เนื่องจากการปรากฏตัวของโจวเสวียน เหล่าคุณหนูที่เศร้าหมองในเดิมทีกลายเป็นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ถึงแม้ไม่อาจเล่นกับองค์หญิงได้ แต่งานเลี้ยงครั้งนี้ก็สนุกขึ้นมา ดังนั้นจึงต่างพากันไปล่องเรือ
บ้างนั่งเรือใหญ่บ้างนั่งเรือเล็ก เวลาหนึ่งท่ามกลางทะเลสาบเต็มไปด้วยชุดพลิ้วไหวและเสียงหัวเราะสนุกสนาน
ส่วนทางเฉินตันจูเงียบสงบอย่างมาก พวกนางพลางเดินพลางชมทิวทัศน์ เมื่อเดินมาถึงทางลาดแห่งหนึ่ง ทางนี้มองไม่เห็นทะเลสาบ ระยะไกลเป็นแปลงนาหลายผืน
“แตงหวานที่กินก่อนหน้านี้ปลูกบริเวณนั้นหรือ” เฉินตันจูถามพร้อมชี้ไประยะไกล
หลิวเวยพยักหน้า “บริเวณนี้มีปลูกบางส่วน แต่ส่วนใหญ่อยู่ในแปลงของชาวนา” นางชี้มือไปอีกทาง “ทางนั้นเป็นภูเขาปลูกชา ข้าเคยไปเก็บใบชา”
องค์หญิงจินเหยาถามด้วยความสงสัย “เก็บชาสนุกหรือไม่”
หลิวเวยยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย “ไม่สนุกเพคะ ร้อนมาก หม่อมฉันยอมที่จะนั่งกินแตงหวานในศาลาพักร้อนเสียดีกว่า”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะ เฉินตันจูก็หัวเราะ
หลิวเวยชี้ไปอีกทาง “ดังนั้นพวกเราเดินไปนั่งกินแตงหวานเถิด”
ทางนั้นมีปลูกต้นไม้และดอกไม้ บนพื้นปูไปด้วยก้อนกรวด ภายในศาลาพักร้อนแขวนม่านไม้ไผ่เอาไว้ ภายในจัดวางผลไม้ น้ำชาและขนม
องค์หญิงจินเหยาตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ ทั้งสามคนเดินมาทางศาลา สาวรับใช้ชุนเหมียวและสาวรับใช้คนอื่นนำน้ำเย็นและผ้ามาให้ องค์หญิงจินเหยายังไม่ทันได้วางผ้าลง เฉินตันจูก็เริ่มหยิบแตงหวานขึ้นมากินเสียแล้ว
“เจ้าระวังเสียบ้าง กินมากจะปวดท้อง” องค์หญิงจินเหยาทั้งขุ่นเคืองทั้งตลก
เฉินตันจูพูดกลั้วหัวเราะ “องค์หญิงไม่รู้ว่าหม่อมฉันเป็นหมอหรือเพคะ ปวดท้องหม่อมฉันรักษาได้”
หลิวเวยพูดเสียงเบา “แต่ก็ยังปวด”
เหมือนจะเป็นเหตุผลนี้ เฉินตันจูครุ่นคิด ก่อนจะวางแตงหวานลง
องค์หญิงจินเหยายิ้มอยู่ด้านข้าง นางมองไปยังหลิวเวยพลันถามขึ้น “ตันจูบอกว่าตระกูลเจ้าเปิดร้านยา?”
หลิวเวยจึงเล่าประวัติของตระกูลตนเองออกมา
ชุนเหมียวที่ยืนอยู่ด้านนอกศาลามองหลิวเวยที่ถึงแม้จะพูดไม่มาก แต่รู้มารยาทเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงจินเหยา ภายในดวงตามีทั้งความตกตะลึงและชื่นชมอย่างปิดไม่อยู่ เหล่าฮูหยินตระกูลฉางรักใคร่คุณหนูคนนี้ แต่อันที่จริงคนข้างตัวไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก พวกเขามักรู้สึกว่านางแตกต่างจากคุณหนูตระกูลฉาง
ดูจากเวลานี้ สิ่งที่แตกต่างก็มีเพียงชาติกำเนิด แต่ว่าชาติกำเนิดไม่ได้ปิดกั้นดวงชะตาที่ดีของนาง ดูสิ เวลานี้ไม่เพียงคบหาเฉินตันจูที่มีชื่อเสียงไม่ดี อีกทั้งยังสามารถนั่งสนทนากับองค์หญิงจากราชสำนักได้
องค์หญิงจินเหยาถามแม้แต่ชาติกำเนิดของนางแล้ว หากไม่ใช่เห็นความสำคัญของคนตรงหน้า คนฐานะอย่างองค์หญิงคงไม่ถามเรื่องแบบนี้
ดูจากเวลานี้ ความกังวลของทุกคนก่อนหน้านี้เป็นส่วนเกิน? องค์หญิงจินเหยาไม่ได้ต้องการสั่งสอนเฉินตันจู เฉินตันจูก็ไม่ได้มาหาเรื่องเพราะความเย่อหยิ่งของอาอวิ้น อาจมีส่วนที่ต้องการแสดงบารมีเล็กน้อย แต่ฮองเฮาต้องการให้ชนชั้นสูงเมืองซีจิงและเมืองอู๋คบหากันจริง…สีหน้าของชุนเหมียวผ่อนคลายลงอย่างมาก
ทะเลสาบของตระกูลฉางใหญ่มาก เรือใหญ่หลายลำที่ล่องไปกลายเป็นจุดเล็กๆ อย่างรวดเร็ว เหล่าคุณหนูเดินวนไปวนมาอยู่บนเรือสักพัก ก่อนจะเร่งเร้าให้ตามหาเรือที่โจวเสวียนอยู่ ก่อนจะพบว่าบนเรือไม่มีร่างของโจวเสวียนแล้ว
มีคุณหนูคนหนึ่งมองเห็นพี่ชายของตนเอง อดถามขึ้นไม่ได้ “คุณชายโจวเล่า?”
ชายหนุ่มแสดงสีหน้าเสียดาย “คุณชายโจวลงเรือไปแล้ว บอกว่าจะไปหาองค์หญิงจินเหยา”
น่าเสียดาย เสียดายที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันกับคุณชายโจวได้นานกว่านี้ อีกทั้งเสียดายที่คุณชายโจวไม่ได้เชิญพวกเขาไปเข้าเฝ้าองค์หญิงด้วยกัน
เหล่าคุณหนูได้ยินดังนี้ ถึงแม้จะเสียดายที่เวลานี้ไม่ได้พบโจวเสวียน แต่พวกนางก็ดีใจขึ้นมา โจวเสวียนไปหาองค์หญิงจินเหยา เหล่าแขกชายต้องหลีกเลี่ยงไม่อาจไปได้ แต่พวกนางเป็นแขกหญิงย่อมสามารถไปได้ ดังนั้นพวกนางจึงเร่งให้ล่องเรือกลับฝั่งอย่างรวดเร็ว
ทางชุนเหมียวที่อยู่บริเวณศาลาเห็นว่ามีชายหนุ่มเดินเข้ามา ข้างตัวมีสาวรับใช้คนหนึ่งติดตาม อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มอายุน้อย เดินเข้าใกล้อย่างเชื่องช้า พลางเดินพลางชมทิวทัศน์รอบด้าน
ชุนเหมียวระวังขึ้นในทันที ในงานเลี้ยงมักมีชายหนุ่มที่ใจกล้าอาศัยข้ออ้างการชมทิวทัศน์ หรือหลงทาง เดินเข้ามาในพื้นที่ของเหล่าคุณหนู
แต่นางยังไม่ทันให้เหล่าสาวรับใช้เดินขึ้นไปถาม องค์หญิงจินเหยาที่นั่งอยู่ในศาลาก็ส่งเสียงประหลาดใจขึ้นมาก่อน นางเปิดม่านขึ้น ก่อนจะเรียกคนที่เดินมาอย่างดีใจ “พี่อาเสวียน”
เมื่อได้ยินเสียงเรียก ชายหนุ่มมองมาทางนี้ ก่อนจะพูดเสียงดัง “ข้ากำลังตามหาเจ้าอยู่”
องค์หญิงจินเหยากวักมือ “รีบมา”
ที่แท้ก็คือโจวเสวียน ชุนเหมียวและสาวรับใช้คารวะ มองดูชายหนุ่มเดินมาถึงหน้าศาลา ยืนอยู่ด้านนอกม่านตรงหน้าองค์หญิงจินเหยา
หลิวเวยลุกขึ้นพร้อมหลุบตาต่ำ เฉินตันจูก็ลุกขึ้นแต่เหลือบมองโจวเสวียน…
ชายหนุ่มด้านนอกม่านสวมชุดแขนกว้างพลิ้วไหว ใบหน้ารูปงามมีชีวิตชีวา
แตกต่างจากโจวเสวียนผู้คลั่งไคล้สุรา ลักษณะดุจดั่งขอทานที่นางเคยพบเมื่อชาติก่อนอย่างสิ้นเชิง
ก็ใช่ โจวเสวียนที่นางพบเมื่อชาติก่อนสูญเสียองค์หญิงจินเหยาผู้เป็นภรรยาไป อีกทั้งอำนาจทางการทหารก็ไม่มี ย่อมไม่สามารถเทียบได้กับชายหนุ่มที่มีอนาคตในเวลานี้
องค์หญิงจินเหยายิ้มให้เขา นางเอนหลังพิงราวศาลาพร้อมถามว่าเขากินอะไรแล้วหรือไม่
โจวเสวียนตอบด้วยรอยยิ้ม
เวลานี้ทั้งสองคนเริ่มหารือเรื่องแต่งงานแล้วหรือ เฉินตันจูคิดอย่างสงสัย แต่สิ่งที่ยิ่งสงสัยคือโจวเสวียนในเวลานี้รู้ว่าฮ่องเต้สังหารบิดาของเขาแล้วหรือไม่
เวลานี้รอยยิ้มบนใบหน้าของโจวเสวียนเป็นรอยยิ้มที่แท้จริงหรือเป็นรอยยิ้มที่จอมปลอม…
เฉินตันจูคิดไปไกล ทันใดนั้นโจวเสวียนมองมายังนาง ภายในดวงตาคมฉายแววเย็นชา ราวกับรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่…
เฉินตันจูตกตะลึง ก่อนจะหลุบตาต่ำลงอย่างรวดเร็ว
องค์หญิงจินเหยารับรู้ถึงสายตาของเขา จึงรีบแนะนำ “ผู้นี้คือคุณหนูเฉินตันจู ผู้นี้คือคุณหนูหลิวเวย คุณหนูหลิวเวยเป็นคนในตระกูลของเหล่าฮูหยินตระกูลฉาง”
หลิวเวยรีบคารวะ เฉินตันจูก็คารวะตาม นางก้มหน้าไม่มองโจวเสวียนอีก แต่สามารถรับรู้ได้ว่าสายตาของโจวเสวียนอยู่บนตัวของนางตลอดเวลา
องค์หญิงจินเหยาราวกับสัมผัสได้ว่าสายตาของเขาไม่เป็นมิตร ก่อนจะระลึกถึงคำกำชับของขันทีที่เสด็จพ่อสั่งให้ตามออกมา รีบพูดเสียงเบา “ข้าถามคุณหนูตันจูอย่างละเอียดแล้ว กลับไปข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”
โจวเสวียนยิ้ม “เรื่องของคุณหนูตันจูหรือ ไม่ต้องให้องค์หญิงเล่า ข้าเคยเห็นกับตาของตนเอง”
องค์หญิงจินเหยาผงะเล็กน้อย ส่วนเฉินตันจูเงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง ส่งเสียงสงสัยออกมา เสียงนี้…
เมื่อเห็นนางเงยหน้าขึ้น โจวเสวียนมองนาง เผยยิ้มเล็กน้อย “คุณหนูฝีมือดี”
ชายผู้นั้น เฉินตันจูมองเขาด้วยความตกตะลึง คุณชายผู้มีสายตาดี?!
องค์หญิงจินเหยามองโจวเสวียนสลับกับเฉินตันจูด้วยความฉงน “พวกเจ้ารู้จักกัน?”
ไม่ถือว่ารู้จัก เฉินตันจูครุ่นคิดภายในใจ แต่ยังไม่ทันได้คิดว่าจะพูดอย่างไร โจวเสวียนก็เปิดปากขึ้น “ระหว่างทางที่ข้ากลับเมืองหลวง ข้าเดินทางผ่านภูเขาดอกท้อ มีโอกาสได้พบเห็นคุณหนูตันจูตีคน”
เรื่องนั้นหรือ องค์หญิงจินเหยาได้ยินขันทีพูดเช่นเดียวกัน ถึงแม้ตอนที่ได้ยินนางจะรู้สึกว่าเฉินตันจูหยาบทรามเกินไป แต่เมื่อขันทีมาบอกเจตนาที่แท้จริงของคุณหนูตันจูให้นางฟัง อีกทั้งมาอยู่กับเฉินตันจูครึ่งวันนี้ นางก็เปลี่ยนความคิดไป
“พี่อาเสวียนเห็นกับตาของตนเองแล้ว” นางครุ่นคิดก่อนจะพูด “ตอนที่พบคงดูน่ากลัวใช่หรือไม่ แต่อันที่จริงมีสาเหตุ”
นางกำลังอธิบายให้เฉินตันจู
เฉินตันจูมององค์หญิงจินเหยา ภายในใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
โจวเสวียนยิ้ม “องค์หญิง ข้าไม่สนใจสาเหตุอันใด ข้าสนใจเพียงแค่ฝีมือของคุณหนูตันจู” เขาพูดกับสาวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลัง “จื่อเย่ว์ เจ้าประลองกับคุณหนูตันจู ในฐานะบุตรสาวของแม่ทัพเหมือนกัน ดูว่าผู้ใดฝีมือดีกว่า”
อย่างไรนะ? ประลอง?
องค์หญิงจินเหยาขมวดคิ้ว หลิวเวยกระชับมือแน่นอย่างกังวล เฉินตันจูยังดี นางเหลือบมองหญิงสาวนามว่าจื่อเย่ว์ที่ยืนอยู่ข้างตัวของโจวเสวียน
“พี่อาเสวียน พูดเหลวไหลอันใด” องค์หญิงจินเหยาไม่พอใจ “ประลองอันใดกัน คุณหนูตันจูมิใช่ผู้ที่ให้เจ้าหาความสนุกด้วยได้”
โจวเสวียนเรียกขานจินเหยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “องค์หญิง ข้าไม่ได้ต้องการหาความสนุก บิดาของจื่อเย่ว์เป็นแม่ทัพในเมืองโจว เขายอมจำนนต่อกองทัพของข้า นำทัพไปโจมตีเมืองโจวจนตัวตายในสนามรบ จื่อเย่ว์ถึงแม้จะเป็นหญิงสาวแต่ติดตามอยู่ข้างตัวของบิดา นางหยิบดาบยาวของบิดาขึ้นนำทัพโจมตีแทน” ก่อนจะมองมายังเฉินตันจู มุมปากยกยิ้ม “บิดาของคุณหนูตันจูก็เป็นแม่ทัพ อีกทั้งมีชื่อเสียงโด่งดัง คุณหนูตันจูสามารถรับมือกับเหล่าคุณหนูและสาวรับใช้ได้ ประลองกับบุตรสาวของแม่ทัพอื่นไม่ถือเป็นการหาความสนุก แต่เป็นเกียรติยศของผู้เป็นทหาร”
คุณหนูจื่อเย่ว์ บุตรสาวของแม่ทัพเมืองโจว บิดาตายในสนามรบด้วยความจงรักภักดีต่อราชสำนักถึงจะแลกโอกาสมาไถ่โทษด้วยการมาเป็นสาวรับใช้ให้โจวเสวียน แต่เฉินตันจูกลับใช้ชีวิตอย่างโอหังเพียงนี้?
คุณหนูและเหล่าสาวรับใช้ด้านนอกศาลาต่างกระจ่าง
ชุนเหมียวยิ่งขาอ่อนระทวย ที่แท้ผู้ที่มาสั่งสอนเฉินตันจูไม่ใช่องค์หญิงจินเหยา หากแต่เป็นโจวเสวียน