าสถานการณ์คับขันเพียงใด ต้องจัดวางกำลังอย่างไร เมืองอู๋มีกองทัพหลายแสนอีกทั้งมีแม่น้ำขวางกั้น มีอันใดให้เกรงกลัว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่านอ๋องโจวและท่านอ๋องฉีร่วมด้วยให้พวกเขาเริ่มก่อนหลังจากราชสำนักสูญเสียกำลังเขาค่อยตักตวงผลประโยชน์
เหมือนดังที่มหาดเล็กเหวินพูด เหล่าแม่ทัพล้วนชื่นชอบการสงคราม เกรงกลัวว่าไม่มีโอกาสสร้างคุณงามความดี เรื่องเล็กน้อยก็สามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่
ดูอย่างเฉินเลี่ยหู่ อาศัยโอกาสนี้ส่งบุตรชายและบุตรเขยไป ตนเองก็คิดจะเข้าสนามรบ ตอนนี้เขาเอาแต่บอกว่าต้องรบเช่นนี้ป้องกันเช่นนั้น แต่รอหลังจากนี้คงคิดจะเรียกร้องรางวัลต่างๆ ท่านอ๋องอู๋ไม่อยากฟัง จึงให้ขันทีไปเรียกมหาดเล็กเหวินมาด้วย เมื่อถึงเวลาเฉินเลี่ยหู่ถกเถียงกับพวกเขาคงจะสบายใจขึ้น
ขันทีรีบไปถ่ายทอดพระราชโองการ ท่านอ๋องอู๋ลาจากกับเหม่ยเหรินอย่างเสียดาย จางเหม่ยเหรินดึงแขนเสื้อของเขาเอาไว้
“งานเลี้ยงแต่งกลอนตอนบ่าย ท่านอ๋องยังมาได้อีกหรือไม่ กลอนที่พวกเขาแต่งไม่อาจสู้ท่านอ๋องได้ หากไม่มีท่านอ๋องงานเลี้ยงก็ไร้ความหมาย”
ท่านอ๋องอู๋ตอบรับ “ย่อมต้องมา เมื่อคืนในฝันข้าได้คำดีมาถึงเวลาข้าจะมาเขียน”
จางเหม่ยเหรินถึงได้ปล่อยมือมองท่านอ๋องอู๋เดินจากไป
เฉินเลี่ยหู่รออยู่นอกพระราชวังเป็นเวลานานกว่าประตูพระราชวังจะถูกเปิดออก ขันทีอีกคนดึงหน้าตึงเชิญเฉินเลี่ยหู่เข้าไปภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์หลวง เข้าวังไม่อาจขี่ม้าได้ เฉินเลี่ยหู่เดินกะเผลกเข้าไป เฉินตันจูติดตามอยู่ด้านข้าง
ขันทีมองเห็นเฉินตันจูติดตาม เดิมทีอยากจะบอกว่าท่านอ๋องอู๋เรียกพบเพียงเฉินเลี่ยหู่ แต่เมื่อครุ่นคิดแล้วเขาไม่อยากมีปัญหา ปล่อยให้เฉินเลี่ยหู่ไปยั่วยุท่านอ๋องเถิด
เฉินตันจูไม่ได้เข้าวังเป็นครั้งแรก ท่านอ๋องอู๋องค์นี้ชื่นชอบการเต้นระบำ มักจะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ภายในวังตระกูลของท่านมหาราชครูล้วนมีแต่หญิงสาวถึงแม้ไม่มีมารดา แต่นางสามารถติดตามท่านพี่เข้าร่วมงานเลี้ยง
พระราชวังอู๋ช่างสวยงาม จางเหม่ยเหรินก็งดงาม เหล่าสนมต่างชำนาญการร้องเล่นเต้นระบำ ขุนนางต่างมีความสามารถในการแต่งกลอน ในงานเลี้ยงมีบทกลอนงดงามจำนวนมาก หลังจากเมืองอู๋ล่มสลายแล้ว นางยังเคยได้ยินเหล่าปัญญาชนที่เดินทางผ่านไปมากล่าวบทกลอนที่รั่วไหลออกมาจากเมืองของท่านอ๋องอู๋ในตอนนั้น
เวลานี้เป็นเวลาที่สวยงามท่าสุดในพระราชวัง ก่อนเข้าพระราชวังต้องห้ามมีเส้นทางยาวเหยียด ด้านข้างล้วนเป็นต้นหลิว กิ่งก้านของมันกำลังพริ้วไหวไปมาภายใต้สายลม
เฉินตันจูไม่มีอารมณ์ที่จะชื่นชมทิวทัศน์แม้แต่น้อย นางก้มหน้าเดินตามบิดามาถึงพระตำหนักใหญ่ ภายในตำหนักใหญ่มีขุนนางชั้นสูงหลายคนอยู่ด้านในก่อนแล้ว เมื่อเห็นเฉินเลี่ยหู่พาเฉินตันจูเข้ามา มีคนหัวเราะเสียงเย็น “คุณหนูตระกูลเฉินไม่เพียงปั่นป่วนค่ายทหาร ยังสามารถเข้าออกพระราชวังตามใจได้ ท่านมหาราชครูคิดจะขอตำแหน่งขุนนางให้บุตรสาวหรือ”
เฉินเลี่ยหู่เดินเข้าตำนักใหญ่ด้วยขาที่กะเผลก เขายื่นนิ่งพร้อมคิ้วที่เลิกขึ้น “เหวินจง สิ่งที่ข้าเฉินเลี่ยหู่ทำยังไม่จำเป็นที่จะต้องให้เจ้ามาชี้นิ้ว! เจ้าอย่าคิดว่าตัวเองสำคัญมาก ตำแหน่งของเจ้าให้บุตรสาวข้าทำก็สามารถทำได้ดีเช่นกัน”
เฉินเลี่ยหู่ทำให้คนเคียดแค้น เอาแต่ใจ ใช้กำลัง ไม่เห็นคนอื่นในสายตา แต่ไม่มีผู้ใดทำอันใดเขาได้! มหาดเล็กเหวินจงโกรธจนถลึงตา “เฉินเลี่ยหู่ เจ้าบังอาจ เจ้ากำลังดูถูกท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง” เขาคุกเข่าลงต่อหน้าท่านอ๋องอู๋ “ข้าขอให้ท่านชี้โทษความเย่อหยิ่งของท่านมหาราชครู”
ท่านอ๋องอู๋คิดภายในใจ เย่อหยิ่งถือเป็นโทษอันใดกันโง่เขลาเสียจริง พวกเจ้าหาโทษที่หนักกว่านี้ได้หรือไม่ บรรพบุรุษของเฉินเลี่ยหู่มีฐานันดรศักดิ์ท่านมหาราชครูที่เกาจู่พระราชท่าน เขาที่เป็นท่านอ๋องก็ไม่อาจลงโทษเขาได้อย่างง่ายดาย
เฉินเลี่ยหู่คุกเข่าลงเช่นกัน “ท่านอ๋อง ข้ามีเรื่องทูลถวาย บุตรเขยของข้า ท่านแม่ทัพใหญ่หลี่เหลียงตายแล้ว”
ท่านอ๋องอู๋ได้ยินข่าวแล้ว แอบสะใจเล็กน้อยสมควรแล้ว ผู้ใดให้เจ้ายึดครองอำนาจทางทหาร ส่งบุตรชายแล้วยังส่งบุตรเขยไปอีก ตอนนี้ดีแล้วบุตรชายและบุตรเขยล้วนตายแล้ว ต่อมาก็รอคอยเพียงเฉินเลี่ยหู่ตาย ตระกูลเฉินก็หายจากหน้าเขาไปเสียที เมื่อคิดว่าต่อจากนี้จะไม่มีเสียงน่ารำคาญอีก ท่านอ๋องอู๋ก็แทบจะหัวเราะออกมา เพียงแต่เขารีบกั้นเอาไว้ถอนหายใจ “ท่านมหาราชครูคงจะเสียใจเป็นอย่างมาก”
ขุนนางใหญ่อีกคนที่ยืนอยู่ด้านนอกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด
“ท่านมหาราชครู ตอนที่บุตรเขยท่านตายข้าไม่ได้อยู่ในค่าย ครานี้คงไม่บอกว่าข้าเป็นคนทำใช่หรือไม่”
เฉินตันจูที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังเฉินเลี่ยหู่มองไปยังคนนี้ อีกฝ่ายหน้าตาเรียบร้อย แต่คิ้วและดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงความเอาแต่ใจ เขาคือบิดาของจางเหม่ยเหริน…การตายของพี่ชายเฉินตันหยางมีความเกี่ยวข้องกับหลี่เหลียง แต่จางเจี้ยนจวินคนนี้ก็ตั้งใจที่จะทำร้ายเฉินตันหยาง ถึงแม้จะไม่มีหลี่เหลียง เฉินตันหยางก็ต้องตายอยู่ดี
เมืองอู๋ล่มสลายแต่จางเจี้ยนจวินไม่ตาย เพราะบุตรสาวของเขา จางเหม่ยเหรินถูกหลี่เหลียงมอบให้ฮ่องเต้ เหม่ยเหรินในสายตาของฮ่องเต้ดุจดั่งสมบัติในพระราชวังไม่มีพิษภัย ย่อมยอมรับได้…
บุตรสาวเป็นสนมของฮ่องเต้ย่อมดีกว่าเป็นสนมของท่านอ๋อง จางเจี้ยนจวินได้ดีเพราะบุตรสาว ตระกูลจางล้วนได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
มีเพียงตราะกูลเฉินที่ตายไปพร้อมแบกรับโทษ ทั้งตระกูลไม่มีแม้แต่หลุมศพ ร่างของท่านพี่และท่านพ่อยังต้องอาศัยคนเก่าแก่ขโมยมาให้นาง นางถึงก่อเป็นหลุมศพขนาดเล็กสองแห่งบนภูเขาดอกท้อ
เฉินตันจูกัดฟัน จางเจี้ยนจวินสังเกตถึงสายตาที่มองมาจึงโกรธอย่างมาก เด็กคนนี้อายุไม่มาก แต่สายตาบ้าดุดันเสียยิ่งกว่าบิดาของนาง
เฉินเลี่ยหู่ไม่รู้สึกขุ่นเคืองต่อการท้าทายของจางเจี้ยนจวิน สีหน้าของเขาเรียบเฉย “หลี่เหลียง ข้าเป็นคนสังหารเอง”
เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดรู้ เหล่าจางเจี้ยนจวินและเหวินจงต่างผงะ ท่านอ๋องอู๋นั่งตัวตรงในทันที
อะไรนะ?
“ท่านมหาราชครู…” ท่านอ๋องอู๋ถามด้วยความตกตะลึง
เขาเป็นผู้ที่น่ากลัวเช่นนี้? ขุนนางที่โหดเหี้ยมเพียงนี้ไม่อาจทิ้งไว้ข้างตัวได้!
เฉินเลี่ยหู่มองท่านอ๋องอู๋ “หลี่เหลียงยอมจำนนต่อราชสำนัก ข้ามอบหมายให้บุตรสาวข้าถือตราอาญาสิทธิ์ไปสังหารเขา”
หลี่เหลียงทรยศท่านอ๋องอู๋ สวรรค์เอ๋ย บุตรสาวของเฉินเลี่ยหู่สังหารคน สายตาของทุกคนมองสลับไปมาระหว่างเฉินเลี่ยหู่และเฉินตันจู เฉินเลี่ยหู่บอกว่าตนเองจงรักภักดี แต่ภายในตระกูลกลับมีคนทรยศท่านอ๋อง บุตรสาวของเฉินเลี่ยหู่ แม่นางอายุสิบสี่สิบห้าตรงหน้านี้สังหารคน? อีกทั้งยังเป็นพี่เขยของตนเอง? ช่างน่ากลัว ข่าวนี้ทำให้ทุกคนมีความคิดซับซ้อนในทันใด ไม่รู้ควรดีใจก่อนค่อยตำหนิ หรือควรตะลึงก่อนค่อยเกรงกลัว
ท่านอ๋องอู๋ตะโกน “เกิดอันใดขึ้น ท่านแม่ทัพหลี่ทรยศข้าได้เยี่ยงไรกัน!”
ยังไม่ทันได้เริ่มสงครามกับกองทัพของราชสำนักก็ยอมแพ้แล้ว พวกแม่ทัพเหล่านี้ไม่เพียงแต่ชอบพูดเกินจริง อีกทั้งยังขี้ขลาดกว่าหนู?
เฉินเลี่ยหู่กล่าว “ภายในค่ายทหารมีคนของราชสำนักลักลอบเข้าไป หลอกลวงหลี่เหลียง ทหารที่ข้าแทรกไว้ข้างตัวของหลี่เหลียงกลับมารายงาน เพื่อเป็นการไม่ตีหญ้าให้งูตื่นจึงให้บุตรสาวนำตราอาญาสิทธิ์ไป อาศัยช่วงที่หลี่เหลียงไม่ทันระวังกำจัดเขาทิ้ง จากนั้นประกาศต่อคนด้านนอกว่าหลี่เหลียงตายเพราะเกิดการแย่งอำนาจภายใน เพื่อเป็นการไม่ทำให้เกิดจารชนปั่นป่วนจิตใจของเหล่าทหาร”
อย่างไรก็ตามหลี่เหลียงทรยศท่านอ๋องอู๋เป็นเรื่องจริง จางเจี้ยนจวินและเหวินจงที่นั่งอยู่ต่างตื่นเต้นขึ้นมา พวกเขาไม่สนใจอย่างอื่น เฉินเลี่ยหู่เจ้าก็มีวันนี้!
“บุตรเขยของท่านมหาราชครูบังอาจทรยศท่านอ๋อง” จางเจี้ยนจวินพูดด้วยน้ำเสียงเสียดสี “ช่างยากเกินคาดหมายเสียจริง ท่านมหาราชครูสามารถลงโทษญาติมิตรเพื่อผดุงคุณธรรมช่างทำให้คนเคารพ เพียงแต่บุตรเขยเหมือนดั่งบุตรชาย บุตรเขยเป็นเช่นนี้ได้ ไม่รู้ว่าการตายของนายน้อยตันหยางก็เป็นเช่นนี้หรือไม่”
เฉินเลี่ยหู่โกรธอย่างมาก “ตอนนี้เวลาใดแล้ว เจ้ายังคิดจะใส่ร้ายข้า จารชนของราชสำนักแทรกซึมเข้าไปในค่ายทหารแล้ว อีกทั้งยังให้สินบนท่านแม่ทัพได้การมีอยู่ของเมืองอู๋ถึงเวลาคับขัน…”
จางเจี้ยนจวินไม่ยอมแพ้ เขาไม่กลัวคนขาเป๋ตรงหน้าแม้แต่น้อย บุตรชายบุตรเขยล้วยตายไปแล้ว
“เวลาคับขัน? เหตุใดผู้ที่ถูกสินบนล้วนเป็นบุตรของท่าน เฉินเลี่ยหู่ ความหายนะของเมืองอู๋เกิดขึ้นเพราะมีตระกูลของเจ้า!”
เริ่มต้นแล้ว ท่านอ๋องอู๋เอนไปทางด้านหลัง ครุ่นคิดว่าอีกสักพักใช้เหตุผลอันใดจากไปดี แต่ยังไม่ทันจะคิดได้ มีคนพูดขัดถกเถียงขึ้นมา
“ยังมีเรื่องทูลถวาย หยุดถกเถียงได้แล้ว” เสียงหญิงสาวดังขึ้น เล็กแหลมดังชัด กลบเสียงที่กำลังชายวัยชราที่กำลังถกเถียงกันภายในตำหนักไป
ภายในตำหนักเงียบสงบลง มองไปยังหญิงสาวด้านข้าว
เฉินตันจูพูดต่อ “ข้าเป็นคนสังหารพี่เขย เรื่องราวทั้งหมดข้ารู้กระจ่างที่สุด เรื่องที่ข้าสืบได้ เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของเมืองอู๋!”
เหวินจงแอบเยาะเย้ยในใจ ไม่ว่าเรื่องได้เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของเมืองอู๋อย่างได ก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉินที่มีคนทรยศแล้ว เขาพูดขึ้น “ยังไม่รีบพูด”
เฉินตันจูมองท่านอ๋องอู๋ “ท่านอ๋อง เรื่องนี้ข้าจะบอกท่านแต่เพียงผู้เดียว”
อะไรนะ เหวินจงขุ่นเคือง ไม่ทันได้ต่อว่า เฉินตันจูก็ร่ำไห้ขึ้นมา มองไปยังท่านอ๋องอู๋ “ท่านอ๋อง…”
ท่านอ๋องอู๋เป็นคนใจอ่อน ไม่ชอบเห็นหญิงงามน้ำตาตกถึงแม้หญิงงามตรงหน้ายังเด็ก…
“ได้ๆ” เขาตอบรับทันที เดิมทีก็ไม่อยากฟังชายเหล่านี้ถกเถียงกัน นี่เป็นโอกาสที่ตนเองจะหนีออกไปได้ จึงลุกขึ้นเดินไปตำหนักด้านข้าง “คุณหนูรองเฉินตามข้ามาเถิด”
เฉินตันจูตอบรับ ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามขึ้นไป เฉินเลี่ยหู่ยังไม่ทันได้ตอบสนอง เรื่องนี้เขาก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน เฉินตันจูมาได้บอกเขา แต่ห้ามตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว ทำได้เพียงมองดูบุตรสาวเดินตามท่านอ๋องอู๋เข้าไปตำหนักด้านข้าง…
จางเจี้ยนจวินหัวเราะเสียงเย็น “ท่านมหาราชครูโชคดี ไม่มีบุตรชายและบุตรเขยแล้ว แต่ยังมีบุตรสาวคนเล็กสวยงามดุจดอกไม้”
เขาคิดจะส่งบุตรสาวเข้าวังเกลี้ยกล่อมท่านอ๋องอู๋เพื่อรักษาอำนาจตระกูลเฉิน กลอุบายนี้ช่างต่ำช้า
สายตาของจางเจี้ยนจวินแปรเปลี่ยนไป เฉินเลี่ยหู่เห็นก็ไม่อยากจะสนใจ เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย บุตรสาวของเขาๆ ไม่ใช่คนประเภทนั้น แต่…ผู้ใดจะรู้กัน ตั้งแต่บุตรสาวบอกว่าสังหารหลี่เหลียง เขาก็รู้สึกมองบุตรสาวคนนี้ไม่ออกแล้ว
เฮ้อ! หวังว่านางจะไม่ทำเรื่องโง่เขลา
ตระกูลเฉินไม่จำเป็นต้องใช้ความงดงามของนางมาคุ้มกัน
เหล่าชายในตำหนักต่างมีความคิดที่แตกต่างกันไป ท่านอ๋องอู๋พาเฉินตันจูมาถึงตำหนักด้านข้าง เขาถามพร้อมหาวออกมา “มีเรื่องอันใด เจ้าพูดเถิด”
เฉินตันจูคุกเข่าลง “ท่านอ๋อง สถานการณ์ในค่ายทหารคับขันมาก มีจารชนจำนวนมากจากราชสำนักแทรกซึมเข้าไปด้านในแล้ว”
ท่านอ๋องอู๋ไม่สนใจ ร้อยปีมานี้ ท่านอ๋องโจว ท่านอ๋องอู๋ และราชสำนักตั้งแต่ฐานะที่เท่าเทียม จนกระทั่งเหยียดหยามฮ่องเต้ของราชสำนักมีเพียงหลายสิบแคว้น ทหารไม่กี่แสนอ่อนแอเกินไป
เมืองอู๋มีข้อได้เปรียบยิ่งกว่าเมืองอื่น มีแม่น้ำเป็นแนวกั้น ไม่มีกองทัพรุกรานได้
จารชนแล้วอย่างไร ผู้ใดไม่มีจารชน จารชนของเขาก็แทรกซึมเข้าไปในราชสำนัก อีกทั้งยังมีท่านอ๋องโจว และท่านอ๋องฉี…
จารชนก็เป็นเพียงจารชน เข้าพระราชวังไม่ได้ เข้าใกล้เขาไม่ได้…
“รู้แล้ว” เขากล่าว “ข้าจะส่งคนไปสืบหา และจับกุมจารชนทันทีอีกทั้งจับกุม ประหารเหล่าขุนนางที่รับสินบนเพื่อเป็นตัวอย่าง คุณหนูรองยังมีอันใดอีก”
เฉินตันจูลุกขึ้นพร้อมเดินเข้าใกล้เขา ถามเสียงเบา “ท่านอ๋อง ฝ่าบาทให้ข้ามาถามท่านอ๋อง”
ท่านอ๋องอู๋ผงะ ก่อนจะตกตะลึง อ้า…