บุปผาลิขิตแค้น – ตอนที่ 97 ขุนนางใหม่

ตอนที่ 97 ขุนนางใหม่

เฉินตันจูไม่เห็นคุณชายเหวิน หลังจากจัดการปัญหาของจางเหม่ยเหรินแล้ว นางก็ไม่ได้สนใจขุนนางอู๋ที่อยู่ต่ออีก

เดิมทีนางก็ไม่ได้ต้องการขับไล่ขุนนางอู๋ทั้งหมด เป้าหมายของนางมีเพียงตระกูลของจางเหม่ยเหรินและจางเจี้ยนจวิน

ส่วนความเกลียดชังของขุนนางอู๋คนอื่นและคนในตระกูลของพวกเขาที่มีต่อเฉินเลี่ยหู่กับนางก็ไม่สำคัญ นางไม่อาจกำจัดทุกคนที่มีเจตนาร้ายต่อนาง ทำได้เพียงอยู่รอดให้ได้เท่านั้น

คนบนถนนมีจำนวนมาก รถม้าก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะเป็นฤดูหนาว แต่รถม้าบางคันเปิดหน้าต่างและประตูเอาไว้ เพื่อให้คนในรถสามารถมองเห็นความคึกคักบนท้องถนน

บนรถเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหญิงสาวอายุน้อย ถึงแม้มองผ่านๆ จะเหมือนกับเหล่าหญิงสาวที่พบเจอบนท้องถนน แต่หากสังเกตลักษณะของการแต่งกายก็จะพบความแตกต่าง อีกทั้งเสียงพูดคุยหัวเราะที่ลอยออกมาจากภายในรถ สำเนียงยิ่งมีความแตกต่าง

“คุณหนู ท่านดูคุณหนูท่านนั้น ใต้ตาแต้มแป้งสีขาว ดูแล้วแปลกตายิ่งนัก”

“คุณหนู ผมของคุณหนูท่านนั้นหวีขึ้นไปสูงมาก”

“คุณหนู คิ้วของคุณหนูท่านนั้นวาดได้สวยงามมาก”

ถึงแม้ประตูและหน้าต่างรถของเฉินตันจูไม่ได้เปิดออก แต่เพื่อไม่พลาดสิ่งที่น่าสนใจบนท้องถนน อาเถียนมักจะเปิดม่านมองออกไปด้านนอก เหล่าหญิงสาวที่ดึงดูดสายตาเหล่านี้ย่อมเป็นที่สังเกต

เมื่อเทียบกับความตะลึงของอาเถียน เฉินตันจูที่เห็นสิ่งเหล่านี้กลับรู้สึกคุ้นเคย เหล่าหญิงสาวที่ผ่านไปมาบริเวณเชิงเขาเมื่อสิบปีนั้นล้วนแต่งกายเช่นนี้ เมืองอู๋กลายเป็นเมืองหลวง เหล่าหญิงสาวที่มาจากซีจิงก็นำพามาซึ่งความเปลี่ยนแปลงด้านการแต่งกายของหญิงสาวในเมืองอู๋

โดยเฉพาะองค์หญิงจินเหยาที่ได้รับการรักใคร่จากฮ่องเต้อย่างเป็นที่สุดยิ่งก่อให้เกิดการเลียนแบบขึ้นมา

เวลานั้นแม้แต่เหล่าหญิงสาวในหมู่บ้านดอกท้อก็มักจะพูด “ทรงผมนี้เป็นทรงผมใหม่ขององค์หญิงจินเหยา”

“องค์หญิงจินเหยาแต่งหน้าดอกพลัม[1]แบบใหม่”

“สีนี้องค์หญิงจินเหยาชื่นชอบที่สุด”

ถึงแม้จะไม่เคยพบหน้ามาก่อน แต่เฉินตันจูก็สามารถจินตนาการถึงความฉลาดเฉลียวขององค์หญิงที่หลงใหลในการแต่งกายท่านนี้ได้

องค์หญิงท่านนี้แต่งงานกับบุตรชายของโจวชิง หรือท่านโหวโจว เวลาน่าจะราวสี่ปีหลังจากย้ายเมืองหลวง

เวลานั้นทุกคนต่างชื่นชมในงานแต่งครั้งนี้ ฮ่องเต้และโจวชิงดุจดั่งพี่น้อง ทั้งสองกลายเป็นครอบครัวเดียวกันก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล

แต่น่าเสียดาย หลังจากนั้นสองปีองค์หญิงจินเหยาตายเมื่อตอนให้กำเนิดบุตร อีกทั้งเด็กก็ไม่มีชีวิตรอด

หลังจากนั้นอีกก็คือตอนที่นางพบท่านโหวโจวที่เมาสุรา ลักษณะดุจดั่งขอทาน และหลังจากนั้นท่านโหวโจวก็ตายไป

เฉินตันจูเหม่อลอยเล็กน้อย เมื่อครุ่นคิดในเวลานี้ ท่านโหวโจวและองค์หญิงจินเหยารักใคร่กันจริงหรือ หากท่านโหวโจวรู้ว่าบิดาของตนเองถูกฮ่องเต้สังหาร ส่วนตนเองที่แต่งงานกับองค์หญิงจินเหยา เขาจะรู้สึกอย่างไร หลังจากที่องค์หญิงจินเหยาตายไป ฮ่องเต้ก็ล้มป่วยลง ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาร่างกายของฮ่องเต้ก็ไม่ดีนัก…

“คุณหนู ท่านดู…” อาเถียนเขย่าตัวนางเบาๆ

เฉินตันจูดึงสติกลับมา มองเห็นหญิงสาวหลายคนที่สวมชุดกระโปรงรัดอกยาวลากพื้นผ่านม่านรถที่อาเถียนเปิดขึ้น พวกนางหวีผมตั้งสูง เดินผ่านไปอย่างสง่างาม ไม่รู้ว่าพูดถึงเรื่องอันใด เสียงหัวเราะดุจดั่งกระดิ่งดังขึ้น ดึงดูดสายตาของผู้คนบนท้องถนน

อาเถียนพึมพำ “คุณหนู ข้าลองหวีผมทรงนี้ให้ท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”

เฉินตันจูยิ้ม ถึงแม้ภายนอกของนางในเวลานี้จะเป็นช่วงอายุที่รักสวยรักงามมากที่สุด แต่ภายในของนางอยู่ในอารามบนภูเขามาสิบปีแล้ว หมดกิเลสเรื่องการกินและการแต่งกายไปนานแล้ว

แต่ว่านางก็แอบมองเหล่าหญิงสาวที่เดินผ่านไป ภายในใจครุ่นคิด เหล่าหญิงสาวชนชั้นสูงของ

เมืองซีจิงเดินทางมาจำนวนมากแล้ว ไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนั้นมาด้วยหรือไม่

เหยาฝูสวมชุดกระโปรงแขนกว้าง เดินอยู่ในพระราชวังอู๋…หรือพระราชวังหลวงในเวลานี้ภายใต้เสียงของหยกกระทบกัน

นางคุ้นชินกับเมืองอู๋ แต่เป็นครั้งแรกที่เข้าพระราชวัง หลี่เหลียงสามารถเดินทางเข้าออกพระราชวังได้ คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินก็เช่นเดียวกัน แต่นางทำไม่ได้

หลี่เหลียงพูดพลางโอบนางเอาไว้ “อิจฉาหญิงคนนั้นเพื่ออันใด ดูภายนอกสูงส่ง แต่เมื่อเข้าวังก็ทำได้เพียงถูกท่านอ๋องอู๋ลวนลามทางสายตา เฉินเลี่ยหู่ไร้ความสามารถ ไม่กล้าแม้แต่จะตำหนิแม้แต่คำเดียว กล้าเพียงยัดเยียดบุตรสาวให้ข้า หากไม่ใช่เฉินเลี่ยหู่สามารถให้โอกาสข้าครอบครองสิทธิทางการทหาร ข้าไม่มีทางรับนาง อาฝู เจ้าวางใจ เมื่อพวกเราสร้างคุณงามความดีสำเร็จ พระราชวังนี้เจ้าและข้าเข้าออกได้ตามใจอย่างแน่นอน”

เวลานี้นางสามารถเข้าออกได้แล้ว แต่หลี่เหลียงไม่มีโอกาสนี้แล้ว

“หยุด เจ้ามาจากที่ใด” เสียงตะโกนขององครักษ์หลวงดังขึ้นจากด้านหน้า

เหยาฝูชะงักฝีเท้าลง “ข้าเป็นน้องสาวของพระชายา…”

นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกองครักษ์หลวงขัดขึ้น “ป้ายห้อยเอว”

ภายในดวงตาของเหยาฝูฉายแววขุ่นเคืองด้วยความอาย ยื่นป้ายห้อยเอวในมือออกไป องครักษ์หลวงมองป้ายห้อยเอว ก่อนจะพินิจมองนาง จากนั้นถึงได้หลีกทาง “คุณหนูสี่เชิญ”

เมื่อครู่นางพูดผิด นางสามารถเข้าออกได้ แต่ไม่อาจเข้าออกได้ตามใจ เหยาฝูยืดตัวตรงเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า มุ่งหน้าตรงไปยังหอวั่งเซียนที่ตั้งตระหง่านอยู่ในพื้นที่วังหลัง สามารถมองร่างของคนจำนวนมากจากระยะไกล อีกทั้งยังมีเสียงหัวเราะของเหล่าหญิงสาวลอยมา พระชายากำลังเล่นสนุกอยู่กับพระสนมและเหล่าองค์หญิง

นอกจากฮองเฮาและพระรัชทายาทแล้ว ยังมีองค์หญิงสององค์และองค์ชายหกที่ยังอยู่ในเมืองซีจิง ส่วนองค์ชายอื่น และเหล่าพระสนมต่างพาเหล่าองค์หญิงเดินทางมาถึงแล้ว

เนื่องจากจวนองค์ชายยังสร้างไม่เสร็จ ฮ่องเต้จึงพระราชทานพื้นที่ส่วนหนึ่งภายในพระราชวังหลวงให้เหล่าองค์ชายพักอาศัย โชคดีที่พระราชวังอู๋กว้างใหญ่อย่างมาก จึงมีพื้นที่เพียงพอต่อการอาศัย

เหยาฝูมองดูหอวั่งเซียนที่สูงตระหง่าน หอที่ท่านอ๋องอู๋สร้างนี้สวยงามอย่างมาก จากนั้นนางในหลายคนที่พิงราวระเบียงอยู่นั้นเหลือบมองมาเห็นนางเข้า บนใบหน้าปรากฏสีหน้าตกตะลึง…เหยาฝูเป็นหญิงงามที่ทำให้ผู้พบเห็นตกตะลึงตั้งแต่แรกพบ

เหยาฝูย่อมรู้ดีถึงความงามของตนเอง นางก้มหน้าต่ำ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงดังขึ้น “คุณหนูสี่มาแล้วหรือ รีบขึ้นมา พระชายารอท่านอยู่เจ้าค่ะ”

เหยาฝูตอบรับก่อนจะยกกระโปรงเดินขึ้นด้านบน นางสัมผัสได้ถึงท่าทีเอาใจของเหล่านางในและขันทีรอบด้าน…สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพราะชื่อของพระชายา

หากเมื่อกี้คนที่เดินเข้ามาคือพระชายา องค์รักษ์หลวงย่อมไม่มีทางกีดขวาง ยิ่งไม่ตรวจป้ายห้อยเอว!

“อาฝู” เสียงของพระชายาดังขึ้น “เจ้ากลับมาแล้วหรือ”

เหยาฝูรีบดึงสติกลับมา นางเห็นพระชายานั่งอยู่มุมหนึ่งของหอ บนตัวคลุมผ้าขนจิ้งจอก…ผ้าคลุมนี้ฮ่องเต้พระราชทานให้ใหม่ ทำให้ใบหน้าที่ธรรมดาของนางยิ่งโดดเด่นมากขึ้น

“เจ้าค่ะ” เหยาฝูพยักหน้า “ข้าเดินทางไปเยี่ยมเยือนรอบหนึ่ง แต่ละตระกูลล้วนมีคนเดินทางมาถึงแล้ว ตระกูลที่นายหญิงยังเดินทางมาไม่ถึงก็มีลูกสะใภ้คนโตและบุตรสาวคนโตเดินทางมาก่อน ท่านพี่ อาศัยช่วงเวลาปีใหม่ เรียกทุกคนมาจัดเลี้ยงในวังดีหรือไม่เจ้าคะ”

พระชายาส่ายหัว “ไม่ได้ ฮองเฮายังเดินทางมาไม่ถึง ไม่เหมาะที่จะจัดงานเลี้ยง”

เหยาฝูพยักหน้า “ท่านพี่พูดถูก ข้าคิดไม่รอบคอบเอง” เดินหน้าขึ้นหนึ่งก้าว “หรือไม่ท่านพี่จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ให้เหล่าหญิงชนชั้นสูงจากเมืองหลวงคุ้นเคยกับเหล่าหญิงชนชั้นสูงในเมืองอู๋เสียก่อน เมื่อถึงงานเลี้ยงใหญ่ของพระราชวัง ทุกคนจะได้คุ้นเคยกัน ฝ่าบาทและฮองเฮาเห็นย่อมต้องดีใจ”

พระชายายิ้ม “ความคิดเจ้าดียิ่งนัก” แต่นางก็ลังเลเล็กน้อย “แต่ว่างานเลี้ยงเล็กข้าไม่สะดวกออกหน้า”

นางเป็นคนที่ระมัดระวัง เกรงว่าจะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงขององค์รัชทายาท

เหยาฝูถามอย่างลองเชิง “เช่นนั้นไม่ใช้ชื่อของท่านพี่ แต่ใช้ชื่อของตระกูลเหยา ร่วมกับเหล่าคุณหนูตระกูลอื่น เช่นนี้ย่อมเป็นการสร้างสัมพันธ์ของทุกคนเอง สมเหตุสมผล อีกทั้งไม่โดดเด่นมากนัก”

พระชายาโล่งใจ “เช่นนี้ยิ่งดี เรื่องนี้มอบหมายให้เจ้า”

เหยาฝูก้มตัวลง “ขอบคุณท่านพี่ที่ไม่รังเกียจ”

พระชายาพยุงนางขึ้นมา “ดูเจ้า ชอบพูดเช่นนี้อยู่เรื่อย เจ้าแซ่เหยา ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นบ้านไหน เวลานี้เข้าประตูของตระกูลข้า เรียกข้าว่าพี่ เจ้าก็คือคุณหนูสี่ของตระกูลข้า อย่าเกรงกลัวเช่นนี้ ไม่ต้องกลัว ทุกเรื่องยังมีข้าอยู่”

เหยาฝูยืดหลังตรง ตอบอย่างหนักแน่น

ในเมื่อทุกเรื่องมีท่านก็ง่ายแล้ว

[1] แต่งหน้าดอกพลัม หมายถึง รูปแบบหนึ่งของการแต่งหน้าด้วยการแต่งแต้มลงบนหน้าผาก ระหว่างคิ้วหรือข้างแก้มตามแบบจีนโบราณ

บุปผาลิขิตแค้น

บุปผาลิขิตแค้น

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก ชิงไหวชิงพริบเข้มข้น เจ้าของผลงานหวนชะตารัก

ท่ามกลางยุคสมัยอันวุ่นวาย เฉินตันจู บุตรสาวราชครูในท่านอ๋องอู๋

หนึ่งในท่านอ๋องที่ตั้งตนเป็นใหญ่ได้ย้อนเวลากลับมาครั้นเมื่อตนอายุสิบห้าปี

ครั้งที่บิดาและครอบครัวยังไม่ถูกสังหารด้วยแผนการร้ายของพี่เขย

เมื่อได้ย้อนกลับมาปณิธานของนางย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลให้ไม่พบจุดจบดังเดิม

ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและถูกผลักไส

แต่เพื่อความสุขของคนที่รักนางพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง เมื่อก้าวเดินของนางเปลี่ยนแปลงชะตาเดิม

เมื่อนั้นนางก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวังวนของการแก่งแย่งเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท