เมื่อวานหมอหลี่ยืดอายุของหนิงเซ่าชิงจากหนึ่งวันเป็นร้อยวัน วันนี้ท่านผู้เฒ่าเซวียยืดจากร้อยวันเป็นสองปี ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมในทันที
ช่วงเวลาสองปีนี้นางคงมีเวลาหาเงินได้มากพอเพื่อเชิญหมอฝีมือดีหรือหายาแพงๆ มารักษาเขาได้
แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่รู้เลยว่าท่านผู้เฒ่าเซวียเกษียนจากการเป็นหมอแล้วไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษ ในยามปกติไม่ได้ออกรักษา หากไม่ใช่เพราะตอนอยู่ในเมืองหลวงได้รับการดูแลจากตระกูลซูเป็นอย่างดี มีมิตรภาพที่ดีต่อกันและนำเกี้ยวพร้อมคนหามแปดคนมารับเขา ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ตามมารักษาให้หรอก
ในห้อง ท่านผู้เฒ่าเซวียกำลังฝังเข็มทองที่จุดต่างๆ ในร่างกาย ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยคอยรออยู่ด้านนอก
……
ด้านนอกบ้าน
มีก้อนเงินร่วงมาจากด้านบน หลี่ไคสือเบิกตากว้าง มองไปยังจุดที่เงินก้อนใหญ่ตกลงมาในทันใดจนลืมความเจ็บที่ขาไปสิ้น สองมือตะเกียกตะกายไปเก็บเงินเหล่านั้นมาเป็นของตนเอง
แต่กลับมีเท้าที่สวมรองเท้าสีดำเหยียบมือเขาไว้ “อยากได้เงิน?”
เสียงของอาจ้าวนั้นเย็นชาราวกับเป็นเสียงที่ดังมาจากขุมนรก
แม้น้ำเสียงที่เย็นชานั้นจะทำให้หลี่ไคสือตัวแข็งทื่อแต่ความโลภได้เกิดขึ้นแล้ว แม้คนผู้นี้จะเก่งกาจจนไม่อาจมีใครเทียบได้ ถึงแม้จะมีคนหนุนหลังอยู่ในเมือง แต่อย่างไรเสียที่หมู่บ้านหวังจยาแห่งนี้เขาเป็นเจ้าถิ่น
ช่วงเวลากลางวันแสกๆ เช่นนี้เขาคงไม่กล้าลงมือฆ่าคน หากไม่อยากให้เขาเปิดปากพูดก็ให้เงินมาเสียดีๆ เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงเปิดปากพูดอย่างมั่นใจในทันที “ขาของข้าจะหักอยู่แล้ว เงินแค่นี้เจ้าคิดว่าจะพอปิด…”
เท้าที่เหยียบมืออยู่นั้นก็ย้ายไปเหยียบที่หน้าอกเขาแทน เสียงที่เย็นชาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “บางที เจ้าอาจอยากเปลี่ยนมันให้เป็นค่าจัดงานศพ?!”
ดวงตาที่เย็นชานั้นเต็มไปด้วยความดุร้าย
งานศพ? หลี่ไคสือตัวสั่นเทา “พอพอพอ! พอ…พอแน่นอน นายท่าน! ท่านกรุณาไว้ชี…” หน้าอกที่โดนเท้าเหยียบอยู่ก็จะทำให้หายใจไม่ออกอยู่แล้ว ยิ่งกดไปที่ขา หลี่ไคสือที่ส่งเสียงข้อร้องไม่หยุดแต่มันก็ไม่มากพอ
เสียงที่เย็นชาดังขึ้นอีก “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับขาเจ้า”
หลี่ไคสือรีบตอบ “ข้าล้มเอง เรื่องนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับมั่วเชียนเสวี่ยแม้แต่น้อย”
“หืม?”
“วันนี้ข้าน้อยไม่ได้มาที่นี่ ขานี้…เป็นเพราะว่าล้มตอนขึ้นเขา ล้มตอนขึ้นเขาอย่างแน่นอน…” หลี่ไคสือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอื้น
“ในเมื่อล้มตอนขึ้นเขา ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ข้าเป็นคนมีจิตใจเมตตา ช่วยเจ้าสักหน่อยคงไม่เป็นไร!”
“ฮะ?…” เพียงได้ยินเสียงลมที่ผ่านข้างหูไป ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็ถูกทิ้งไว้ในป่ากลางเขา
ใกล้เข้าฤดูหนาว ฟ้าย่อมมืดเร็วกว่าปกติ เพิ่งจะผ่านยามเซิน[1]ไป ท้องฟ้าด้านนี้ก็มืดสลัวแล้ว
หนึ่งวันที่ผ่านมานี้ มั่วเชียนเสวี่ยเหนื่อยจนถึงขีดสุด มือจับไปที่แขนของหนิงเซ่าชิง จากตอนแรกที่คิดว่าจะดูแล แต่ใครจะรู้ยามนี้นางกลับฟุบอยู่ข้างเตียงไปเสียแล้ว
หนิงเซ่าชิงตื่นขึ้นมาอย่างมึนงงและเวียนหัว ลืมตามองเห็นหญิงสาวที่นอนฟุบอยู่ข้างเตียง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีน้ำอุ่นๆ คลออยู่บริเวณดวงตา
เขาคิดว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว
เขาคิดว่าเขาจะไม่ได้เจอนางอีกแล้ว…
ดวงตามองไปยังมั่วเชียนเสวี่ยที่ยังขมวดคิ้วนอนอยู่ หนิงเซ่าชิงจึงค่อยๆ ยื่นมือออกไป หวังจะนวดคลึงบริเวณหัวคิ้วนั้นให้นาง
เมื่อลูบไปที่ใบหน้านั้นอย่างอ่อนโยน เขาถึงแน่ใจว่านี้คือเรื่องจริง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพที่เขาจินตนาการขึ้นมาเอง
เขาพยายามยับยั้งความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ไม่อยากให้พวกมันเอ่อล้นออกมา แต่เสียดายมือที่สั่นเทาของเขากลับทรยศเสียงที่อยู่ในใจ การกระทำนั้นทำให้คนที่หลับอยู่ดันตื่นขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าหนิงเซ่าชิงตื่นแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยลืมตาขึ้นทันทีพลางเงยหน้าขึ้นอย่างดีใจ มือคู่นั้นจับไปยังมือที่หยุดนิ่งไป “เซียนเซิง ท่านตื่นแล้ว!”
เมื่อต้องเผชิญกับสายตาของมั่วเชียนเสวี่ยที่ไม่อาจซ่อนความอบอุ่นและการรอคอยได้ ขอบตาของหนิงเซ่าชิงพลันแดงระเรื่อขึ้น
เขาเคยคิดว่าโลกใบนี้ช่างมืดมนและอ้างว้าง คงไม่มีใครสักคนที่เป็นห่วงเขาจริงๆ…
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าในช่วงเวลาที่เขาลำบากเจียนตาย ไร้ซึ่งสมบัติ คนที่ให้ค่าเขากลับเป็นหญิงสาวที่โดนบังคับให้แต่งงานกับเขาผู้นี้
มั่วเชียนเสวี่ยตั้งใจทำอาหารหลากหลายประเภทในทุกวัน เพื่อให้เขากินได้มากขึ้นแม้เพียงคำเดียวก็ยังดี ตื่นเช้าเพื่อทำงานหนักแต่ไม่เคยบ่นว่าลำบากแม้สักครั้ง เขาอยู่ในสภาพเช่นนี้แต่นางยังคงดูแลเขาด้วยความจริงใจ…
เขาช่างโชคร้าย ไม่รู้ด้วยเหตุใดที่ต้องประสบความทุกข์จากคนที่รักและถูกคนที่ไว้ใจที่สุดหักหลัง
ในคราวเดียวกัน เขาก็ช่างโชคดี ในช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดยังมีหญิงสาวผู้นี้ที่ทุ่มเทใจเพื่อดูแลเขา
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นหนิงเซ่าชิงไม่พูดจา ดวงตาแดงระเรื่อ มือสั่นเล็กน้อยก็คิดว่าเขาคงรู้สึกไม่สบาย จึงรีบเอ่ยถาม “ท่านเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“ข้าไม่เป็นไร เพียงแต่หิวเลยรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย อยากกินข้าวต้มบำรุงร่างกายที่เจ้าทำ”
หนิงเซ่าชิงเสียงสะอื้นเล็กน้อยจึงเบือนหน้าหนี มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกผิดขึ้นมาทันที พลางเอ่ยถามเสียงเบา “ทั้งวันมานี้ท่านยังไม่ได้กินอะไรเลย ต้องหิวมากแน่ ท่านรอสักครู่ ข้าจะออกไปทำให้เดี๋ยวนี้”
มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นจะเดินออกไปแต่กลับถูกมือคู่นั้นจับไว้แน่น เหมือนไม่อยากปล่อย นางจึงหันมาด้วยความสงสัย หนิงเซ่าชิงจึงรีบปล่อยมือพลางกระแอมเบาๆ แล้วพูดเสริม “ใส่น้ำตาลมากหน่อยล่ะ!”
“หืม? อืม ได้เลย”
ถึงแม้จะสงสัย แต่มั่วเชียนเสวี่ยก็พยักหน้าและตอบรับ นางจำได้ว่าข้าวต้มบำรุงร่างกายนั้นมีรสเค็ม หากใส่น้ำตาลเพิ่มล่ะก็…โอย หากเขาอยากกินหวาน ก็แค่ทำอาหารหวานๆ ให้เขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือ
มองไปทางหญิงสาวรูปร่างอรชรค่อยๆ เดินออกไป หนิงเซ่าชิงมองมือที่ว่างเปล่าของตนเอง ในใจรู้สึกเบาหวิวขึ้นมาทันที
ที่จริงแล้วตัวเขานั้นอยากเอ่ยคำว่า ขอโทษ!
ที่จริงแล้วเขาไม่อยากให้นางไป อยากให้นางอยู่นานกว่านี้อีกสักหน่อย
เขายิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายหัว ไม่เข้าใจว่าคนที่พูดจาคล่องแคล้วและเป็นบุรุษที่สง่างามอย่างคุณชายหนิงนั้นหายไปไหนเสียแล้ว เหตุใดเมื่ออยู่ต่อหน้านาง เขาถึงปากไม่ตรงกับใจเสมอ
……
ณ ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวี เมืองเทียนเซียง
“เจ้าว่าจะมีคนทำไม่ดีกับหนิงเหนียงจื่ออย่างนั้นหรือ” คุณชายเจ็ดฟังที่อาจ้าวรายงานเสร็จก็ทุบโต๊ะและยืนขึ้นมาทันที “แล้วทำไมเจ้าไม่กำจัดไอ้ชั่วนั่นทิ้งซะที่นั่นเลย”
อาจ้าวเมื่อเห็นเจ้านายโมโห ก็รีบคำนับแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยจะไปกำจัดมันเดี๋ยวนี้ขอรับ” ที่จริงแล้วเขาก็อยากจะกำจัดไอ้ชั่วนั่นทิ้งเสียที่นั่นเลย แต่ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้คุณชายจึงละมือและปล่อยหลี่ไคสือไป อาจ้าวหันตัวเพื่อถอยออกไป คุณชายเจ็ดพูดขึ้นมา “กลับมา! เจ้ารีบไปพักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องขับรถม้าอีก”
คุณชายเจ็ดเปลี่ยนความคิดเร็วเช่นนี้ ถึงแม้อาจ้าวจะไม่เข้าใจแต่ก็ทำตามคำสั่งเช่นปกติ “ขอบคุณนายท่านที่ให้อภัย ข้าน้อยขอตัวลา”
เขาหันตัวกลับยกมือขึ้นมา อาจ้าวแสดงความเคารพก่อนถอยออกไป
[1] ยามเซิน เวลา 15.00 น. – 17.00 น.