อารามท่ามกลางหุบเขาในฤดูใบไม้ร่วงเงียบสงบยิ่งนัก เฉินตันจูเขียนบันทึกจบหนึ่งหน้า อาเถียนก็เดินเข้ามาจากด้านนอก รายงานว่าจู๋หลินส่งลังนั้นกลับไปตระกูลอวี๋แล้ว
“ก่อนหน้านี้ไม่รับเพราะเกรงว่าพวกเขากลัวข้ารักษาไม่ได้ หรือไม่รักษาให้ดี” เฉินตันจูยืดตัว หาวออกมา “เวลานี้หายดีแล้ว พวกเขาก็วางใจแล้ว สามารถเก็บคืนไปได้”
พูดจบก็หัวเราะขึ้นมา นางไม่ใช่โจรชิงทรัพย์จริงๆ เสียหน่อย
อาเถียนส่ายหัว “ข้ารู้สึกว่าคืนกลับไปพวกเขาก็ยังคงกลัว จะคิดว่าคุณหนูมีความคิดอื่นหรือไม่”
สู้เก็บเอาไว้ใช้เสียดีกว่า ฤดูหนาวมาถึงแล้ว ขาดแคลนเงินอย่างมาก…เฮ้อ เหตุใดนางจึงกลายเป็นคนร้ายเพียงนี้ แต่ก่อนตอนที่เป็นสาวรับใช้ตระกูลเฉิน นางมักจะทำทานเสมอ เวลานี้กลับมีความคิดชิงทรัพย์ขึ้นมา
เฉินตันจูได้ยินความในใจของนาง หัวเราะขึ้นอีกครั้ง “ชื่อเสียงอย่างอื่นก็ปล่อยไปเถิด เสียก็เสีย ข้าก็ไม่สนใจ แต่การรักษาโรคช่วยชีวิตคนอย่าให้คนได้เกรงกลัวเลย เช่นนี้มีหนึ่งก็จะมีสอง มีสองก็จะมีสาม…”
อาเถียนยิ้ม ก่อนจะยื่นออกมาสามนิ้ว “มีสามแล้วเจ้าค่ะ ท่านยายขายชามาให้คุณหนูรักษาให้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
ได้ยินเสียงหัวเราะที่ลอยออกมาจากภายในห้อง จู๋หลินนั่งเบะปากอยู่บนหลังคา ดูท่าทางเงินของเขาคงไม่ได้เอาคืนมาได้โดยเร็วแล้ว
ด้านข้างมีองครักษ์ส่งเสียงนกร้องดังขึ้น
จู๋หลินพูด “ไม่มีคนอื่น พูดภาษาคน”
องครักษ์กระโดดจากบนต้นไม้ลงมา “เฟิงหลินส่งข่าวมา คุณหนูเหยาติดตามพระชายาองค์รัชทายาทเดินทางมา”
คุณหนูเหยาหรือ จู๋หลินตอบรับ
“เฟิงหลินบอกให้พวกเราดูคุณหนูตันจูไว้ให้ดี” องครักษ์พูด
จับตาดูคุณหนูตันจูให้ดี อย่าให้ไปยุ่งกับคุณหนูเหยาหรือ จู๋หลินกังวลเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าจะจับตาดูคุณหนูตันจูไว้ได้หรือไม่
“เฟิงหลินควรให้คนไปบอกคุณหนูเหยา” เขาพูด
องครักษ์นั้นพูดอย่างระอา “คุณหนูเหยาเป็นคนขององค์รัชทายาท ครั้งก่อนห้ามนางไว้ได้เพราะท่านแม่ทัพขอให้มั่วหลินออกหน้า อาศัยชื่อของฝ่าบาท ชื่อของฝ่าบาทจะยืมให้คุณหนูตันจูทุกวันได้อย่างไร อีกทั้งคุณหนูเหยามีคุณงามความดีต่อราชสำนัก”
ใช่ คุณหนูเหยาถูกองค์รัชทายาทส่งมายังเมืองอู๋ นางสามารถหลอกล่อหลี่เหลียงได้สำเร็จ ถึงแม้จะถูกคุณหนูตันจูพังทลาย แต่หากพูดตามจริง คุณหนูเหยายังคงมีคุณงามความดี
จู๋หลินย่อมกระจ่างเหตุผลนี้ เขาเพียงแค่ยืนอยู่ในมุมมองของเฉินตันจู…
เขาหันหน้าเข้าห้อง เสียงสนทนาเงียบลงแล้ว แสงไฟค่อยๆ ดับลง นายบ่าวสองคนเข้าสู่ห้วงนิทราในยามค่ำคืน
ต่อจากนี้เมืองอู๋คือเมืองหลวง องค์รัชทายาทใกล้เดินทางมาถึงแล้ว วิ่งไปตักเตือนคนขององค์รัชทายาทเพื่อหญิงชนชั้นสูงของเมืองอู๋ก่อนหน้านี้ ไม่เหมาะสมและไม่สมเหตุสมผล
เฟิงหลินพูดถูก จับตาดูคุณหนูตันจูไว้ให้ดี อย่าให้นางก่อเรื่องคือการปกป้องนางที่ดีที่สุด
…
ถึงแม้จะต้อนรับคนป่วยที่มาให้รักษาเอง แต่ต่อมายังคงไม่มีการขอรักษาที่ตามติดมา แต่พิสูจน์แล้วว่าคุณหนูสามารถรักษาได้จริง อาเถียนก็วางใจลง
เฉินตันจูไม่ได้เปิดร้านยาที่เชิงเขาอีก หนึ่งคืออากาศนับวันยิ่งเย็นลง สองคือหญิงชราขายชาช่วยนางได้
อาเถียนวางยาไว้ในโรงน้ำชา หญิงชราขายชาจะนำเสนอมอบให้กับแขกที่มาดื่มชา เพื่อเป็นการตอบแทน เหล่าสาวรับใช้ของอารามดอกท้อจะมาช่วยหญิงชราต้มชา
“ยานี้มาจากเจ้าอารามดอกท้อบนภูเขา คลายร้อนถอนพิษ แก้เลี่ยนลดบวม ท่านรับสักห่อหรือไม่”
ไม่เพียงมอบยาให้ เมื่อมีคนพูดถึงเรื่องเล่าที่ได้ยินมา หญิงชราขายชายังช่วยอธิบาย
“ชิงทรัพย์รักษาโรค? ไม่มีเรื่องแบบนั้น…ใช่ เจ้าอารามนั้น…”
หญิงชราขายชาแทนคุณหนูตันจูเป็นเจ้าอาราม…จากความฉลาดของคนชรา เจ้าอารามทำให้คนเชื่อมั่นมากกว่าคุณหนู
“เจ้าอารามรีบร้อนในการช่วยคนจึงขวางทางเอาไว้ เฮ้อ เจ้าอารามเพิ่งเปิดร้านยา ทุกคนยังไม่เชื่อฝีมือของนาง ดังนั้นจึงเกิดความเข้าใจผิด”
“ต่อมาปรับความเข้าใจกันแล้ว ตระกูลของคนที่ถูกช่วยเหลือยังส่งสิ่งของขอบคุณมากจำนวนมาก”
“หากท่านไม่สบายตรงไหน สามารถเดินขึ้นเขาไปให้เจ้าอารามของอารามดอกท้อดูให้…”
“ถึงแม้จะไม่ต้องการรักษา ก็สามารถเดินเล่นบนภูเขาได้ ภูเขาลูกนี้ไม่ใหญ่นัก แต่ทิวทัศน์งดงาม อีกทั้งยังมีบ่อน้ำธรรมชาติ น้ำที่ข้าใช้ต้มชามาจากทางนั้น”
หญิงชราขายชายืนอยู่บริเวณไหล่เขาสนทนาเล่นกับแขกและมอบยาให้ ก่อนจะชี้ไปบนภูเขา จากนั้นแขกทุกคนล้วนรับยาที่เขียนว่าอารามดอกท้อไป อีกทั้งยังมีแขกบางคนเดินขึ้นภูเขามา อาเถียนพูดกับเฉินตันจู “ท่านยายคนเดียวเก่งกว่าพวกเราที่วิ่งไปส่งยาเสียอีก”
เฉินตันจูพูด “เพราะท่านยายพูดเหมือนกันกับแขกทุกคน ทุกคนจึงเชื่อนาง”
ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่นางยืนกรานก่อเพิงบริเวณเชิงเขา ไม่ได้ทำเพื่อต้องการให้คนที่ผ่านไปมาเชื่อนางยอมรับนาง หากแต่ทำเพื่อให้หญิงชราขายชาเชื่อนางยอมรับนาง
เมื่อมีความเชื่อมั่นและยอมรับนาง ร้านยาของนางจึงจะเปิดได้ยาว เพราะโรงน้ำชานี้อยู่บนถนนนี้อีกเป็นเวลานาน
“คุณหนู คุณหนู คนเหล่านั้นขึ้นมาแล้ว” อาเถียนดึงแขนเสื้อของเฉินตันจูอย่างตื่นเต้น “พวกเรากลับไปรอ”
เฉินตันจูยิ้ม พาอาเถียนเดินกลับไป
คนจำนวนมากเคาะประตูเห็นเจ้าอารามเป็นหญิงสาวอายุน้อยล้วนตะลึงและผิดหวัง แต่พวกเขาคิดว่ามาก็มาแล้ว จึงให้เฉินตันจูจับชีพจรให้ ถึงแม้คนส่วนใหญ่ฟังแล้วไม่เชื่อไม่ยอมซื้อยา สถานการณ์เช่นนี้เฉินตันจูไม่เรียกเก็บค่ารักษา มีคนส่วนน้อยยอมซื้อยา เฉินตันจูก็เก็บแค่ค่ายา
แน่นอนว่านางไม่อาจรักษาได้ทุกคน บางอาการนางรักษาไม่ได้ นางย่อมบอกกล่าวกับคนที่มารักษาตามจริง “ข้าอายุน้อย ความรู้ไม่มาก อาการนี้อาจารย์ไม่เคยสอน น่าละอายเสียจริง”
เชิญให้เขาไปหาสำนักแพทย์อื่นรักษา เพื่อเป็นการแสดงความละอาย สามารถหยิบชาที่ตนเองทำไปหนึ่งห่อ
เวลานี้แขกที่มาไม่เพียงไม่โกรธ อีกทั้งยังพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูอายุน้อย ตั้งใจศึกษาให้มาก อนาคตย่อมประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่”
หญิงชราขายชามักจะซักถามแขกที่เดินลงมาว่าเป็นอย่างไร เมื่อเห็นคนที่เดินลงมาไม่ว่าจะถือยาหรือลงมามือเปล่า บนใบหน้าไม่มีความขุ่นเคือง นางก็วางใจ
เมื่อได้ยินแขกบอกว่าคุณหนูตันจูรักษาไม่ได้ นางจะพยักหน้า พูดตามคำที่อาเถียนเคยแนะนำ
“เจ้าอารามเชี่ยวชาญด้านพิษเสียมากกว่า อย่างงูหรือแมลงกัดเป็นต้น ส่วนอาการอื่นกำลังศึกษา”
แขกพยักหน้า “ไม่มีผู้ใดรักษาได้ทุกโรค มิฉะนั้นคงกลายเป็นเทพเซียนไปแล้ว”
เทพเซียนทำให้คนเชื่อมั่น แต่หญิงสาวอายุน้อยไม่ได้ทำให้คนเชื่อมั่น
ถึงแม้ข่าวลือเรื่องการชิงทรัพย์รักษาโรค เรียกร้องเอาสมบัติทั้งตระกูลยังคงเผยแพร่ แต่ข่าวรักษาโรคมอบยาของอารามดอกท้อบนภูเขาดอกท้อก็แพร่กระจายไปเช่นเดียวกัน
ตามการเดินทางมาถึงของเหล่าองค์ชายองค์หญิงและพระสนม หัวข้อสนทนาในเมืองอู๋ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องของอนาคตของเมือง ท่านอ๋องอู๋ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง เฉินตันจูหญิงสาวชนชั้นสูงที่ยโสโอหังก็หายไปจากสายตาของทุกคน
ราวกับเพียงพริบตาเดียวหิมะแรกของฤดูหนาวก็ร่วงหล่นลงมา
วันนี้อาเถียนอยู่ช่วยหญิงชราขายชาที่เชิงเขา กิจการของหญิงชราขายชาดีขึ้นอย่างมาก ยาที่มอบให้คนที่ผ่านไปมาก็หมดอย่างรวดเร็ว นางหาเวลาว่างวิ่งกลับมาเอายา พลางสะบัดหิมะบนตัว พลางเล่าข่าวใหม่ที่ได้ยินมาให้เฉินตันจูฟัง…ถึงแม้เฉินตันจูจะไม่ลงจากเขา แต่นางก็รับรู้ข่าวต่างๆ อยู่เสมอ เพราะคนที่เดินทางไปมามีจำนวนมาก
“คุณหนู ราชสำนักประกาศ ไม่อนุญาตให้รื้อถอนเมืองหลวง เตรียมหาสถานที่ใหม่ด้านนอกประตูเมืองทั้งสี่เพื่อขยายเมืองใหม่” อาเถียนพูดอย่างดีใจ “เช่นนี้คนที่เดินทางมาจากซีจิงก็มีที่อยู่ ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะแย่งจวนในเมืองของเราแล้ว”
เวลานี้อาเถียนยังจำคนที่จับจ้องอยู่นอกจวนตระกูลเฉินได้ เกรงกลัวว่าจวนเพียงแห่งเดียวของคุณหนูจะถูกแย่งชิงไป
“เจ้าอย่าได้กังวล ข้าไม่ยอมให้คนแย่งจวนไปเด็ดขาด” เฉินตันจูยิ้ม ก่อนจะเม้มปาก แต่ราชสำนักคิดจะขยายเมือง ไม่ได้หมายความว่าจวนที่มีอยู่ในเมืองเก่าจะไม่ถูกซื้อขาย
จวนในเมืองใหม่ต้องใช้เวลาในการสร้าง อีกทั้งคงไม่สบายเท่าจวนในเมืองเก่า เมืองอู๋เจริญมานับร้อยปี ในเมืองเต็มไปด้วยจวนและสวนที่งดงาม ดึงดูดคนยิ่งนัก