หลี่ไคสือพูดจบแล้วจึงลุกขึ้น เดินกระเผลกมายืนอยู่ตรงหน้ามั่วเชียนเสวี่ยพร้อมยื่นสองมือไปจับใบหน้าของนาง
มั่วเชียนเสวี่ยถอยหลังไปหนึ่งก้าว พลางตะโกนด่าเสียงดัง “หยุด! เจ้าบังอาจนัก! ที่นี่คือบ้านตระกูลหนิง เจ้าไม่ได้ใช้แซ่หนิง ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องมาเสนอหน้า รีบไปให้พ้น!”
ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่า แม้ว่าหลี่ไคสือเป็นคนชั่วช้าแต่ก็ต้องรักษาหน้าของหลี่ปาเพื่อรักษาตำแหน่งในหมู่บ้านให้กับพ่อของเขา ทั้งนี้จึงไม่กล้าก่อความวุ่นวายในหมู่บ้าน
“เจ้าร้อนใจอะไร ในวันนี้บ้านหลังนี้ยังเป็นของคนแซ่หนิง ไม่แน่วันพรุ่งนี้อาจเป็นของคนแซ่หลี่ก็ได้ เจ้าคิดให้ดีๆ หากทำให้สามีในอนาคตไม่พอใจ อนาคตเจ้าอาจมีโทษ…”
“ไอ้ของสกปรกโสโครก หุบปากเน่าๆ ของเจ้าซะ ต่อให้ตระกูลหลี่ของเจ้าวางแผนน่ารังเกียจ อย่างไรที่นี่ก็ยังเป็นของตระกูลหนิง”
มั่วเชียนเสวี่ยตะโกนด่าเสียงดัง แต่หลี่ไคสือกลับไม่โกรธ ทั้งยังดูมีความสุขเสียด้วยซ้ำ ช่างร้อนแรง น่าหลงใหล ไม่รู้ว่ายามอยู่บนเตียง….
“เจ้าไม่ต้องกลัวไป หญิงสาวสวยๆ เช่นเจ้า ข้ามีแต่อยากจะทะนุถนอม…”
คำพูดเต็มไปด้วยคำกำกวม เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยได้ยินก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันใด
ยามนี้นางโกรธจนหน้าคล้ำ สองเท้าถอยไปถึงบริเวณด้านหลังประตู พอหยิบไม้กวาดที่อยู่ข้างประตูได้ก็ตีลงไปที่หัวและใบหน้าของหลี่ไคสืออย่างบ้าคลั่ง
หลี่ไคสือที่กำลังฝันหวานอยู่ ทำให้การตอบสนองช้า เมื่อโดนไม้กวาดหวดไปแล้วหลายครั้ง เดิมทีก็มีรอยแผลอยู่บนใบหน้า ในตอนนี้ยังมีรอยจุดเล็กๆ แดงๆ เพิ่มขึ้นอีกนับสิบจุด เจ็บจนร้องออกมาเหมือนหมูที่โดนเชือดก็ไม่ปาน กระโดดขึ้นอยากจะหลบหลีก
หลี่ไคสือทีที่กระโดดขึ้นเดิมทีนั้นเพื่ออยากหลบหลีก แต่เมื่อแหงนหน้ากลับมองเห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อของมั่วเชียนเสวี่ย พลันรู้สึกว่านางดูงดงามเป็นพิเศษ ความร้อนรุ่มสุ่มอยู่ในใจ ที่ท้องน้อยก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาทันทีเช่นกัน
ชั่วขณะนั้นร่างกายที่เปลี่ยนไปทำให้สายตาของเขาแสดงออกถึงความต้องการในตัณหา อย่างไรเสียไอ้คนขี้โรคนั่นก็จะไม่รอดอยู่แล้ว จัดการนางวันนี้เลยก็คงไม่เป็นไร
จิตใจลุ่มหลงในโลกีย์มาเสมอ ทำให้เกิดความกล้าบ้าบิ่น!
นอกจากเขาจะไม่หลบแล้ว กลับกันยังเดินตรงเข้าไปพลางยื่นมือไปจับไม้กวาดที่ฟาดเข้ามา
ที่สุดแล้วเขาก็ยังเป็นชายหนุ่ม ต่อให้ไม่ค่อยสมบูรณ์ แม้ขายังเดินได้ไม่ค่อยสะดวก แต่ก็ยังถือว่าเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบที่แข็งแรง พละกำลังย่อมมีมากกว่าเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าแน่นอน ไม้กวาดจึงโดนเขาแย่งไป
ฮ่าๆๆๆ
เสียงหัวเราะที่ดูน่ากลัว…
บ้านที่มั่วเชียนเสวี่ยอาศัยอยู่นั้นอยู่ลึกไปทางหลังหมู่บ้าน เป็นหลังท้ายสุดที่อยู่ทางทิศตะวันตก ถึงแม้จะเป็นเพื่อนบ้านกับฟางต้าถัง แต่ก็นับว่าอยู่ห่างออกไปไม่น้อย
เดิมทีในหมู่บ้านมีตาแก่รักสันโดษเอาแต่ใจ อาศัยอยู่กับลูกหลานไม่ได้จึงมาสร้างบ้านที่นี่ หลังตาแก่ตายไป ลูกหลานของเขาคิดว่าบ้านนี้อยู่ไกล ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครมาอยู่อาศัยอีกเลย ทางหมู่บ้านจึงได้มอบให้หนิงเซ่าชิง
ช่วงบ่ายนั้นหมู่บ้านหวังจยาเงียบสงบ แต่ในบ้านของตระกูลหนิงกลับวุ่นวาย
“คนสวย เจ้ายอมข้าเถิด หลังจากนี้ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี” หลี่ไคสือยิ้มลามกและมัวแต่คิดเพ้อฝัน แม่นางคนนี้ถือว่ามีฝีมือการทำอาหาร หากรับนางเป็นภรรยา ไม่แน่ในเวลาไม่นานอาจสร้างเงินเป็นกอบเป็นกำให้กับเขา ถึงเวลานั้นยังจะกลัวหาภรรยาเพิ่มไม่ได้อีกหรือ
“หากเจ้ายังไม่ไป ข้าจะตะโกนเรียกคนแล้วนะ”
หลี่ไคสือได้ยินว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะร้องเรียกคนก็โยนไม้กวาดทิ้ง นอกจากเขาจะไม่หนีแล้วยังยิ้มเจ้าเล่ห์สาวเท้าเดินเข้าใกล้ “เจ้าร้องสิ ต่อให้เจ้าร้องจนคอแตกก็ไม่มีใครได้ยินหรอก ไม่แน่เสียงร้องของเจ้าอาจจะทำให้คนขี้โรคด้านในตื่นมาดูเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย…”
คำพูดคำจาของเขายิ่งพูดยิ่งเลยเถิด มั่งเชียนเสวี่ยโกรธจนไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด สองมือสองเท้าสู้อย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
เสียงโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด เสียงหอบของชายหนุ่ม เสียงตะโกนด่าทอของหญิงสาว
หลังเสียงดังโครมครามไปพักหนึ่ง ใบหน้าของหลี่ไคสือดูไม่สู้ดีนัก มีรอยแดงไม่น้อย ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยก็ถูกดันให้อยู่ในมุมของห้อง
“ดูซิว่าเจ้าจะวิ่งหนีไปไหน!” ไม่มีทางหนีแล้ว มือชั่วร้ายนั้นกำลังจับมาที่มุมเสื้อของมั่วเชียนเสวี่ย
ในเวลานั้น มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นมา ด้านนอกมีเงาปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง
คำพูดช้ากว่าการกระทำเสมอ!
ยังไม่ทันที่มั่วเชียนเสวี่ยจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลี่ไคสือก็โดนโยนออกไปแล้ว
โดนโยนออกไปไกลมาก เห็นเพียงร่างที่ลอยออกไปด้านนอกเรือน พร้อมกับเสียงแตกร้าวและเสียงกระดูกหัก ต่อมาก็เป็นเสียงร้องน่าเวทนา
มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินเสียงที่ไพเราะนั่นแต่ก็ไม่ได้ออกไปดู เพียงยืนมองชายหนุ่มร่างกายกำยำสีหน้าเย็นชาที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้
นางจำได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้คือคนที่ถือดาบคุมรถม้าที่ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีส่งให้มารับเต้าหู้วันนี้
“ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ที่ยื่นมือเข้ามาช่วย บุญคุณครานี้ข้าจะตอบแทนให้ในวันหน้า ขอทราบนามของท่านได้หรือไม่” มั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังจดจ่อกับการจัดทรงผม ท่าทางที่สับสนเมื่อครู่นั้นหายไปในทันควัน แทนที่ด้วยความสงบ สุภาพและมีมารยาท
ในโลกปัจจุบันการทำงานในห้างสรรพสินค้านั้นโหดร้ายมาก ต่อให้ก่อนหน้านี้จะร้องไห้อยู่แต่หากมีลูกค้าก็ต้องฝืนยิ้มต้อนรับให้ได้ หากไม่มีความสามารถก็คงโดนโลกของธุรกิจกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก จะกลายมาเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน
ชายหนุ่มที่ถือดาบดูสงบเยือกเย็น พลางเอ่ยปากอย่างเกรงใจ “ข้าไม่อาจเอื้อมเป็นจอมยุทธ์ ข้าเป็นองครักษ์ของคุณชายเจ็ด หรือแม่นางจะเรียกข้าว่าอาจ้าวก็ได้”
ไม่มีน้ำตา? ไม่เสียใจ? ไม่ร้อนรนจนทนไม่ได้? เหมือนกับว่าเด็กสาวที่โดนเหยียดหยามเมื่อครู่นั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับนาง มีเพียงท่าทางสุขุมเข้ามาแทนที่ เพียงแค่นี้ก็เพียงพอให้นับถือแล้ว
อาจ้าวคิดประเมินหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าในใจใหม่อีกครั้ง คนที่สามารถทำให้คุณชายให้ความสำคัญเป็นพิเศษได้นั้น แน่นอนว่าต้องแตกต่างจากผู้อื่น
มั่วเชียนเสวี่ยสางผมที่ยุ่งของตนเอง แล้วเดินไปกลางห้อง “อาจ้าวมีเรื่องอะไรถึงมาที่นี่อย่างนั้นหรือ หรือว่าคุณชายเจ็ดมีเรื่องอะไรมาสั่ง”
“คุณชายเจ็ดได้ยินมาว่าสามีของแม่นางป่วย จึงตั้งใจช่วยเหลือและได้เชิญผู้เฒ่าเซวียหมอฝีมือดีมารักษาให้ อยากให้หนิงเหนียงจื่อสบายใจและตั้งใจทำเต้าหู้”
“ฝากขอบคุณคุณชายเจ็ดของเจ้าด้วย ความช่วยเหลือในครั้งนี้ข้ามั่วเชียนเสวี่ยขอน้อมรับไว้ หากวันใดที่คุณชายเจ็ดมีเรื่องยุ่งยากขอเพียงเอ่ยปาก”
มั่วเชียนเสวี่ยมองไปทางประตู ครั้นไม่เห็นมีคนจึงเอ่ยถาม “ท่านหมอล่ะ รีบเชิญให้เข้ามาเถิด”
“ข้าได้ยินเสียงดังขึ้นผิดปกติจึงรีบรุดมาก่อน รถม้ายังคงอยู่หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้าน”
นี่คือวิชาหูทิพย์ในตำนานอย่างนั้นหรือ มั่วเชียนเสวี่ยมึนงง อาจ้าวจะออกจากห้องแต่ใช้วิธีการกระโดด เพียงชั่วครู่ก็ไปถึงสันกำแพงและภายในพริบตาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว
วิชาตัวเบา? มั่วเชียนเสวี่ยขยี้ตา พลางร้องอุทานให้กับความหลอกลวงของโลกอดีต จากนั้นจึงตั้งใจจัดผมเผ้าใหม่อีกครั้ง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้อง
หมอผู้มีฝีมือดีจะมา นางต้องดูดี ออกไปต้อนรับขับสู้ที่หน้าประตูด้วยตนเอง
ขณะที่เดินไปถึงต้นหลิวเก่าแก่ก็มีลมพัดเขามาจากสันกำแพงในทันใด ครั้นเงยหน้าไปมองเห็นอาจ้าวหิ้วคนแก่คนหนึ่งกระโดดลงมาจากบริเวณสันกำแพง
นายคนนี้ทำไมไม่เดินเข้ามาทางประตู มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วจนเกิดรอยย่น ได้แต่รีบเดินไปต้อนรับ “ท่านนี้ผู้คงเป็นท่านผู้เฒ่าเซวีย ขออภัยที่ข้าไม่ทันออกมาต้อนรับท่าน”
ท่านผู้เฒ่าเซวียจับชีพจรพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด ยกมือลูบหนวดเคราที่อยู่ตรงใบหน้าพลางคิดอยู่สักพักจึงเปิดปากพูด “ความเย็นได้เข้าสู้เส้นโลหิตของสามีเจ้าแล้ว ยังดีที่เมื่อวานใช้ยาได้ทันท่วงที ยับยั้งความหนาวเหน็บนี้ได้ ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมา…”
ฟังจากที่ท่านผู้เฒ่าเซวียพูดไม่เหมือนกับที่หมอหลี่พูด อาการป่วยไม่ได้รุนแรงเหมือนเมื่อวาน ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยมีประกายของความหวัง “ขอท่านผู้เฒ่าช่วยชีวิตสามีของข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
“ดูจากสัญญาณชีพจร การรักษาของเมื่อวานสามารถยับยั้งอาการหนาวเย็นได้ดี คงจะยับยั้งอาการหนาวได้ถึงร้อยวัน หากข้าใช้ทักษะการฝังเข็มทองร่วมด้วย คงยับยั้งอาการพิษลมหนาวในร่างกายได้นานสองปี แต่ว่าหากอาการหนาวสั่นกลับมาอีกครั้งและแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย ข้าเองก็จนปัญญา…”