ในค่ำคืนนี้มีคนเศร้าโศกมีคนดีใจ มีคนจำนวนมากนอนไม่หลับ เพียงแต่ผู้ก่อเรื่องอย่างเฉินตันจูสุขสบายยิ่งนัก
ตอนที่ออกจากที่ว่าการเดินทางกลับขึ้นบนภูเขานั้น ระหว่างทางนางยังได้แวะซื้อสุราและอาหารจำนวนหนึ่งกลับไปด้วย
หลังจากกลับมาถึง นางดูอาการของแผลให้สาวรับใช้สามคนอีกครั้งเป็นอันดับแรก มั่นใจว่าไม่เป็นอันใดมาก พักฟื้นสองวันก็หายดี
“คุณหนูท่านเล่า?” อาเถียนคิดจะเปิดเสื้อของเฉินตันจูออกดูด้วยความเป็นห่วง “ถูกตีส่วนใดเข้าเจ้าคะ”
เฉินตันจูพูดอย่างได้ใจ “ข้าย่อมไม่ถูกตี ข้าเป็นใคร จอมพยัคฆ์หญิง บุตรสาวของเฉินเลี่ยหู่”
เฉินตันจูได้ใจจริงๆ อันที่จริงถึงแม้นางจะเป็นจอมพยัคฆ์หญิง แต่ก่อนหน้านี้ก็เพียงแค่ขี่ม้ายิงธนูเล่น หลังจากนั้นถูกกักขังไว้ในภูเขาดอกท้อ คิดจะปะทะกับผู้อื่นก็ไม่มีโอกาส ดังนั้นชาติก่อนและชาตินี้นี่ล้วนเป็นครั้งแรกที่ปะทะกับผู้อื่น
ผลลัพธ์การปะทะกับผู้อื่นครั้งแรกที่ถือว่าไม่เลว นางมองใบหน้าบวมครึ่งซีกของอาเถียนพลันส่ายหน้า “พวกเจ้าไม่ไหว ต่อจากนี้ต้องฝึกฝนให้มาก”
ต่อจากนี้? ต่อจากนี้ยังจะมีเรื่องอีกหรือ เหล่าสาวรับใช้ภายในห้องต่างมองหน้ากัน
แต่ว่า ครานี้คุณหนูตีคุณหนูตระกูลเกิ่ง ก่อนจะฟ้องชนะในพระราชวัง ย่อมต้องถูกเหล่าตระกูลใหญ่คิดแค้น ไม่แน่ว่าต่อจากนี้อาจมารังแกคุณหนูอีก เมื่อถึงเวลา…นางย่อมต้องเป็นคนแรกที่พุ่งขึ้นไปอย่างแน่นอน อาเถียนพยักหน้าทันที “เจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะฝึกฝนมากขึ้น”
ชุ่ยเอ๋อและเยี่ยนเอ๋อก็ไม่รอช้า อิงกูและสาวรับใช้อีกคนลังเลเล็กน้อย ไม่กล้าที่จะพูดว่าปะทะ แต่บอกว่าหากสาวรับใช้ของอีกฝ่ายลงมือก่อน ย่อมต้องให้พวกนางรู้ถึงความร้ายกาจ
อาเถียนมีจิตใจที่กระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา “ดี พวกเราต่างฝึกฝนให้ดี ให้จู๋หลินสอนพวกเรา”
จู๋หลินที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างหนังตากระตุก
วันนี้ตอนเดินทางเข้าพระราชวังถูกสหายจำได้ เขาก็หมดหน้าที่จะพบคนแล้ว ในฐานะองครักษ์หลวง นอกจากถูกท่านแม่ทัพทอดทิ้งแล้ว บัดนี้ยังต้องมาสอนการต่อสู้ให้เหล่าสาวรับใช้…
เฉินตันจูยิ้มปลอบประโลมพวกนาง “ไม่ต้องกังวลเช่นนี้ ข้าหมายถึงหากต่อไปต้องเผชิญกับเรื่องประเภทนี้อีก ต้องรู้ว่าจะทำอย่างไรจึงไม่เสียเปรียบ ทุกคนวางใจ ต่อจากนี้สักระยะหนึ่งไม่มีคนกล้ามารังแกข้าแล้ว”
อาเถียนทั้งขุ่นเคืองทั้งดีใจ “เช่นนั้นย่อมดีเจ้าค่ะ” พลันเช็ดน้ำตา
เฉินตันจูหัวเราะ “ร่ำไห้เพราะเหตุใด พวกเราชนะแล้ว”
ทำร้ายคุณหนูตระกูลใหญ่ ฟ้องไปถึงหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ ตระกูลใหญ่เหล่านั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใด อีกทั้งยังถูกตำหนิ พวกนางไม่เสียเปรียบแม้แต่น้อย
อาเถียนเช็ดน้ำตา “ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ…ข้านึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตักน้ำ ข้าไปตักน้ำก่อน”
นางพูดจบก็เดินออกไปด้านนอก
เมื่อได้ยินดังนี้ เยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อต่างก็อยากหลั่งน้ำตาออกมาอย่างกะทันหัน
“น้ำตอนกลางคืนไม่ดีนักแล้ว” พวกนางพูดพึมพำ
ทุกสิ่งในวันนี้ล้วนเนื่องมาจากการตักน้ำ หากไม่ใช่คนเหล่านั้นไร้เหตุผล ไม่เคารพดูถูกคุณหนู ก็คงไม่เกิดเรื่องขัดแย้งกันเช่นนี้
หญิงสาวดีๆ ที่ไหนชอบการทะเลาะกับผู้อื่น อีกทั้งยังฟ้องร้องไปถึงหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ ก่อความแค้นกับเหล่าตระกูลใหญ่เหล่านั้น
เฉินตันจูถอนหายใจเสียงเบา “อย่างเพิ่งไปตักน้ำเลย พรุ่งนี้ค่อยว่ากันเถิด”
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ อาเถียนยิ่งเศร้าโศก ยืนกรานที่จะไปตักน้ำ เยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อต่างก็เดินตามไป
“ถึงแม้จะไม่ดื่ม แต่ก็ต้องตักมาให้คุณหนูอาบน้ำ” พวกนางพูดอย่างโศกเศร้า
จู๋หลินยืนอยู่ในที่มืดบริเวณนอกหน้าต่าง มองดูสาวรับใช้ทั้งสามถือโคมไฟหิ้วถังน้ำไปตักน้ำก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย…คุณหนูของพวกนางไม่ได้มีเรื่องเพียงเพราะน้ำเพียงถังเดียว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของจู๋หลินก็ซับซ้อนขึ้นมา เขามองเข้าไปในห้องผ่านทางหน้าต่าง
เหล่าสาวรับใช้ล้วนออกไปจนหมดแล้ว เฉินตันจูนั่งอยู่หน้าโต๊ะคนเดียว มือหนึ่งโบกพัด มือหนึ่งเทสุราให้ตนเองอย่างช้าๆ สีหน้าไร้รอยยิ้มไร้ความโกรธไร้ความเศร้าไร้ความดีใจ
เรื่องที่เกิดในวันนี้ย่อมไม่ใช่เพราะน้ำในบ่อน้ำกลางภูเขา หากจะบอกว่าไม่เป็นธรรม คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมคือคุณหนูตระกูลเกิ่ง แต่ว่า…คุณหนูท่านนี้เป็นผู้ปะทะเข้ามาเอง
เริ่มแรกนางเพียงแค่ลองดูเท่านั้น ลองพูดจาท้าทาย ไม่คิดว่าคุณหนูเหล่านี้จะให้ความร่วมมือถึงเพียงนี้ ไม่เพียงรู้ว่านางเป็นใคร อีกทั้งยังรังเกียจนางอย่างมาก นอกจากนี้ยังก่นด่าบิดาของนาง…ให้ความร่วมมือเสียจริง นางไม่ลงมือคงจะรู้สึกผิดต่อความกระตือรือร้นของพวกนาง
เพียงแต่บัดนี้คนของตระกูลเหล่านี้คงจะรู้แล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีจุดประสงค์เพื่ออันใด แต่หลังจากรู้แล้วคงจะยิ่งแค้นนาง เฉินตันจูดื่มสุราจนหมด
แค้นก็แค้นเถิด นางเกิดใหม่อีกครั้งไม่สนใจว่าผู้อื่นจะแค้นนางหรือไม่ สิ่งสำคัญคือเรื่องการใส่ร้ายราษฎรอู๋เพื่อแย่งชิงจวนจัดการแล้ว
เฉินตันจูรินสุราอีกครั้ง แน่นอนว่าจวนในเมืองอู๋ยังคงถูกจับจ้อง แต่ทางฝ่าบาท การไม่เคารพไม่ใช่ความผิดอีกต่อไป ที่ว่าการย่อมไม่มีทางตัดสินโทษราษฎรอู๋ด้วยเหตุผลนี้อีก ถึงแม้ตระกูลใหญ่ที่มาจากเมือง
ซีจิงจะมีอำนาจมากมายเพียงใด ข่มขู่อย่างไร ราษฎรอู๋ย่อมไม่เกรงกลัวถึงเพียงนั้น ย่อมไม่มีทางไม่มีแม้แต่แรงในการขัดขืน ชีวิตของพวกเขาย่อมสามารถดีขึ้นมาบ้าง
เฉินตันจูดื่มสุราแก้วนี้จนหมด มองดูแก้วสุราที่ว่างเปล่าก่อนจะเผยยิ้มออกมา
ความสามารถในการดื่มสุราไม่ดี ดื่มไปเพียงไม่กี่แก้วเท่านั้นก็เริ่มมึนเมาแล้ว จู๋หลินยืนมองอยู่เงียบๆ ริมหน้าต่างสักพัก เมื่อเห็นอิงกูถืออาหารที่เพิ่งทำใหม่เดินเข้ามา เขาจึงหันหลังเดินจากไป
“อุ๊ย คุณหนูของข้า เหตุใดท่านดื่มมากเพียงนี้เจ้าคะ” ด้านหลังมีเสียงตะโกนของอิงกูดังขึ้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงเศร้าโศก “ท่านดื่มเหล้าเพื่อดับความทุกข์สินะเจ้าคะ”
คิดมากเกินไปแล้ว คุณหนูของเจ้ามีทุกข์คงจะสาดเหล้าไปบนตัวของคนอื่น จากนั้นจุดไฟเผา…จู๋หลินเดินเข้าไปในที่พักของตนเอง นั่งอยู่หน้าโต๊ะ บัดนี้เขาอยากจะดื่มเหล้าเพื่อดับความทุกข์เสียเอง
เขาผิดไปแล้ว
เหตุใดเขาถึงนึกว่าคุณหนูตันจูจะกลายเป็นคนซื่อหลังจากท่านแม่ทัพจากไป อีกทั้งเขายังบอกท่านแม่ทัพอย่างดีใจว่าคุณหนูตันจูเห็นจวนของตระกูลใหญ่เมืองอู๋ถูกแย่งชิง ได้รับความตกใจอย่างมาก ขอร้องให้ท่านแม่ทัพรักษาจวนของนางอย่างอ่อนแอ…อ่อนแอ? อ่อนแออันใดกัน ที่แท้นางกำหมัดไว้ตั้งแต่เวลานั้น สะสมกำลังจนกระทั่งสะบัดออกมาในเวลานี้
เกิดอันใดขึ้น ตอนที่ท่านแม่ทัพอยู่ ถึงแม้คุณหนูตันจูจะโอหัง แต่อย่างน้อยท่าทางภายนอกก็แสร้งทำเป็นอ่อนแอ เกิดเรื่องเล็กน้อยก็ร้องไห้ ตั้งแต่ท่านแม่ทัพจากไป จู๋หลินนึกย้อนไปก็พบว่าคุณหนูตันจูไม่ร้องไห้แม้แต่น้อย อีกทั้งยังโอหังยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ยังลงมือทำร้ายคนโดยตรง อีกทั้งอีกฝ่ายเป็นใครก็กล้าลงมือ หมัดนี้นอกจากทำร้ายเหล่าคุณหนูผู้อ่อนแอแล้ว ยังทำร้ายตระกูลใหญ่ที่มาใหม่จากเมืองซีจีง ทำร้ายฮ่องเต้ด้วย
จู๋หลินมือถือพู่กันราวกับหนักเป็นพันจิน ก่อนจะเขียนเหตุการณ์นี้อย่างตรงไปตรงมาทีละเล็กทีละน้อย ในฐานะองครักษ์ เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจริงๆ …เหล่าสาวรับใช้ของคุณหนูตันจูล้วนให้เขาสอนวิชาการต่อสู้ ต่อไปไม่นานไม่แน่ว่าท่านแม่ทัพอาจได้ข่าวองครักษ์หลวงผู้หนึ่งปะทะกับกลุ่มหญิงสาวแล้ว…
ครานี้เฟิงหลินได้รับจดหมายของจู๋หลิน เขาไม่ได้ไปถามหวังเจียนอีก เพียงแต่ยัดเอาไว้ในแขนเสื้อก่อนจะวิ่งมาหาแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
พระราชวังของเมืองฉีไม่โอ่อ่าเท่าเมืองอู๋ ทุกทิศทั่วทางล้วนเต็มไปด้วยตำหนักสูง เวลานี้ไม่รู้ว่าเนื่องมาจากท่านอ๋องฉียอมรับผิดและป่วยหนักหรือไม่ ทั้งพระราชวังมีเพียงความร้อนอับและมืดมน
แม่ทัพหน้ากากเหล็กยึดครองตำหนักแห่งหนึ่ง บริเวณรอบด้านยืนเต็มไปด้วยองครักษ์ ประตูและหน้าต่างปิดสนิทในฤดูร้อน ดุจดั่งคุกแห่งหนึ่ง
เฟิงหลินวิ่งมาถึงหน้าตำหนักใหญ่ก่อนจะหยุดลง ได้ยินเสียงกระทบและเสียงลมที่ดังมาจากภายใน เขากดเสียงต่ำถามองครักษ์หลวงที่ยืนอยู่หน้าประตู “ท่านแม่ทัพฝึกฝนอยู่หรือ”
องครักษ์หลวงหน้าประตูพยักหน้า “ครึ่งวันแล้ว”
เฟิงหลินมองดูเหงื่อที่ไหลลงมาตามใบหน้าขององครักษ์หลวงที่ยืนอยู่หน้าประตู เพียงแค่ยืนนิ่งๆ ก็ร้อนมากแล้ว ท่านแม่ทัพปิดประตูและหน้าต่างฝึกฝนอยู่ภายใน ต้องทุกข์ทรมานถึงเพียงใด