หลังจากทักทายอยู่สองสามคำ มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้เดินนำผู้จัดการถังออกมาจากสำนักงานจัดการท่าเรือ
เนื่องจากผู้จัดการถังกล่าวว่านางเป็นสตรี เผชิญโลกภายนอกเพียงลำพังไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจะไปช่วยดูว่ายังมีเรื่องใดที่สามารถช่วยเหลือนางได้หรือไม่ จึงให้นางพาไปยังพื้นที่ก่อสร้าง แน่นอนว่ามั่วเชียนเสวี่ยดีใจมาก
ส่วนผู้ช่วยในสำนักงานอีกสองคน เมื่อพบว่าทั้งสองเดินทางจากไปแล้วก็ได้หันหน้าหากันยิ้มหึๆ
คนหนึ่งกล่าวว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกคนหนึ่งกล่าวว่าทำของตกไว้จะออกไปหา เมื่อหันมาสบตากันแล้วเดินออกจากสำนักงานอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งไปทางซ้าย คนหนึ่งไปทางขวา
ผู้ที่เดินไปทางซ้ายเดินไปยังที่แห่งหนึ่งแล้วกระซิบข้างหูใครบางคนว่า “ไปบอกกับพ่อบ้านจวนเจี่ยนว่าสตรีที่ช่วยคุณหนูใหญ่เอาไว้ในวันนั้นเดินทางมาที่นี่แล้ว”
ส่วนผู้ที่เดินไปทางขวามองไปมองมาก่อนจะแสร้งทำเป็นเข้าไปชนคนงานคนหนึ่ง จากนั้นกระซิบกับคนงานผู้นั้นว่า “ไปบอกพ่อบ้านเกาว่า สตรีที่คุณชายซินต้องการตามหาเดินทางมาที่นี่ในวันนี้”
มั่วเชียนเสวี่ยแนะนำผู้จัดการถังให้แก่หวังเทียนซง หลังจากที่ทั้งสองได้ทักทายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้จัดการถังก็ได้สนทนากับหวังเทียนซงเรื่องต่างๆ นานา ส่วนหวังเทียนซงก็ได้แต่พยักหน้ารับ เขาเอ่ยชมมั่วเชียนเสวี่ยว่าเลือกคนได้ถูกต้องแล้ว ก่อนจะเดินทางจากไปอย่างอุ่นใจ
เมื่อผู้จัดการถังเดินทางจากไปแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้หยิบแผนภาพขึ้นมาใบหนึ่ง กางออกแล้วอธิบายให้แก่หวังเทียนซงฟังถึงรายละเอียดที่นางต้องการและเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องควรระวัง
เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้ให้ความเคารพและทำตามคำสั่งของหวังเทียนซงเป็นอย่างดี แม้ว่าฟางต้าถังจะเป็นคนดีมีคุณธรรม แต่ก็ไม่ค่อยเฉลียวฉลาดเท่าไร
คราก่อนที่นางสร้างบ้านและต้องการซื้อไม้ ผู้ที่พานางไปตลาดค้าไม้นั้นไม่มีความรู้อะไรเลย แต่ในทางกลับกัน หวังเทียนซงมีความรู้เรื่องของวัสดุต่างๆ เป็นอย่างดี อีกทั้งรู้จักต่อรองราคา เรื่องใดที่หนิงเซ่าชิงกำชับเขาให้ทำก็จะทำตามอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จึงทำให้เข้าตามั่วเชียนเสวี่ย
ต้องยอมรับว่าหนิงเซ่าชิงเป็นผู้มีความสามารถจริง เขาสามารถวาดภาพออกมาได้ตามที่นางคิดไว้ได้ถูกต้องทุกประการและชัดเจนแจ่มแจ้ง ทำให้นางเบาแรงลงไม่น้อย
เพียงแต่ว่า จิตรกรที่มีความสามารถเช่นนั้น ทำได้เพียงวาดแบบร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้ ให้ความรู้สึกว่าสิ้นเปลืองความสามารถของเขาเสียจริง
หลังจากอธิบายเรียบร้อยแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ควักเงินจำนวนห้าสิบตำลึงออกมามอบให้หวังเทียนซง “เงินจำนวนนี้เจ้าเก็บเอาไว้ก่อน นำไปจับจ่ายใช้สอยค่าซื้อหาไม้ ตะปู น้ำมันตุง ผ้าสักหลาดและอื่นๆ ที่ต้องใช้ หากไม่พอให้มาเอาที่ข้าใหม่”
บ้านในหมู่บ้านหวังจยานั้นสามารถใช้ปูนเทเป็นคานได้ แต่ร้านอาหารที่ท่าเรือสำหรับทำการค้านี้ เพื่อความสวยงามจึงต้องใช้ไม้เท่านั้น อีกทั้งไม้ที่ใช้ต้องแข็งแรงพอ
หวังเทียนซงดูประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่ได้รับเงินไปแต่ก้มหน้าลงด้วยความกังวล กล่าวซ้ำไปมาว่า “ไม่ได้หรอก…ทำเช่นนี้จะเหมาะสมได้อย่างไร”
เงินจำนวนห้าสิบตำลึงสำหรับเขาไม่ใช่น้อยๆ ชีวิตนี้เขายังไม่เคยเห็นเงินมากมายเช่นนี้มาก่อนเลย
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าดวงตาของเขามีความวิตกกังวลแต่หามีความโลภแต่อย่างใด เมื่อวางใจแล้ววางเงินให้ในมือทันที
เขาผู้นี้เป็นคนมีความสามารถ คาดว่าในอนาคตเขาจะช่วยนางได้อีกมาก การที่นำเงินไว้ให้เขา ประการแรกเพราะต้องการดูลักษณะนิสัยของเขา ประการที่สองเพื่อต้องการรู้ว่าเขามีความสามารถในการจัดการอย่างไรบ้าง
หากเขามีความรับผิดชอบดีจริง นางจะให้เขาเป็นผู้ดูแลหลัก รับผิดชอบเรื่องราวต่างๆ มากมายเหล่านี้ ซึ่งช่วยนางแก้ไขปัญหาประหยัดเวลาได้มาก
“ทำเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า”
“เหตุใดจึงทำไม่ได้เล่า หรือเจ้าจะให้ข้าซึ่งเป็นสตรีวิ่งซื้อวัสดุก่อสร้างด้วยตนเองท่ามกลางแดดฝนหรือให้เซียนเซิงหยุดการเรียนการสอนของเด็กๆ ในหมู่บ้าน แล้วไปรับผิดชอบจัดซื้ออุปกรณ์ด้วยตนเองโดยไม่สนใจเด็กๆ”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น แต่นี่…เงินจำนวนนี้มันมากเกินไป”
“เทียนซง ข้าได้ยินจากเซียนเซิงว่าเจ้ามีความคิดที่ยืดหยุ่นและทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างมั่นคง ดังนั้นจึงได้มอบหมายงานอันสำคัญนี้ให้แก่เจ้า คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะปฏิเสธเช่นนี้”
“เดิมทีข้าคิดว่าเสี่ยวเหลยเป็นคนว่องไวทีเดียว เจ้าในฐานะพี่ชายทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เขา ในอนาคตข้าตั้งใจว่าจะให้เสี่ยวเหลยมาคอยช่วยข้าสักหน่อย หากว่าเจ้า…เฮ้อ ช่างมันเถอะ…”
หวังเทียนซงรู้สึกตื่นเต้นกับคำพูดของมั่วเชียนเสวี่ยมาก เดิมทีเขาก็เป็นคนกระตือรือร้น ชอบลองสิ่งใหม่อยู่แล้ว บัดนี้เมื่อมีกำลังใจขึ้นมาเขาจึงบีบเงินในมือแล้วเก็บลงไปอย่างระมัดระวัง เมื่อได้ยินหนิงเหนียงจื่อกล่าวว่าวางแผนจะให้น้องชายของเขามาคอยช่วยงานในอนาคตด้วย ทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้นมาทันที
“หนิงเหนียงจื่อไม่ต้องกังวลไป ข้าจะช่วยหนิงเหนียงจื่อจัดการดูแลก่อสร้างร้านอาหารนี้เป็นอย่างดีและมั่นคง ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ข้าจะรายงานความคืบหน้าให้เจ้ารับทราบทุกวัน ส่วนเรื่องเสี่ยวเหลย…”
หนิงเหนียงจื่อพยักหน้าเบาๆ ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะใช้ได้ทีเดียว แต่นางก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมา นางลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะสนทนาต่อไปว่า “เรื่องของเสี่ยวเหลยนั้นเจ้ากลับไปเจรจากันที่บ้าน หากเขาตอบตกลง เมื่อเปิดร้านแล้วข้าจะให้เสี่ยวเหลยมาช่วยงาน แต่หากไม่…”
“ไม่ต้องเจรจาหรอก ข้าเป็นพี่ชายของเขา การตัดสินใจของเขานั้นข้าสามารถทำแทนได้ พรุ่งนี้ข้าจะให้เสี่ยวเหลยมาเริ่มช่วยงานเลย” เมื่อหวังเทียนซงเห็นโอกาสดีเช่นนี้ เขาจะมัวลังเลได้อย่างไร
“ไม่ต้องรีบร้อนเช่นนั้นหรอก รอให้เปิดร้านก่อนค่อยมาก็ย่อมได้”
“ได้อย่างไรเล่า เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ หากเขาติดตามข้ามาทุกวัน อะไรอยู่ที่ใดในอนาคตเขาจะได้รู้จักหยิบมาใช้สอย ในอนาคตเมื่อมีเขาอยู่ด้วย เจ้าจะได้ไม่ต้องรื้อหาสิ่งของ” หวังเทียนซงรีบกล่าวด้วยเกรงว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะเปลี่ยนใจ
“อืม ลองดูเช่นนั้นก็ได้! เจ้าจัดการดูก็แล้วกัน”
เมื่อหวังเทียนซงพบว่ามั่วเชียนเสวี่ยตกลงเห็นด้วย จึงรู้สึกเบิกบานใจกล่าวว่า “หนิงเหนียงจื่อมีสิ่งใดต้องกำชับอีกหรือไม่ วางใจเถิด เมื่อร้านอาหารนี้เปิดแล้วรับรองว่าการค้าจะเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน ต่อให้นั่งนับเงินทุกวันก็นับไม่หวาดไม่ไหว”
ประโยคเมื่อครู่นี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยนึกไปถึงคำที่คนสมัยใหม่มักกล่าวว่านับเงินจนมือเป็นตะคริว นางจึงยิ้มว่า “เงินที่ทุ่มทุนไปยังไม่รู้เลยว่าจะได้คืนเมื่อไร จะมีเงินมากมายจนนับได้ไม่ถ้วนอย่างไรเล่า”
“หนิงเหนียงจื่อเป็นคนฉลาด สามารถทำเงินจากสูตรอาหารที่ทำไปขายในร้านอาหารได้ ไม่ว่าอาหารใดที่นำไปขายก็รับรองว่าจะได้เงินมหาศาล เพียงไม่กี่เดือนคาดว่าคงได้เงินทุนคืนแล้ว”
“ขอให้สมพรปากนะพี่เทียนซง ข้านำเงินทั้งสิ้นที่มีมาลงทุนสิ้นแล้ว บัดนี้เสมือนเริ่มต้นใหม่ เอาล่ะ นี่ก็ปาเข้าไปเที่ยงวันแล้ว วันนี้ข้าคงทำอาหารให้ไม่ทัน”
มั่วเชียนเสวี่ยชี้ไปยังชายชราที่กำลังแบกอาหารแห้งขายให้แก่คนยกของกล่าวว่า “พี่ไปที่นั่น ซื้อซาลาเปามาให้พวกเขากิน ถือว่าข้าเลี้ยงตอบแทนเป็นอาหารกลางวัน แล้วพรุ่งนี้ข้าจะนำอาหารกลางวันมาให้ด้วยตนเอง บอกพวกเขาว่าให้ทนกินรองท้องไปก่อน ข้าไปก่อนละ”
“หนิงเหนียงจื่อเกรงใจพวกเรามากไปแล้ว พวกเรารับไว้ไม่ได้หรอก” แม้จะเป็นเพียงคำกล่าวอย่างสุภาพ แต่น้ำเสียงก็ดูเห็นด้วย
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มขึ้น นางก้าวไปข้างหน้าเพียงก้าวหนึ่งก็หันหลังกลับมากล่าวอีกครั้งว่า “อ้อ พี่บอกให้ทุกคนวางใจได้ เรื่องค่าตอบแทนนั้นยังคงรับเป็นรายวันดังเดิม”
หวังเทียนซงหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน รอให้ร้านอาหารสร้างเสร็จก็ยังไม่สาย”
แต่เขาไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มตรงหางตาของตนนั้นเผยความรู้สึกออกมาชัดเจนเพียงไร มั่วเชียนเสวี่ยก็มองออกว่าหมายความว่าอย่างไร นางจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาให้มากความ ทำเพียงยิ้มแล้วให้เขาทำตามที่สั่ง
เนื่องจากเมื่อฤดูหนาวมาถึง โอกาสในการทำงานก็จะน้อยลงเป็นธรรมดา แต่เมื่อมีงานนี้สองคนพี่น้องคาดว่าคงมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกสักตำลึง ที่มารดากล่าวว่าจะต่อเติมเรือนเพื่อให้น้องชายแต่งภรรยาเข้ามา จากนั้นมีลูกสักคน ยามนั้นจะได้ใช้จ่ายคล่องมือ
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเดินจากไป หวังเทียนซงจึงได้แจกจ่ายงานในมือแก่ชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ อาทิเช่น ซื้อวัสดุไม้ แกะแม่พิมพ์ไม้เป็นต้น