หลังจากเสียงในตำหนักสงบลง ประตูเปิดออก เฟิงหลินเดินเข้าไป ไอร้อนปะทะหน้า ภายใต้จมูกล้วนเป็นกลิ่นแปลกประหลาดต่างต่างนานาผสมปนเป ส่วนกลิ่นที่เข้มข้นที่สุดในนั้นคือกลิ่นยา
แม่ทัพหน้ากากเหล็กกำลังอาบน้ำอยู่แล้ว
เฟิงหลินยืนอยู่ด้านหน้าฉากกั้น เหลือบมองมุมโต๊ะที่โผล่ออกมาเล็กน้อย ด้านบนวางหน้ากากเหล็กใบหนึ่งไว้ เขาเบนสายตากลับมายังฉากกั้นมองดูเงาของคนที่อยู่ด้านหลัง เริ่มจากการแช่ จากนั้นเดินออกมาจากถังอาบน้ำ ยกถังน้ำขึ้นมาราดลง
รอยต่อของฉากกั้นมีคราบน้ำสีเทาขาวน้ำตาลเหลือง นาทีถัดมาแทรกซึมลงไปในน้ำสลายไป
หมอกน้ำสลายไป เงาคนบนฉากกั้นแขนยาวขายาว แขนขาดุจดั่งมังกร นาทีถัดมาแขนขาหดหลับไป คนทั้งคนดูเตี้ยลงไปเล็กน้อย เขายื่นมือออกมาหยิบชุด ชิ้นแล้วชิ้นเล่า จนกระทั่งรูปร่างที่ผอมสูงในเดิมทีแปรเปลี่ยนเป็นอ้วนท้วมจึงหยุดลง
มือหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลังของฉากกั้น เขาหยิบหน้ากากเหล็กบนโต๊ะขึ้นมา นาทีถัดมาแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่ก้มหน้าสวมหน้ากากเดินออกมา
“จดหมายของผู้ใด” เขาถาม เงยหน้าขึ้น หน้ากากเหล็กปิดบังใบหน้า
เฟิงหลินเบนสายตากลับมา มือทั้งสองข้างส่งจดหมายมาให้ “ของจู๋หลินขอรับ…ทางเมืองหลวงเกิดเรื่องเล็กน้อยขอรับ”
ดังนั้นครานี้สิ่งที่จู๋หลินเขียนไม่ใช่คำพูดไร้สาระเหมือนครั้งก่อน เฮ้อ นึกถึงคำพูดไร้สาระที่จู๋หลินเขียนครั้งก่อน ครานี้เขาก็ไม่อยากจะยื่นจดหมายไป โชคดีที่คนมาส่งสารมีการเล่าให้ฟังก่อน
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมือหนึ่งถือจดหมายพลันเดินไปที่โต๊ะ ทางนี้มีโต๊ะอยู่เจ็ดแปดตัว ด้านบนวางกองม้วนเอกสารจำนวนมาก บนชั้นยังมีแผนที่ บนพื้นตรงกลางมีถาดทรายอีกด้านมีฉากกั้นหนึ่งใบ ครานี้ด้านหลังฉากกั้นไม่ใช่ถังอาบน้ำ หากแต่เป็นโต๊ะและเก้าอี้อย่างละตัว เวลานี้มีอาหารอย่างง่ายวางเอาไว้…เขาอยู่อยู่ตรงกลางมองซ้ายมองขวา ราวกับไม่รู้ว่าควรทำงานก่อนหรือว่าควรกินข้าวก่อน
เฟิงหลินเห็นถึงความลังเลของท่านแม่ทัพ จึงถอนหายใจภายในใจ ท่านแม่ทัพฝึกฝนครึ่งวัน ร่างกายสูญเสียกำลัง อีกทั้งยังมีเรื่องทางการทหารจำนวนมากที่ต้องจัดการ หากไม่กินอะไรเสียบ้าง ร่างกายจะรับได้อย่างไร…
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเล่าเรื่องก่อน ป้องกันท่านแม่ทัพเห็นจดหมายตอนกินข้าวหรือตอนจัดการเรื่องการทหารจะยิ่งไม่มีจิตใจกินข้าว
“คุณหนูตันจูทะเลาะกับเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ขอรับ” เขาพูด
แม่ทัพหน้ากากเหล็กที่กำลังจะยกเท้าก้าวไปทางกองงานในเดิมทีหลุดหัวเราะเสียงแหบพร่าออกมาเมื่อได้ยินประโยคนี้
“ทะเลาะ?” เขาพูดก่อนที่ฝีเท้าจะเปลี่ยนทิศทางไปยังด้านหลังฉากกั้น “นอกจากร้องไห้ นางยังทะเลาะกับคนได้ด้วยหรือ”
พูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
“อืม ข้าพูดได้ไม่ถูก นางไม่เพียงทะเลาะกับคนอื่นได้ นางยังฆ่าคนได้”
เฟิงหลินมองแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่นั่งลงด้านหลังฉากกั้น เริ่มเปิดจดหมาย คลี่วางไว้บนโต๊ะ จากนั้นถอดหน้ากากวางไว้ด้านข้าง หยิบถ้วยและตะเกียบขึ้น…
ให้เขาดูเสียหน่อย เฉินตันจูทะเลาะกับคนอื่นอย่างไร
ตัวหนังสือบนจดหมายละเอียดมิดชิด กวาดตาผ่านไปล้วนเป็นคำสารภาพผิดไร้สาระของจู๋หลิน อาทิ ก่อนหน้านี้ดูผิดไปอย่างไร ขายหน้าท่านแม่ทัพอย่างไร มีความเป็นไปได้ที่อาจทำให้ท่านแม่ทัพลำบากเป็นต้น แม่ทัพหน้ากากเหล็กอดทนในการอ่าน จนกระทั่งอ่านพบคำว่าตันจู…
เรื่องของคุณหนูตันจูต้องเริ่มพูดจากจดหมายครั้งที่แล้ว…ดังนั้นแม่ทัพหน้ากากเหล็กจึงอ่านเนื้อหาของจดหมายครั้งที่แล้วอีกครั้งอย่างระอา หลังจากโยนจดหมายสองใบทิ้งไปแล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถอ่านเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานั้นได้อย่างสงบ
เหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่เที่ยวเล่นบนภูเขาดอกท้อ สาวรับใช้ตักน้ำถูกด่า คุณหนูตันจูลงเขารอคอยเรียกเงิน บอกชื่อเสียงของตระกูล ตระกูลรับความลำบาก สุดท้ายใช้กำปั้นอธิบาย…ส่วนสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่ภายนอก เรื่องยังคงต้องเริ่มพูดจากจดหมายฉบับที่แล้ว…
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเงยหน้าขึ้น หัวเราะออกมา
เฟิงหลินที่อยู่ด้านนอกฉากกั้นสามารถมองเห็นท่าทางของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก แต่มองไม่เห็นใบหน้าของเขา ดังนั้นจึงไม่เห็นสีหน้า เพียงแต่ฟังจากเสียงหัวเราะนี้ดูเหมือนจะทั้งตลกทั้งขุ่นเคือง…ใช่ เรื่องที่คุณหนูตันจูทำนี้ช่างทำให้คนระอา
แม่ทัพหน้ากากเหล็กกินข้าวหนึ่งคำ เคี้ยวอย่างเชื่องช้า ก่อนจะก้มหน้าอ่านจดหมายต่อ เมื่อจู๋หลินบอกว่าเกี่ยวกับจดหมายฉบับที่แล้ว เขาก็กระจ่างทันทีว่าเฉินตันจูต้องการทำอะไร หลังจากอ่านจดหมายของจู๋หลินจนจบสิ้น เขาก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
ถึงแม้จะเดาได้ว่าเฉินตันจูต้องการทำอะไร แต่เฉินตันจูทำเช่นนี้จริงๆ ทำให้เขาตกตะลึงเล็กน้อย แต่เมื่อครุ่นคิดก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติอย่างมาก…เพราะนางคือเฉินตันจู
เขาอ่านจดหมายตั้งแต่ต้นอีกครั้ง สุดท้ายถึงได้จับต้องไปยังคำสุดท้ายของจดหมาย คำว่าทำอย่างไรที่จู๋หลินถามออกมา
“แปลก” เขาถือตะเกียบ “ก่อนหน้านี้ไม่เห็นว่าจู๋หลินจะโง่เขลาแม้แต่น้อย”
องครักษ์หลวงที่คัดเลือกมาอย่างดีไม่ได้มีดีเพียงฝีมือเท่านั้น อาจเป็นเพราะไม่มีคนคอยแข่งขันกระมัง
เฟิงหลินที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินประโยคนี้ เขารู้สึกเป็นกังวลใจ ดังนั้นจู๋หลินถูกทิ้งไว้ที่เมืองหลวง เพราะว่าท่านแม่ทัพไม่ชอบจึงถูกทอดทิ้งจริงๆ…
“เฟิงหลิน เขียนจดหมายให้เขา” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ข้าพูด เจ้าเขียน”
เฟิงหลินรีบตอบรับในทันที เขาเดินไปทางโต๊ะที่วางงานของกองทัพเพื่อหากระดาษและพู่กัน ก่อนจะได้ยินเสียงของแม่ทัพหน้ากากเหล็กดังลอดออกมาจากด้านหลังฉากกั้น
“เจ้ายังถามข้าว่าทำอย่างไร เจ้าเป็นองครักษ์ไม่ใช่หรือ”
“ตอนที่องครักษ์รู้ว่านายของตนเองมีอันตราย ต้องทำอย่างไร เจ้าต้องให้ข้าสอน?”
“ตอนนั้นฝ่าบาทมอบพวกเจ้าให้ข้าบอกไว้ว่าอย่างไร เจ้าลืมไปแล้วหรือ”
“เฟิงหลิน เจ้ายังจำได้หรือไม่”
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายถามตนเอง เฟิงหลินรีบนั่งตัวตรง
“ข้ายังจำได้ จำได้อย่างแน่นอน จำได้อย่างแม่นยำ”
พูดจบพลางย้อนคำพูดในตอนนั้นอีกครั้ง
หลังจากพูดเสร็จเหงื่อของเขาก็ไหลเต็มหัว ผิดพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นไล่เขากลับไปเป็นองครักษ์ของคุณหนูตันจูด้วยจะแย่เอา
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับอยู่ด้านใน สั่งเขา “เขียนลงไปให้เขา”
เฟิงหลินตอบรับก่อนจะเขียนทีละตัวอย่างชัดเจน เมื่อรอเขาเขียนตัวสุดท้ายเสร็จ ก็ได้ยินเสียงแม่ทัพหน้ากากเหล็กดังขึ้นจากหลังฉากกั้น “ดังนั้น บอกเรื่องของคุณหนูเหยาให้แก่คุณหนูตันจู”
เมื่อได้ยินคำนี้ มือของเฟิงหลินสั่นเล็กน้อย หมึกหยดหนึ่งหยดลงบนกระดาษ
“ท่านแม่ทัพ” เขาเรียกขานอย่างตกตะลึง สายตามองไปยังด้านหลังฉากกั้น ไม่ทันได้สนใจในสิ่งที่ตนเองพูดไปก่อนหน้านี้ว่าต้องเชื่อฟังคำสั่งของนาย “เช่นนี้ไม่ดีกระมังขอรับ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ได้ตำหนิเขา ถาม “ไม่ดีอย่างไร”
ถึงแม้ท่านแม่ทัพจะตำหนิจู๋หลินผ่านทางจดหมาย แต่อันที่จริงท่านแม่ทัพไม่ได้เข้มงวดกับพวกเขา ดังนั้นเฟิงหลินจึงพูดความคิดของตนเองออกมา “คุณหนูเหยาเป็นคนขององค์รัชทายาท ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูตันจูก็เป็นศัตรูของราชสำนัก ทุกคนเพียงแค่ทำตามจุดยืนของตนเอง ท่านแม่ทัพ ท่านบอกการเคลื่อนไหวของคุณหนูเหยาแก่คุณหนูตันจู ไม่ดีกระมังขอรับ”
“เจ้าพูดถูก แต่ก่อนแบ่งแยกฝ่ายศัตรูกับฝ่ายของพวกเรา คุณหนูตันจูเป็นคนของศัตรู คุณหนูเหยาจะทำอย่างไรข้าล้วนไม่สนใจ” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “แต่เวลานี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เวลานี้ไม่มีเมืองอู๋แล้ว คุณหนูตันจูก็เป็นราษฎรของราชสำนัก ไม่บอกนางว่าศัตรูซ่อนตัวอยู่ที่ใด ย่อมเป็นการไม่เป็นธรรมเล็กน้อย”
เหตุผลชี้แจงเช่นนี้ได้หรือ เฟิงหลินฉงนเล็กน้อย
“แต่ว่า เจ้าก็ไม่ต้องคิดมาก ข้าแค่ให้จู๋หลินบอกคุณหนูตันจูว่าคุณหนูเหยาเป็นใครเท่านั้น” เสียงของแม่ทัพหน้ากากเหล็กลอยมา อีกทั้งนิ้วของเขายังเคาะโต๊ะไปด้วยเบาๆ “ให้พวกนางทั้งสองต่างรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย ปะทะกันอย่างยุติธรรม”
เสียงชราพูดถึงตรงนี้ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“อะไรคือไม่ยุติธรรม ข้าสามารถฆ่าคุณหนูเหยาได้ แต่ข้าทำเช่นนี้หรือไม่ ดังนั้นข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น”
เฟิงหลินตอบรับ พยักหน้าเหมือนจะสมเหตุสมผล แต่สมมติฐานที่ท่านแม่ทัพต้องการฆ่าคุณหนูเหยาคือเหตุผลอะไรกัน
ประตูตำหนักถูกผลักออก หวังเจียนเดินเข้ามา มองเฟิงหลินที่กำลังพยักหน้าด้วยสีหน้าฉงน ก่อนจะมองไปยังแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่อยู่ด้านหลังฉากกั้น…บรรยากาศแปลกประหลาดเล็กน้อย
เขาถามขึ้นโดยตรง “ท่านแม่ทัพกำลังสร้างเรื่องวุ่นวายอันใดอีก”
เสียงของแม่ทัพหน้ากากเหล็กลอยมาจากด้านหลังฉากกั้น “ข้าสร้างเรื่องวุ่นวายเสมอมา เจ้าหมายถึงเรื่องใด”
หวังเจียนกรอกตา เฟิงหลินเก็บจดหมายที่เขียนเสร็จลง “ข้าไปส่งจดหมายให้จู๋หลินบัดนี้” ก่อนจะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว หวังเจียนไม่แม้แต่จะทันขอดูจดหมาย
กับจู๋หลินมีเรื่องใดน่าเขียน เขาเบะปากเดินไปด้านหลังฉากกั้น แม่ทัพหน้ากากเหล็กกำลังสวมหน้ากาก สายตาของหวังเจียนจับจ้องไปบนโต๊ะ มองเห็นอาหารที่ยังกินไม่หมด สีหน้าตกตะลึง “อาหารเท่านี้ยังกินไม่หมด ไม่ใช่ไม่พอกินหรือ ข้ากำลังคิดว่าจะหายาบำรุงมาให้ท่านเสียเล็กน้อย”
สำหรับแม่ทัพหน้ากากเหล็กแล้ว การกินข้าวเป็นเรื่องที่ไม่น่าดีใจอย่างมาก เนื่องจากเหตุผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เขาต้องควบคุมการกิน แต่เรื่องทุกข์ยากในวันนี้ราวกับไม่ทุกข์ยากมากเพียงนั้น กินไม่หมดก็ไม่รู้สึกหิวมาก
เสียงของแม่ทัพหน้ากากเหล็กอารมณ์ดีเล็กน้อย “วันนี้รู้สึกกินอิ่มมาก”