ท่านอ๋องอู๋ออกจากเมืองอู๋ไปแล้ว ขุนนางและเหล่าราษฎรก็จากไปไม่น้อย แต่หวังเจียนรู้สึกว่าคนในเมืองไม่ลดลงแม้แต่น้อย
ต้นไม้ริมทางในฤดูร้อนห่อเหี่ยว แต่คนบนถนนยังคงไม่ขาดสาย ทำให้หวังเจียนต้องลดความเร็วของม้าลง
เพียงช้าไปเพียงเล็กน้อย ท่านแม่ทัพก็ไม้รู้ว่าวิ่งไปไหนแล้ว
ยังดีที่ไม่ไกลมาก ก็เห็นขบวนหนึ่งวิ่งมาจากทางด้านหน้า คนที่นำอยู่คือแม่ทัพหน้ากากเหล็ก หวังเจียนรีบวิ่งเข้าไป ถาม “ท่านแม่ทัพ ท่านไปไหนมา”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กราวกับถูกเขาถามจนเหม่อลอย “ใช่ ข้าไปไหนมา”
เอ๊ะ? หวังเจียนไม่เข้าใจ พินิจแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ใบหน้าที่ถูกหน้ากากเหล็กปิดบังเอาไว้มองไม่เห็นอารมณ์ทั้งเจ็ด น้ำเสียงแหบพร่าไร้ซึ่งกิเลสทั้งหก
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่สนใจการพินิจของหวังเจียน ถึงแม้จะสะบัดคนด้านหลังทิ้งแล้ว แต่เสียงของอีกฝ่ายยังดังอยู่ข้างหู…
“ท่านแม่ทัพ ท่านก็เคยบอกไว้ว่าอยากได้บุตรสาวที่ฉลาดและน่ารักเหมือนข้า…”
“ท่านแม่ทัพ ท่านกับท่านพ่อข้ารู้จักกัน ถือว่าเป็นสหายเก่าแก่หลายสิบปี เวลานี้ท่านพ่อข้าละทิ้งชุดเกราะกลับคืนสู่แปลงนา ต่อจากนี้ท่านก็คือผู้อาวุโสของข้า สมควรที่ได้รับการเรียกว่าท่านพ่อ…”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่ายหัว สะบัดคำพูดเหลวไหลเหล่านี้ทิ้งไป เฉินตันจูคิดได้อย่างไร เขาเป็นสหายกับบิดาของนางตั้งแต่เมื่อใด เขากับบิดาของนางเป็นศัตรู…แต่นางกลับคิดจะให้เขาเป็นพ่อบุญธรรม นี่เรียกอะไร นี่คือการรับโจรเป็นพ่อในตำนานใช่หรือไม่
เฉินตันจู…
ผิดปกติ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กนึกย้อนไปถึงท่าทางของหญิงสาวที่บางทีร้องไห้บางทีขุ่นเคืองบางทีเศร้าโศกบางทีดีใจ ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่ตนเองรับปาก…
เขาโดนหลอกแล้วหรือไม่
อันที่จริงเขาไม่ได้ไปเพื่อส่งเฉินเลี่ยหู่ เพียงแต่นึกเรื่องนี้ขึ้นได้จึงเดินทางมาดู สำหรับการจากไปของเฉินเลี่ยหู่อันที่จริงเขาก็ไม่มีความรู้สึกดีใจหรือเศร้าโศก เหมือนดั่งที่เฉินตันจูพูด แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาทางทหาร
คนที่ทำสงครามสนใจเพียงแค่แพ้ชนะ ส่วนถูกหรือผิดเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์
จากนั้นก็เห็นหญิงสาวที่ถูกบิดาทอดทิ้งเหลือตัวคนเดียวในเมืองอู๋ ท่าทางเศร้าโศกเสียใจ…
นางโศกเศร้า แต่เหตุใดเป็นเขาที่รับปากเงื่อนไขต่างต่างนานา บอกว่าเฉินตันจูมีคุณงามความดี บอกว่าไม่เอาความโทษของเฉินเลี่ยหู่ อีกทั้งบอกว่าจะแจ้งข่าวไปยังซีจิง…เกี่ยวอะไรกับเขากัน!
แม่ทัพหน้ากากเหล็กก่นด่าภายในใจ เขาถูกหลอกอย่างแน่นอน เฉินตันจูใช้กลอุบายที่รับมือกับท่านอ๋องอู๋หรือ
เวลานี้เฉินตันจูนั่งอยู่ในรถ เคลื่อนที่ไปยังภูเขาดอกท้ออย่างเชื่องช้า
อาเถียนล้างถ้วยชาอีกครั้ง ถึงแม้แม่ทัพหน้ากากเหล็กจะไม่ได้ใช้ดื่มชา แต่มือของเขาแตะต้องเข้า น้ำจากบนภูเขาที่เหลือเพียงพอต่อการชงชาหนึ่งถ้วย
“คุณหนู ดื่มชาเจ้าค่ะ” นางยื่นเข้าไป พูดด้วยความห่วงใย “พูดมาครึ่งวันแล้ว”
ทั้งร้องไห้ทั้งพูดความอึดอัดทั้งโศกเศร้าทั้งขอร้อง…นางยืนดูจนฉงน คุณหนูต้องเหนื่อยมากอย่างแน่นอน
เฉินตันจูเอนตัวอยู่บนหมอน สะบัดพัดกลมเบา ๆ เพื่อขับไล่ความร้อนอับในฤดูร้อน บนใบหน้าไม่มีความโศกเศร้าเหมือนก่อนหน้านี้ ดวงตาสดใส มุมปากยกยิ้ม
เมื่อเห็นท่าทางของนาง อาเถียนเหม่อลอยเล็กน้อย หากไม่ได้อยู่ข้างตัวตลอด นางคงต้องคิดว่าคุณหนูถูกเปลี่ยนคนไปแล้ว ในขณะที่แม่ทัพหน้ากากเหล็กพาคนจากไปนั้น ความขลาดของคุณหนูสลายหายไปจนหมดสิ้น…อืม เหมือนดั่งคุณหนูที่ส่งนายท่านจากไป หันหลังไปเห็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก สีหน้าเรียบเฉยในเดิมทีแปรเปลี่ยนเป็นความขลาดกลัว
คุณหนูเปลี่ยนหน้านับวันยิ่งเร็วขึ้นแล้ว อาเถียนคิดในใจ
เฉินตันจูรับชามาดื่มอย่างช้าๆ เมื่อนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ นางส่งเสียงในลำคอเบาๆ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมาเพื่อส่งท่านพ่อจากไป หรือเพื่อเป็นการฉลองศัตรูตกต่ำ นางล้วนไม่สนใจ
แต่เขามาได้เวลาพอดี นางกำลังเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเขาเมื่อกลับไปถึงซีจิง
นางทำเรื่องเลวร้ายมากเพียงนี้แล้ว ก็คือคนเลวหนึ่งคน คนเลวต้องเรียกร้องคุณงามความดี ต้องเอาใจเยินยอ ต้องทำเพื่อผลประโยชน์ อีกทั้งคนเลวย่อมต้องหาที่พึ่ง…
ตอนที่หญิงสาวคนนั้นคิดจะฆ่านาง มั่วหลินที่แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่งมาใช้เพียงคำเดียวก็หยุดเอาไว้ได้
เห็นได้ชัดว่า แม่ทัพหน้ากากเหล็กคือที่พึ่งที่เชื่อใจได้มากที่สุดของนางในเวลานี้
เฮ้อ คนน่าสงสารที่ทำเพื่อราชสำนักจนต้องแยกจากคนในตระกูล ถูกท่านพ่อของตนเองทอดทิ้งอย่างนาง แม่ทัพหน้ากากเหล็กจะไม่ดูแลนางได้อย่างไร
ส่วนเหตุใดจึงพูดถึงองค์ชายหกทางซีจิง…
นางไม่ได้สนใจว่าองค์ชายหกจะมีจิตใจโอบอ้อมหรือว่าไร้เดียงสา แต่เพราะว่านางรู้ว่าชาติก่อนองค์ชายหกอยู่ในซีจิง
ต่อจากนี้เมืองอู๋กลายเป็นเมืองหลวง เชื้อสายราชวงศ์ย่อมต้องอพยพมา องค์ชายหกจึงเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในซีจิง หากเขายอมปล่อยท่านพ่อ คนในตระกูลย่อมอยู่ในซีจิงได้อย่างสงบสุข
เวลานี้ก็แค่รอดูความสัมพันธ์ระหว่างแม่ทัพหน้ากากเหล็กและองค์ชายหกว่าเป็นอย่างไร
แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อทำสองเรื่องนี้แล้ว จิตใจของนางก็รู้สึกมั่นคงมากขึ้น เปลี่ยนท่าเอนบนหมอน มองดูทิวทัศน์ที่ผ่านไปช้าๆ ด้านนอกรถ
ทุกสิ่งคุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเคย สิ่งที่คุ้นเคยคือเมืองอู๋จะกลายเป็นเมืองหลวง สิ่งที่ไม่คุ้นเคยคือทุกสิ่งแตกต่างจากที่นางประสบผ่านมาเมื่อสิบปี นางไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร สิ่งที่รออยู่ตรงหน้าจะเป็นอย่างไร
ท่านอ๋องอู๋ไม่ตาย แต่กลายเป็นท่านอ๋องโจว ดังนั้นจึงย่อมไม่มีกองกำลังที่เหลือของท่านอ๋องอู๋ เพียงแค่เมืองอู๋สงบสุข ราชสำนักก็ย่อมมีการสั่นคลอนน้อยลง
เฉินตันจูเดินขึ้นไปด้านบนเขาตามทาง ลมร้อนอบอ้าวในฤดูร้อนพัดผ่าน บนท้องฟ้ามีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น นางหยุดฝีเท้าลง มองไปยังระยะไกลพร้อมอาเถียน เมฆดำกลุ่มหนึ่งลอยมาจากขอบฟ้า
“คุณหนู ฝนจะตกแล้วเจ้าค่ะ” อาเถียนพูด
เฉินตันจูตอบรับ “กลับไปเถิด” ก่อนจะถาม “อาหารในอารามเพียงพอหรือไม่”
อาเถียนพยักหน้า “วางใจเถิดเจ้าค่ะ คุณหนู ตั้งแต่รู้ว่านายท่านจะจากไป ข้าซื้อของมาเก็บไว้จำนวนมาก เพียงพอให้พวกเรากินไประยะหนึ่งแล้ว”
เฉินตันจูอมยิ้มพยักหน้า “ไป พวกเรากลับไป ปิดประตู หลบลมฝน”
อาเถียนตอบรับอย่างดีใจ เดินไปยังอารามเล็กบริเวณไหล่เขาพร้อมเฉินตันจูอย่างดีใจ
จู๋หลินเดินคิดอยู่ด้านหลัง อาเถียนกล้าพูดได้อย่างไรว่านางซื้อของจำนวนมาก ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนจ่ายเงินซื้อ เฮ้อ จู๋หลินลูบคลำถุงเงิน ไม่เพียงเดือนนี้หมดแล้ว เงินเดือนของเดือนหน้าก็หมดแล้ว อีกทั้งคุณหนูเฉินตันจูไม่มีทางมีเงินแล้ว คนในตระกูลของนางต่างอพยพไป นางตัวคนเดียวไม่มีเงินแม้แต่น้อย…
จากนี้ไปต้องทำอย่างไร เขาต้องเลี้ยงพวกนาง?
เขานึกถึงเหตุการณ์น่าหวาดกลัวเมื่อสักครู่ คุณหนูตันจูวิ่งตามท่านแม่ทัพเพื่อจะให้ท่านแม่ทัพเป็นพ่อบุญธรรม…อืม เช่นนั้น เขาสามารถขอเงินจากท่านแม่ทัพได้หรือไม่
หากคุณหนูตันจูกลายเป็นบุตรสาวบุญธรรมของท่านแม่ทัพ บิดาให้เงินบุตรสาวใช้ก็เป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่
…
หลังเสียงฟ้าร้องดังขึ้น หยาดฝนเท่าเม็ดถั่วตกลงมา หวังเจียนอยู่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งบริเวณริมหน้าต่างภายในตำหนักใหญ่ เสียงหัวเราะของเขาแทบจะกลบเสียงด้านในและเสียงฟ้าร้องด้านนอก
“ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะมีวันนี้” เขากุมท้องหัวเราะไร้ซึ่งท่าทางของผู้มีการศึกษา หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา “ข้าบอกแล้ว หญิงสาวคนนี้น่ากลัวมาก…”
เขามองแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่นั่งอยู่ด้านข้าง ก่อนจะเยาะเย้ยสมทบ
“นี่คือผลกรรมกระมัง ท่านก็มีวันนี้ ท่านตกใจมากใช่หรือไม่”
ฝนตกลงมาอย่างรุนแรง ภายในห้องมืดสลัว แม่ทัพหน้ากากเหล็กถอดชุดเกราะและหมวกลง เสื้อสีเทาปกคลุมไว้บนตัว ผมสีขาวเทาแผ่สยาย หน้ากากเหล็กกลายเป็นสีเทาดำ เขานั่งอยู่บนพื้นดุจดั่งนกอินทรีสีเทา
เขาอดไม่ได้ที่จะบอกเล่าเรื่องในวันนี้แก่หวังเจียน เพราะอย่างไรก็ตามสถานการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่คิดว่าหลังจากที่หวังเจียนได้ฟังจะหัวเราะขนาดนี้…
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองเขาทีหนึ่ง “ก็แค่เป็นพ่อคนไม่ใช่หรือ มีอะไรน่าตกใจ”
หวังเจียนส่งเสียงจิ๊ปากสองที “เมื่อเป็นพ่อแล้ว เจ้าหนูนี้ทำเรื่องไม่ดีใช้ท่านเป็นดาบ หากก่อเรื่องใช้ท่านเป็นโล่ นางใส่ร้ายได้แม้กระทั่งพ่อแท้ๆ…”
ใส่ร้ายพ่อบุญธรรมยิ่งสนุกมากกว่า
หวังเจียนเลิกคิ้ว “เจ้าหนูนี้ดูท่าทางอ่อนแอ แต่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต”
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางทำต่อท่านอ๋องอู๋ ขุนนางอู๋รวมไปถึงสนม เพียงแค่พูดถึงเรื่องที่นางพูดกับแม่ทัพหน้ากากเหล็กในวันนี้ ทั้งร้องไห้ทั้งดื้อรั้นทั้งมีเหตุมีผล เดินหน้ารุกรานได้ ถอยหลังเฝ้าระวังได้ ทำให้ท่านแม่ทัพงุนงง..ฮึ หวังเจียนพูดในใจ แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดอย่างเรียบเฉย “จะเป็นพิษภัยอะไรกัน เจ้ามักชอบหลอกให้ตนเองหวาดกลัว”
หวังเจียนถอนหายใจ “ฝ่าบาทจะอพยพเมืองหลวงแล้ว เมื่อถึงเวลาเมืองอู๋คงคึกคักมาก เมื่อคนมาก เรื่องย่อมมาก มีเจ้าหนูนี้อยู่ ย่อมมีปัญหามาก”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับ “ไม่รู้จะเกิดปัญหาอะไรกัน”
เหตุใดฟังดูแล้วเหมือนเขารอคอยอย่างยิ่ง หวังเจียนขุ่นเคือง เอาเถิด เขาไม่ควรพูดเช่นนี้ เหตุใดเขาจึงลืมไป คนบางคนก็เป็นพิษภัยในสายตาคนอื่นเช่นเดียวกัน!
เวลานี้มีองครักษ์คนหนึ่งเดินเข้ามา ตัวของเขาเต็มไปด้วยหยาดฝน ทำให้พื้นเปียกชื้น เขาพูดกับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก “ตามคำสั่งของท่าน คุณหนูเหยากลับซีจิงไปแล้วขอรับ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กยังไม่ทันพูด หวังเจียนก็พูดขึ้น “นี่คือหนึ่งปัญหา”