หนิงเซ่าชิงและมั่วเชียนเสวี่ยตระกองกอดกัน คนหนึ่งพูด อีกคนฟัง คนหนึ่งทะนง อีกคนนอบน้อม…
เป็นนางแพศยานั่นจริงๆ ด้วย! มั่วเชียนเสวี่ยกําลังคิดหาวิธีฉีกหญิงต่ำช้าคนนั้นให้ละเอียด แต่เสียงกระซิบข้างหูกลับทำให้จิตใจของนางอ่อนยวบราวกับสายน้ำ
“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าขอโทษ!”
คําห้าคําราวกับพร่ำพูดอยู่ท่ามกลางความฝัน ประดุจกระแสลมอบอุ่นชวนให้เคลิบเคลิ้ม พลันซึมเข้าไปในหัวใจของนางเพื่อหล่อเลี้ยงบาดแผลในอดีต
ชายที่เย็นชาและเอาใจยากคนนี้ ยอมวางศักดิ์ศรีและเอ่ยคำขอโทษได้ ทั้งยังอธิบายอีกยาวเหยียดก็นับว่าเพียงพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในคําขอโทษนี้ไม่เพียงแต่มีคําว่าขอโทษเท่านั้นแต่ยังมีความรู้สึกผิดอยู่อีกด้วย…
ความรู้สึกต้องปล่อยให้ดำเนินไปเอง ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรฝืนทำมากเกินไปนัก
“วันหน้า ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายน้ำใจเจ้าอีก…”
นั่นไม่ใช่แค่คำพูดพล่อยๆ ที่ดังข้างหู หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยจึงหันกลับมาและค่อยๆ โอบรอบเอวของเขา
ใกล้ถึงฤดูหนาว อากาศเย็นสบาย หนิงเซ่าชิงกลับรู้สึกว่าร่างกายร้อนผิดปกติ เขาอยากจะก้าวไปอีกขั้นแต่เขาทำไม่ได้ เขาไม่สามารถทำร้ายหญิงสาวในอ้อมกอดคนนี้ได้
หากยังไม่ได้ถอนพิษ เขาก็ยังร่วมหอไม่ได้
เขากระแอมเบาๆ ปล่อยคนที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นจูงมือนางให้นั่งลงที่หัวเตียงด้วยกัน
จ้องมองมั่วเชียนเสวี่ยด้วยดวงตาลึกซึ้ง เขาตั้งสติอยู่พักหนึ่ง ลูบปอยผมของนางเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดใจและพูดถึงอดีตของตัวเอง…
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่คนโง่ นางเคยเดาความเป็นมาของหนิงเซ่าชิงตอนกลางดึกที่นอนไม่หลับ ตอนนี้เขาไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียว แต่ความมีสง่าราศีที่แผ่ออกมาจากทุกอิริยาบถ นั่นบ่งบอกว่าเขาไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป
บางทีอาจจะมีชาติกำเนิดที่ไม่ธรรมดาเหมือนในนิยายและละครเกินจริงพวกนั้น ที่ต้องคอยแบกบุญคุณความแค้นของตระกูลอะไรเทือกนั้น
ถ้ามั่วเชียนเสวี่ยเห็นแก่ตัวสักหน่อยก็ควรจะรีบหาวิธีหาเงินให้ได้เป็นกอบเป็นกำ แล้วถอนตัวออกไปตั้งแต่เนิ่นๆ พร้อมกับหนีไปให้ไกล แต่เจ้าของของร่างเดิมนี้ก็มีความเป็นมายุ่งยากพอตัว ถ้าหากเขามีปัญหาไม่จบไม่สิ้นแล้วนางจะรับมือกับปัญหาที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงตัวเมื่อไหร่ได้อย่างไรกันนะ
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยมายังโลกนี้ ทุกๆ เที่ยงคืนมักจะฝันถึงความหวาดระแวงและวิตกกังวล ครั้นรู้สึกว่าเขาอยู่ข้างกาย ความหนักอึ้งนั้นเบาลงเพราะนางรู้ว่านางไม่ได้ตัวคนเดียว ยังมีอีกคนหนึ่งคอยเป็นที่พึ่งพา ทำให้นางไม่หวาดกลัวอีกต่อไป และนางตัดใจทิ้งเขาไปไม่ได้…
“ถ้าท่านต้องการแก้แค้น ข้าก็จะช่วยท่าน! ถ้าท่านอยากอยู่ต่อที่นี่ ข้าก็จะอยู่กับท่าน”
นี่เป็นประโยคแรกที่มั่วเชียนเสวี่ยพูดหลังจากฟังเรื่องราวของเขาจบ แม้เป็นเพียงถ้อยคำสั้นๆ แต่กลับมีพลังมหาศาล แน่นอนว่านางไม่รู้เลยว่าตระกูลหนิงเป็นหนึ่งในสามวงศ์ตระกูลใหญ่ของราชวงศ์เทียนฉีและไม่รู้มาก่อนว่าหากตระกูลหนิงย่ำเท้าเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ราชสํานักสั่นคลอน แผ่นดินสั่นสะเทือนได้
ด้วยความหยิ่งยโสของหนิงเซ่าชิง ไม่มีทางคุยโวโอ้อวดถึงสถานะในตระกูลของตน ดังนั้นมั่วเชียนเสวี่ยจึงคิดว่าเป็นเพียงตระกูลใหญ่ทั่วไป
แม้ว่านางจะเห็นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา แต่พอได้ฟัง ข้อสงสัยต่างๆ ที่เคยคาดเดาไว้ก็ได้รับคำตอบแล้ว
เพียงประโยคเดียว รอยแผลเป็นที่เหลืออยู่ของหนิงเซ่าชิงก็หายไปในพริบตา หากมีหญิงสาวเช่นนี้อยู่เคียงข้าง ต่อให้แก่ตายในหมู่บ้านที่กันดารเช่นนี้เขาก็ยินดี เวลานี้ เขาถึงกับขอบคุณสรวงสวรรค์ที่มอบภัยเช่นนั้นให้แก่เขา เพราะมันทำให้เขาได้พบกับสตรีผู้นี้
เขาเงยหน้ายิ้มอ่อนโยน ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายราวกับสายน้ำที่ท่วมท้น มีคลื่นระลอกหนึ่งก่อตัวเกิดเป็นความรู้สึกแปลกๆ ทำให้หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยสั่นไหวและกําลังจะจมดิ่งลงลึก
หนิงเซ่าชิงตอบ “ข้าไม่แก้แค้นหรอก ในเมื่อพวกเขาต้องการก็ให้พวกเขาเถิด เจ้าจะรังเกียจข้าหรือไม่”
ศีรษะของมั่วเชียนเสวี่ยส่ายไปมาราวกับกลองเด็กเล่น ความจริงเมื่อครู่นางกลัวว่าเขาจะบอกว่าจะกลับไปแย่งชิง ในจวนใหญ่นอกจากเงินทองและความมั่งคั่งแล้ว สิ่งที่มีมากไม่แพ้กันคือการแก่งแย่งและจิตใจสกปรกโสมม
แม้ว่านางจะไม่กลัวเงาดาบที่มองไม่เห็น แต่ก็ไม่ชอบชีวิตแบบนั้น
อยู่ที่นี่ยังดีกว่า สองคนช่วยกันฟันฝ่า พึ่งพากันและกัน บางทีวันหนึ่งอาจจะรักกันขึ้นมาก็ได้ เป็นสามีภรรยาที่แท้จริง หาเงิน เลี้ยงดูลูกๆ จากนั้นทุกคนในครอบครัวเติบโตขึ้นพร้อมๆ กันอย่างมีความสุข ถ้าเป็นเช่นนั้นชีวิตของนางก็สุขสมบูรณ์แล้ว คิดไปคิดมา ในใจของนางก็พลันเห็นความงดงามขึ้นมา ยื่นหน้าไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว
ห้องคุกรุ่นไปด้วยความรักที่กำลังจะเบ่งบาน…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตื่นจากภวังค์ ทุกอย่างหยุดนิ่งทันที เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้า ก็ยืดตัวตรงด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ… เพื่ออำพรางความเงอะงะของตัวเอง นางรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูทันที ส่วนหนิงเซ่าชิงที่อยู่ข้างหลังกลับหัวเราะอย่างสบายอารมณ์
หล่อล่มเมืองมันเป็นเช่นนี้นี่เอง!
ที่ด้านนอกประตูคือหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสของหมู่บ้านที่มาเยี่ยมเยียนหนิงเซ่าชิง มั่วเชียนเสวี่ยเชิญพวกเขาเข้ามาพร้อมกับยกน้ำชา เมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้าก็เห็นว่าค่ำมากแล้ว จึงรีบไปเตรียมอาหารที่ห้องครัว
ขณะทำอาหาร ก็แอบก่นด่าตัวเองว่าไม่รู้จักข่มใจเลยหรือว่านางจะเป็นสาวพรหมจรรย์ที่มีความต้องการสูงจริงๆ ไม่ได้ๆ ถ้าไม่ถีบเขาลงเตียงสักสองสามรอบ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
ในคืนนั้น แม้ว่าทั้งสองคนจะยังนอนใต้ผ้าห่มคนละผืน แต่หัวใจของพวกเขากลับใกล้ชิดกันมากขึ้น
ค่ำคืนอันแสนวิเศษเช่นนี้ ชวนให้เคลิบเคลิ้ม…
ในคืนเดียวกันนี้ ที่บ้านของอาซ้อจ้าวเอ้อร์กลับมีการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่เกิดขึ้น
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็เกิดความผิดปกติขึ้นมา ตอนแรกแค่รู้สึกปวดบิดเล็กน้อย จ้าวเอ้อร์จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก จนกระทั่งเข้าห้องน้ำไปหลายรอบ ถึงได้รู้ว่าอาหารมีปัญหาแน่ ครั้นจะเตะภรรยาตนเองก็ไม่มีแรง
อาซ้อจ้าวเอ้อร์ก็พยุงตัวขึ้นมาอย่างอ่อนแรง นอนแผ่หราบนเตียงพร้อมกับหายใจหอบ
พอฟังดูแล้ว ลูกๆ ทั้งสองไม่เป็นไร อาซ้อจ้าวเอ้อร์ก็เดาว่าคงเป็นเพราะเนื้อวัวนั่นมีปัญหาแน่ๆ นึกด่ามั่วเชียนเสวี่ยในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง
เด็กสองคนนอนอยู่อีกห้องหนึ่ง หลับเป็นตาย จะรู้สถานการณ์ทางนี้ได้อย่างไร
สามีภรรยาคู่นี้อยากเรียกคนไปตามหมอมา แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะตะโกน พอตกกลางดึกก็ลุกไม่ขึ้น อุจจาระเรี่ยราดเต็มเตียงเต็มห้องนอน ยามนี้ทั้งห้องยุ่งเหยิงไปหมด
เช้าตรู่ เมื่อลูกชายสองคนของตระกูลจ้าวตื่นขึ้นมาไม่เห็นผู้เป็นแม่ไปทำอาหารในครัว นี่ก็ถึงเวลาอาหารแล้ว แต่ก็ยังไม่มีคนทำกับข้าวอีก จึงไปดูที่ห้องของพ่อแม่ เมื่อเห็นว่าสองคนนั้นกำลังจะตาย ลูกชายทั้งสองจึงแตกตื่น รีบไปขอความช่วยเหลือจากลุงและญาติของพวกเขาทันที
ทั้งบ้านเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ไม่สามารถก้าวเท้าลงได้เลย บวกกับสองคนนี้ที่ปกติมักทำเรื่องน่ารังเกียจ ทำให้ลุงๆ ป้าๆ หลายคนต่างก็ไม่อยากยุ่งด้วย
สุดท้ายก็เป็นหน้าที่ของลูกที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุด หากพวกเขาไม่สนใจเลยก็กลัวว่าคนอื่นจะนินทาลับหลัง จึงบีบจมูกแล้วยกตัวทั้งสองคนออกมาอย่างจำใจ จากนั้นไปขอน้ำมนต์หมอผีมาป้อนให้พ่อแม่
กลิ่นเหม็นเน่าของห้องนั้นทำให้เพื่อนบ้านสองหลังที่อยู่ติดกันรู้สึกขยะแขยงเป็นที่สุด ถึงขั้นตั้งใจไว้ว่าให้ตายอย่างไรก็จะไม่ไปมาหาสู่กับพวกเขาอีกเด็ดขาด
คนที่เดินผ่านไปมาล้วนบีบจมูกเดิน! สองสามีภรรยาจ้าวเอ้อร์ทำขายหน้าไปถึงต้นตระกูล…