Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1968 หมื่นยุคคืนกำเนิด

ตอนที่ 1968 หมื่นยุคคืนกำเนิด

ตอนที่ 1968 หมื่นยุคคืนกำเนิด

ต่อหน้าบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ ไท่ซูหงซึ่งเป็นถึงเจ้าสำนักเรือนมรรคโลกาสวรรค์ยังต้องก้มหัวคารวะ เหล่าจักรพรรดิในที่นั้นทำได้เพียงยืนนิ่งอย่างสงบเสงี่ยม

แต่รั่วซู่กลับคล้ายไม่มีปฏิกิริยาอะไร วาจาของนางยิ่งเจือน้ำเสียงกังขา

เหนือความคาดหมาย บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่กลับยิ้มขื่น อธิบายว่า  ถ้าข้าไม่ออกมา เกรงว่าเจ้าคงทำฟ้าดินแห่งนี้จมยุบหมด 

รั่วซู่คิดแล้วพยักหน้า  นี่ก็จริง 

ทุกคนต่างอึ้งไป

การสนทนาของบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่กับรั่วซู่ทำให้พวกเขาต่างไม่อาจสงบใจได้ เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงซึ่งมีที่มาลึกลับคนนี้ มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่!

 อาจารย์ลุง ขอเรียนถามว่าผู้อาวุโสท่านนี้คือใคร 

ไท่ซูหงถามอย่างอดไม่ได้

บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่หุบยิ้ม ชำเลืองมองไท่ซูหงครั้งหนึ่ง แล้วมองระดับจักรพรรดิที่อยู่ในที่นั้น เอ่ยถอนใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้ว่า

 ก็ไม่แปลกที่พวกเจ้าจะสงสัย ถึงอย่างไรผู้สืบทอดของเรือนมรรคคืนกำเนิดก็ไม่ได้ท่องในโลกหล้ามานานมากแล้ว… 

ประโยคเดียวราวกับฟ้าถล่มดินทลาย

ระดับจักรพรรดิอย่างไท่ซูหง ซย่าสิงเลี่ย จักรพรรดิมารผลาญนภาต่างอึ้งไป คลื่นความตกตะลึงซัดขึ้นในใจ

เรือนมรรคคืนกำเนิด!

เรือนมรรคที่เก็บตัวและลึกลับที่สุดในหกเรือนมรรคใหญ่ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ ผู้สืบทอดของสำนักนี้แทบจะเก็บตัวเงียบไม่ออกมา ไม่สนใจเรื่องราวในโลก

แต่ใครก็ไม่อาจเพิกเฉยคนของเรือนมรรคคืนกำเนิดได้ ทั้งยังไม่กล้าลบชื่อออกจากหกเรือนมรรคใหญ่!

เหตุผลนั้น สามารถใช้ประโยคเดียวบรรยายได้โดยสมบูรณ์…

ทั้งสำนักคือมหาจักรพรรดิ หมื่นยุคคืนกำเนิด!

ขอเพียงเป็นระดับจักรพรรดิก็จะรู้ถึงพลังที่มีอยู่ในประโยคนี้อย่างแจ่มชัดหาใดเทียบ น่ากลัวปานไหน ก็น่ากลัวจนทำให้ทั่วหล้าสั่นสะเทือน!

ชั่วขณะเดียวทั้งที่นั้นก็เงียบสงัด

ผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิดถึงกับปรากฏตัวบนโลกในงานชุมนุมถกมรรคคราวนี้ เรื่องนี้หากกระจายออกไป ทั่วหล้าต้องสะเทือนเลื่อนลั่น คลื่นใหญ่ทรงพลังซัดโหม!

หลินสวินก็อึ้งไปเช่นกัน

เรือนมรรคคืนกำเนิดหรือ

เหตุใดศิษย์พี่สามรั่วซู่ถึงเปลี่ยนฐานะไปในพริบตา

ในใจหลินสวินมีความเป็นไปได้ต่างๆ อุบัติขึ้น และมีความสงสัยหลายหลากผุดออกมา ถ้าไม่ใช่ว่าสถานการณ์ไม่เหมาะ เขาจะต้องถามศิษย์พี่สามรั่วซู่อย่างอดไม่ได้ทันทีว่าตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ควรรู้ว่าเมื่อนานมาแล้วหลินสวินก็เคยได้ยินเรื่องเรือนมรรคคืนกำเนิด และเคยทึ่งกับรากฐานพลังอันน่ากลัวที่เรือนมรรคนี้มี

แต่กลับไม่เคยคิดว่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับสำนักที่ลึกลับหาใดเทียบเช่นนี้!

เรื่องนี้น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

 เป็นไปไม่ได้ นางจะเป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิดได้อย่างไร 

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงร้องเสียงหลง

ไม่ใช่ว่าสภาวะจิตของนางไม่หนักแน่นพอ แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ถูกกระทบกระเทือนจิตใจมากเกินไป เสียหน้าไปสิ้น ศักดิ์ศรีหดหาย ในใจแค้นรั่วซู่ถึงกระดูกไปนานแล้ว คิดอย่างบ้าคลั่งว่าภายหน้าจะแก้แค้นอย่างไรดี

แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิด…

นางจะยังแก้แค้นอย่างไรได้

ถึงตอนนั้นแม้ว่านางจะมีเรือนมรรคจักรวาลอยู่เบื้องหลัง ยังเกรงว่าจะช่วยอะไรไม่ได้!

 เจ้ากังขาคำพูดของข้าอยู่หรือ 

บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่นิ่วหน้า สีหน้าเย็นชา

ระดับจักรพรรดิ ยืนผยองอยู่เหนือหล้า แต่ละคนต่างมีพลังที่สามารถจองหองเหนือสรรพชีวิตได้ทั้งนั้น นี่จึงทำให้ยามพวกเขาทำอะไรก็มักจะเหิมเกริมไม่หวั่นเกรง อาละวาดไร้ความกลัว

เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงคนนี้ก็คือตัวอย่างชัดที่สุด!

นางไม่เพียงมีระดับจักรพรรดิ ทั้งยังมีเรือนมรรคจักรวาลอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นต่อให้อยู่ในเรือนมรรคโลกาสวรรค์ นางก็ยังกล้ากดข่มคนรุ่นหลังอย่างไม่กลัวเกรง

นี่ไม่ได้เป็นปัญหาเรื่องจิตใจคับแคบ แต่เป็นเพราะไม่ใส่ใจ เป็นการดูถูกเพราะตนสูงส่ง จึงดูหมิ่นได้โดยสมบูรณ์

แต่โชคไม่ดี นางเตะโดนแผ่นเหล็กแล้ว ถึงขั้นทำให้นางเสียหน้าสิ้น เสียอาการครั้งแล้วครั้งเล่า อับอายต่อหน้าทุกคน

ทั้งหมดนี้บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ได้เห็นมานานแล้ว จึงดูมีท่าทีเย็นชาและผลักไสจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง

 มิกล้า 

พอถูกบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่กวาดมอง จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงก็แข็งทื่อไปทั้งตัว ได้สติโดยสมบูรณ์ สีหน้าหมองลงไป

นางรับรู้ได้ว่าหน้าตาและศักดิ์ศรีที่เสียไปในวันนี้ เกรงว่าจะเอาคืนมาไม่ได้แล้วแน่ๆ และใช้เวลาไม่นาน เกรงว่าใต้หล้าแห่งนี้จะมองนางเป็นตัวตลก!

มดตัวหนึ่งจะเสียหน้าก็เสียไป ไม่มีใครสนใจ กระทั่งคร้านจะเยาะเย้ย

แต่ถ้าระดับจักรพรรดิคนหนึ่งเสียหน้า เช่นนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่ที่อึกทึกครึกโครมในใต้หล้า และจะรู้กันหมดในเวลาอันสั้นยิ่ง

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงยิ่งคิดก็ยิ่งอัดอั้นตันใจ สายตาชำเลืองมองที่หนึ่งโดยไม่รู้ตัว

ตรงนั้นมีชายผิวทองคนหนึ่งยืนอยู่ หนักแน่นดั่งโลหะ สูงใหญ่ดังภูเขา เป็นอู้เสวียนที่มาจากแดนกษิติครรภ์

เมื่อสังเกตเห็นสายตาของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง ในที่สุดเขาก็หน้าเปลี่ยนสี ต้องกัดฟันแน่นถึงกดข่มความกลัวและหนาวสะท้านในจิตใจเอาไว้ได้

เพียงแต่เขารู้แก่ใจว่าด้วยเรื่องนี้ เกรงว่าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงจะแค้นแดนกษิติครรภ์ของพวกเขาเข้ากระดูกดำแล้ว!

คิดถึงตรงนี้เขาก็มองดูหลินสวินที่อยู่ไม่ไกลครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ไฟโทสะอัดอั้นไร้สิ้นสุดผุดออกมาจากใจ

เจ้านอกรีตระยำนี่ ดันพ้นเคราะห์ไปได้อีกครั้ง!

ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขา ว่าแท้จริงแล้วเจ้าคนที่ชื่อจินตู๋อีผู้นี้ก็คือผู้สืบทอดคีรีดวงกมล!

ตอนอยู่บนยานลมกรด ภิกษุเฒ่าตู้คง ระดับจักรพรรดิของแดนกษิติครรภ์ถูกชายท่าทางเหมือนชาวนาคนหนึ่งสังหารด้วยสามหมัด

ขนาดอู้หมิงยังร่วงหล่นไปด้วย

เรื่องนี้ก่อให้เกิดคลื่นลมใหญ่ยิ่งในแดนกษิติครรภ์ ถึงกับทำให้บุคคลชั้นสูงที่ปิดด่านไม่รู้กี่ปีคนหนึ่งตกตะลึงเพราะเรื่องนี้ ทำการอนุมานทำนายและลงมือด้วยตัวเอง

ในที่สุดก็มั่นใจว่าชายชาวนาคนนั้นก็คือผู่เจิน ผู้สืบทอดลำดับที่สิบเอ็ดของคีรีดวงกมล!

และหลินสวินที่ถูกผู่เจินเรียกว่าศิษย์น้อง ก็ถูกแดนกษิติครรภ์หมายหัว!

ไม่ว่าฐานะอวี่เสวียนที่หลินสวินใช้ หรือฐานะจินตู๋อีที่ใช้มาจนถึงตอนนี้ ต่างก็ถูกแดนกษิติครรภ์คาดเดาฐานะได้จากร่องรอยและเบาะแสต่างๆ

เพียงแต่ลำบากที่ในมือไม่มีหลักฐานแน่ชัดมาพิสูจน์เรื่องนี้

กระทั่งในงานชุมนุมถกมรรคคราวนี้ เมื่อได้รู้ว่าจินตู๋อีที่เป็นหลินสวินปลอมตัวมาก็เข้าร่วมเช่นกัน อู้เสวียนจึงตัดสินใจโดยไม่ลังเลว่าจะเปิดโปงฐานะของหลินสวิน

แต่ให้เขาเปิดโปง จะต้องไม่มีใครเชื่อแน่ ดังนั้นเขาจึงไปหาจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง…

ผู้สืบทอดของเรือนมรรคจักรวาลได้รับความเสียหายยับเยินในแดนลับโลกาสวรรค์ ใครก็รู้ว่าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงต้องรู้สึกไม่พอใจ

และทุกคนต่างรู้กันว่า เรือนมรรคจักรวาลที่จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงอยู่ เดิมทีก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับคีรีดวงกมล!

นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมอู้เสวียนถึงนำข่าวนี้ไปบอกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง

เดิมอู้เสวียนนึกว่าคราวนี้จะยืมมือคนอื่นฆ่า สะสางเรื่องหลินสวินได้ในคราวเดียว แต่จะคิดได้อย่างไรว่า…

สถานการณ์กลับดำเนินมาถึงขั้นนี้!

ฐานะของหลินสวินไม่ได้ถูกเปิดโปง กลับเป็นจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงที่ประสบเภทภัย ถึงขนาดเอาความแค้นมาลงที่เขาทั้งหมด…

‘ถ้าพวกเจ้าแดนกษิติครรภ์ไม่ให้คำอธิบายกับข้า ภายหน้าคนของพวกเจ้าแดนกษิติครรภ์ ถ้าข้าพบจะฆ่าทุกคน!’

เสียงที่เจือความเหี้ยมเกรียมเคียดแค้นของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงดังขึ้นในโสตประสาทอู้เสวียน ทำให้เขาหนาวสะท้านไปทั้งตัวอย่างกับตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง

……

 หวั่นจ้าว คนผู้นี้คือใคร 

ขณะนี้สายตาของบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่มองไปที่หลินสวิน

 ผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิดของข้า 

เสียงของรั่วซู่อ่อนโยน

แม้จะคาดเดาความจริงได้นานแล้ว แต่เมื่อได้รับการยืนยัน ทุกคนในที่นั้นต่างก็ใจสะท้านรุนแรง สายตาที่มองดูหลินสวินล้วนไม่เหมือนเดิมแล้ว

‘ที่แท้คุณชายก็เป็นผู้สืบทอดของเรือนมรรคคืนกำเนิดที่ลึกลับที่สุดในหกเรือนมรรคใหญ่ มิน่าศิษย์พี่ของเขาผู้นั้นถึงแข็งแกร่งและน่ากลัวปานนั้น…’

ในใจจินเทียนเสวียนเยวี่ยปั่นป่วน

พวกลู่ตู๋ปู้ เซี่ยอวี่ฮวาก็สีหน้าซับซ้อน ก็จริง คนอย่างพี่จิน อาจจะมีแต่เรือนมรรคคืนกำเนิดในตำนานถึงบ่มเพาะออกมาได้

ขณะนี้ผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ อย่างหมีอู๋หยา หวงฝู่เซ่าหนง หลิงหงจวงต่างดูเงียบงันนัก

ก่อนหน้านี้พวกเขามองหลินสวินเป็นผู้แข็งแกร่งจากแคว้นเมฆามาโดยตลอด ในแง่ตำแหน่งและฐานะแล้ว ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกเหนือกว่า

แต่ตอนนี้…

พวกเขาถึงพบว่าจินตู๋อีมีที่มาไม่ด้อยไปกว่าตนเลย เรือนมรรคคืนกำเนิดก็เป็นถึงหนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่เช่นเดียวกัน!

เสวียนจิ่วอิ้นฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ ในใจพึมพำ เรือนมรรคคืนกำเนิดจริงๆ หรือ…

 ไม่ใช่ว่าเรือนมรรคคืนกำเนิด ทั้งสำนักคือมหาจักรพรรดิหรอกหรือ เหตุใดเจ้านี่กลับมีพลังปราณแค่ระดับมกุฎราชันอริยะ 

จู่ๆ จักรพรรดิมารผลาญนภาก็เอ่ยปากถาม

 ไม่ผ่านการเคี่ยวกรำในโลก ใครจะบรรลุจักรพรรดิในก้าวเดียวได้ 

รั่วซู่เอ่ยเสียงเรียบ  ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้ถ้าข้าไม่ปรากฏตัว พวกเจ้าคนไหนจะรู้ว่าจินตู๋อีคนนี้เป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิดของข้า 

จักรพรรดิมารผลาญนภาเงียบกริบไร้คำพูด

เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าเรื่องในวันนี้ไม่ชอบกลเกินไป แต่ไม่ชอบกลตรงไหนกันแน่กลับบอกไม่ถูก

 ศิษย์น้อง เจ้าตามข้ามา 

หลังจากรั่วซู่พูดอะไรกับบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่แล้ว ก็พาหลินสวินมาถึงส่วนลึกของทะเลเมฆด้วยกัน

และในขณะเดียวกันทั่วทั้งลานก็ไม่อาจสงบได้

 อาจารย์ลุง สหายยุทธ์หวั่นจ้าวผู้นี้… ตกลงมีพลังปราณระดับไหนกันแน่ 

ไท่ซูหงเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ ไม่ว่าเขาหรือระดับจักรพรรดิคนอื่นต่างมองมาที่บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่

ฝีมือที่รั่วซู่สำแดงก่อนหน้านี้น่ากลัวจนไม่อาจจินตนาการได้ เพราะจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเป็นถึงระดับจักรพรรดิสามชั้น

แต่ภายใต้เงื้อมมือรั่วซู่ กลับอ่อนแอเหมือนมดเหมือนหญ้า

นี่จะน่าตกใจไปแล้ว!

ทำให้ระดับจักรพรรดิเหล่านี้ต่างไม่อาจสงบใจได้

บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่คิดๆ แล้วก็เผยข้อมูลบางส่วนอย่างไม่ถือสา  ตอนยุคดึกดำบรรพ์ปิดฉากลง นางก็บรรลุระดับจักรพรรดิเก้าชั้นไปแล้ว 

ประโยคเดียว ความหมายที่มีอยู่กลับทำให้ระดับจักรพรรดิต่างเงียบไป จิตใจสั่นระรัว

ยุคดึกดำบรรพ์!

บรรลุระดับจักรพรรดิเก้าชั้น!

นี่ช่างเหมือนตำนานเทพที่ยังมีชีวิต เป็นตำนานอมตะเรื่องหนึ่ง!

 มิน่ายายแก่อย่างหั่วหลิงถึงถูกจัดการจนน่าอนาถขนาดนี้ ฮ่าๆ ห่างกันแค่ระดับเดียวที่ไหนน่ะ 

ซย่าสิงเลี่ยหัวเราะขึ้นมา

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงหน้าเขียวแล้ว แค้นจนอยากไปสู้สุดตัวกับซย่าสิงเลี่ย

ในขณะเดียวกันในใจนางก็สั่นสะท้านไม่หยุด บรรลุระดับจักรพรรดิเก้าชั้น ระดับอันน่าครั่นคร้ามหาใดเทียบเช่นนี้ ทั่วหล้ามีเพียงหยิบมือ!

ขณะที่มองรั่วซู่ที่อยู่ไกลๆ แววตาของบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ก็ซับซ้อนขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยว่า

 ข้าแจ้งระดับจักรพรรดิในยุคดึกดำบรรพ์ กลายเป็นบรรพจารย์ในยุคบรรพกาล แต่นาง… เดินอยู่หน้าข้ามาโดยตลอด… นี่ก็คือรากฐานพลังของเรือนมรรคคืนกำเนิด พวกเจ้า… ตอนนี้ยังไม่เข้าใจ… 

เหล่าจักรพรรดิต่างจิตใจปั่นป่วน

ไม่เข้าใจหรือ

ระดับอย่างพวกเขา ทั่วหล้าทั้งบนล่าง ฟ้าดาราวัฏจักรนี้ ยังมีที่ไหนไปไม่ได้ ทั้งยังมีเรื่องไหนที่พวกเขาไม่เข้าใจได้อีกหรือ

แต่ตอนนี้ พวกเขากลับไม่อาจโต้แย้งได้

เพราะไม่ว่าจะเป็นรั่วซู่หรือบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ ความสำเร็จในระดับจักรพรรดิของพวกเขายังมีหลายจุดที่ไม่เข้าใจจริงๆ

ส่วนในส่วนลึกของทะเลเมฆ เมื่อรั่วซู่ปัดปลายนิ้ว ฟ้าหมุนก็โคจร หมื่นหลักแปรเปลี่ยนเป็นมายา ตัดขาดกลิ่นอายโลกภายนอกโดยสมบูรณ์

ราวกับสลัดทิ้งฟ้าดินไว้ข้างนอก!

——

 

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท