เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 65 หนิงเซียนเซิงสยบคุณชายเจ็ด (3)

ตอนที่ 65 หนิงเซียนเซิงสยบคุณชายเจ็ด (3)

ที่ท่าเรือยังคงครึกครื้นดังเดิม ผู้คนเดินทางมากันไม่ขาดสาย

เมื่อตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยเดินทางมาถึง หวังเทียนซง ฟางต้าถังและคนอื่นๆ กำลังยุ่งอยู่กับงาน เมื่อเห็นว่าอาหารกลางวันมาส่งแล้ว พวกเขาก็พากันเข้ามาล้อมเอาไว้ด้วยความดีอกดีใจ เมื่อเปิดฝาหม้อออก กลิ่นหอมยั่วยวนก็ลอยไปทั่วทั้งสี่ทิศ ผู้คนที่อยู่รอบข้างล้วนมุงดูด้วยความประหลาดใจและรอคอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้แบกหามใช้แรงงานหนัก ดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย น้ำลายสอกันหมด

หลังกำชับให้จวี๋เหนียงแบ่งอาหารให้แก่คนงานเรียบร้อยแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้หยิบถ้วยขึ้นมาแบ่งน้ำแกงปอดหมูและหยิบหมั่นโถวธัญพืชเดินตรงไปยังสำนักจัดการดูแล

ไม่ว่าผู้จัดการถังจะกินข้าวหรือยัง แต่สิ่งนี้ก็นับว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อย

เนื่องจากอากาศหนาว นางเกรงว่าระหว่างทางจะทำให้น้ำแกงเย็นชืดเสียก่อน ดังนั้นจึงได้กำชับให้จวี๋เหนียงใช้ผ้าหนาห่อคลุมเอาไว้บนฝาถังไม้ จึงทำให้น้ำแกงยังคงร้อนระอุ

ด้านของผู้จัดการถังก็ไม่ได้ถือตัวแต่อย่างใด เขารับอาหารที่มั่วเชียนเสวี่ยนำมาให้ไปอย่างเป็นธรรมชาติแล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะเรียกเจ้าหน้าที่สองคนในนั้นแล้วลงมือกิน

ลูกน้องสองคนนั้นกินอย่างตะกละตะกลาม ดูเหมือนว่าสถานะทางการเงินจะไม่ดีเท่าไรนัก เงินเดือนของเจ้าหน้าที่รัฐในแต่ละเดือนเพียงน้อยนิด อีกทั้งยังต้องเลี้ยงดูคนทั้งครอบครัว

ทั้งสามคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ด้านผู้จัดการถังเองก็กินไปชมไปไม่หยุดปาก

ที่แห่งนี้ไม่มีร้านอาหาร บรรดาคนงานที่นี่ล้วนต้องกินอาหารตากแห้ง เดิมทีคิดว่าเมื่อแม่บ้านเดินทางจากไปแล้ว แม้แต่ผู้จัดการถังเองก็ยังคงต้องกินอาหารตากแห้งด้วย มิน่าเล่า เขาจึงได้ทำท่าทางกินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นนี้

เมื่อผู้จัดการถังกินอิ่ม เขาก็เช็ดปากของตนเองแล้วกล่าวขอบคุณอีกครั้ง “หนิงเหนียงจื่อ น้ำแกงนี้คือน้ำแกงอะไร จะนำมาทำขายในภัตตาคารหรือไม่”

“นี่คือน้ำแกงที่ทำมาจากปอดหมูและเต้าหู้ เป็นอาหารที่ตั้งใจจะนำมาขายในภัตตาคารเช่นกัน ผู้จัดการถังและเจ้าหน้าที่ทั้งสองท่านคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

เจ้าหน้าที่รัฐนายหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “หา? ปอดหมูเหม็นคาวยิ่งมิใช่หรือ อีกทั้งยังมีกลิ่นแปลกๆ เหตุใดหนิงเหนียงจื่อจึงปรุงออกมาได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ช่างมีฝีมือในการทำอาหารจริงๆ ช่วยบอกวิธีทำแก่พวกเราด้วยเถอะ พวกเราจะได้นำไปบอกให้ภรรยาของเราทำให้กินบ้าง”

เจ้าหน้าที่ผู้มีนามว่าเสี่ยวจางกล่าวขึ้นว่า “เต้าหู้นั้นรสชาติเป็นเช่นนี้นี่เอง ทั้งอ่อนนิ่มและอร่อยเหลือเกิน ข้าได้ยินมาว่าเต้าหู้มีขายเพียงที่ไป๋อวิ๋นจวีในตัวเมืองเทียนเซียงเท่านั้น หนิงเหนียงจื่อก็ทำเป็นงั้นหรือ”

ผู้จัดการถังได้ยินดังนั้นแม้ว่าสีหน้าจะไม่เปลี่ยนไป แต่ในใจเขาตกตะลึงยิ่ง ที่จริงเขาเกือบลืมไปแล้วว่าเต้าหู้มีขายเพียงในภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีในตัวเมืองเทียนเซียงเท่านั้น มองดูแล้วแม่นางผู้นี้ไม่ธรรมดา ต่อจากนี้จะต้องหาโอกาสตีสนิทด้วยสักหน่อย

แต่ทว่า วิธีการทำอาหารจานเด็ดของภัตตาคาร จะนำมาบอกกับผู้อื่นง่ายๆ ได้อย่างไร! เพราะมันถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการค้า! ทั้งเสี่ยวหลี่และเสี่ยวจางช่างไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย!

เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็จ้องทั้งสองตาเขม็งแล้วหัวเราะออกมาเป็นกันเองเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ว่า “พวกเจ้าทั้งสองนี่ มีของอร่อยให้กินก็ดีมากเพียงไรแล้ว ยังจะขอวิธีทำจากนางอีก ช่างโลภมากเสียจริง”

เมื่อตำหนิทั้งสองคนแล้ว เขาจึงหันไปทางมั่วเชียนเสวี่ยแล้วเอ่ยถามว่า “ทั้งน้ำแกงเต้าหู้ปอดหมูและหมั่นโถวธัญพืชนี้ล้วนมีรสเลิศยิ่งนัก ไม่ทราบว่าหนิงเหนียงจื่อตั้งใจจะขายในราคาเท่าไหร่หรือ”

มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ถือสาคำพูดของทั้งสองเมื่อครู่ แต่นางก็ซาบซึ้งในการปกป้องจากผู้จัดการถังเมื่อครู่ จึงยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ผู้จัดการถัง ไม่เป็นไรหรอก แท้จริงแล้วทั้งสองท่านก็เพียงต้องการเอ่ยชมฝีมือข้าเท่านั้น หมั่นโถวนี้ลูกละสองอีแปะ น้ำแกงถ้วยละห้าอีแปะ”

ผู้จัดการถังจึงกล่าวขึ้นว่า “หมั่นโถวประมาณสามสี่ลูกสามารถกินอิ่มได้ ราคาไม่แพง เพียงแต่น้ำแกงนี้หากกินเพียงถ้วยเดียวคงไม่อิ่ม ราคาถ้วยละห้าอีแปะ คนงานทั่วไปคงไม่มีกำลังพอซื้อ”

มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวออกมาอย่างลำบากใจว่า “เช่นนั้นคงช่วยไม่ได้ เนื่องจากต้นทุนแพง หากขายถูกจนเกินไปก็จะขาดทุนได้”

แต่แท้จริงแล้วจะไปขาดทุนได้อย่างไร! เต้าหู้นางเป็นคนทำเอง ปอดหมูก็ถูกเสียยิ่งกว่าอะไร แม้จะเติมเครื่องเทศอื่น เช่น ลูกกระวาน กานพลู พริกไทย โป๊ยกั๊ก ยี่หร่า ใบกระวานและไป๋จื่อลงไปดับกลิ่นบ้าง แต่ราคาต้นทุนแต่ละถ้วยคงไม่เกินหนึ่งอีแปะ

เดิมทีแล้ว หากนางต้องการขายให้ได้ปริมาณมาก นางสามารถขายออกไปในราคาสองอีแปะก็ไม่ขาดทุน

แต่ทว่า หากนางทำการค้านี้เพื่อคนงานโดยเฉพาะ ราคาและคุณภาพของอาหารก็จะต้องลดลงตามไป บรรดาผู้มาท่องเที่ยวคงจะไม่ชายตามอง

อีกอย่าง นางตั้งใจจะเปิดร้านขายของข้างๆ ขนาดเล็ก สำหรับขายอาหารห่อกลับเท่านั้น ไม่มีพื้นที่ให้นั่งกิน

หากต้องการเข้าไปนั่งกินด้านใน อย่างน้อยก็ควรจะมีเงินพอซื้อน้ำแกง และสั่งอาหารอื่นสักสองสามจาน ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินไม่น้อย แน่นอนว่าคนงานทั่วไปคงไม่สามารถซื้อได้ ไม่เช่นนั้น หากนางขายน้ำแกงถ้วยละสองอีแปะ แต่ละวันคงจะมีคนเข้าร้านจำนวนมหาศาล ไม่เพียงแต่ได้เงินน้อย อีกทั้งยังเหน็ดเหนื่อยกว่า แต่ละวันยังต้องอดทนกับบรรดาคนงานที่เข้าไปโหวกเหวกโวยวายเสียงดัง

นางทนไม่ได้กับเสียงโวยวายเช่นนั้น

“อืม ทำการค้าต้องระมัดระวัง…” ผู้จัดการถังเอ่ยเตือนเบาๆ

หากว่าราคาแพง เขาคงจะไม่ไปบ่อยๆ แต่จากเงินเดือนของเขานับว่ายังเพียงพอ บัดนี้อากาศหนาวขึ้นแล้ว หากมีร้านอาหารที่สามารถนั่งกินอาหารรสเลิศร้อนๆ ได้ ต่อให้นานๆ เดินทางไปทีหนึ่ง เขาก็ดีใจมากแล้ว

เจ้าหน้าที่อีกสองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างได้แต่เอ่ยชมเรื่องรสชาติ พวกเขากล่าวว่าเมื่อกินเข้าไปแล้วทำให้ร่างกายอบอุ่นดีเหลือเกิน มั่วเชียนเสวี่ยจึงได้อธิบายว่าภายในน้ำแกงนี้นางใส่ยาจีนลงไปบางส่วน ซึ่งมีคุณสมบัติให้ความอบอุ่น

พวกเขานึกย้อนไปจึงรู้สึกว่าในน้ำแกงมีรสชาติยาจีนอยู่จริง ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยว่าดียิ่ง พวกเขากล่าวว่าเมื่อนางเปิดกิจการเรียบร้อยแล้วจะเดินทางไปอุดหนุนอย่างแน่นอน

หลังจากสนทนากันอีกสองสามประโยค มั่วเชียนเสวี่ยจึงลุกขึ้นยืนและขอตัวลา ที่ด้านนอกมีคนสามคนเดินตรงเข้ามาพอดี คนแรกที่เดินนำมานั้นยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผู้จัดการถัง เมื่อผู้จัดการถังเห็นดังนั้นก็ยิ้มว่า “อ้อ ผู้จัดการจินนี่เอง เชิญด้านในเถิด”

มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเข้าหากัน ทั้งสามคนนี้ดูท่าทางคาดว่าคงเป็นผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ซึ่งส่งมาจากเมืองชังโยว

หนึ่งในผู้ที่เดินตามผู้จัดการจินเข้ามา พบว่ามั่วเชียนเสวี่ยกำลังเก็บจานชามตะเกียบ เขาจึงเอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจว่า “เจ้ายังไม่รีบไปรินน้ำมาให้พวกข้าอีก!”

เขาเห็นนางเป็นบ่าวรับใช้งั้นหรือ ให้ตายสิ! เป็นผู้จัดการแล้วอย่างไร นางไม่ได้ทำผิดอะไรมาสักหน่อย เหตุใดจะต้องไปเอาอกเอาใจเล่า!

อีกอย่าง ผู้จัดการทั้งสองเมืองนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันนัก นางเพียงตีสนิทต่อใครคนใดคนหนึ่งก็เพียงพอ เพียงแค่เห็นนิสัยลูกน้องทั้งสองของเขาที่นิสัยกระด้างเช่นนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเขาคงไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้จัดการถังแม้แต่น้อย

มั่วเชียนเสวี่ยเก็บจานชามตะเกียบเรียบร้อยแล้วก็ชักสีหน้าโดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมา แล้วเดินจากไปทันที ผู้ที่อยู่ข้างหลังชี้ไปตามร่างของนางแล้วกล่าวว่า “อะไรกัน! นี่เป็นวิธีต้อนรับแขกของผู้จัดการถังหรือ พวกท่านต้องการ…”

ประโยคต่อไปมั่วเชียนเสวี่ยฟังไม่ชัดเจน และนางไม่จำเป็นต้องรับรู้มัน เรื่องที่ผู้จัดการทั้งสองแย่งเขตพื้นที่ปกครองกันนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับนาง

เมื่อนางกลับมาแล้ว พบว่าพวกเขากินอิ่มจนเริ่มลงมือทำงานอีกครั้งแล้ว

หวังเทียนซงเป็นผู้รับผิดชอบ เมื่อเห็นนางเดินทางมาจึงได้รายงานเรื่องของรายละเอียดการใช้จ่ายแก่นางฟัง ก่อนจะกล่าวถึงแผนงานและการจัดการต่างๆ เพื่อต้องการให้นางช่วยชี้แนะ สิ่งนี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยพอใจเป็นที่สุด

นางแนะนำความคิดเห็นส่วนตัวไปบางส่วน อีกทั้งร่วมกันแก้ไขปัญหาเล็กน้อยกับเขา ก่อนจะพาจวี๋เหนียงเดินทางจากไป ทั้งสองเข็นรถเข็นกลับไปยังหมู่บ้านหวังจยา

พนักงานที่รออยู่หน้าประตูภัตตาคารอิ๋งเค่อเซวียนในเมืองเทียนเซียง เมื่อเห็นรถเข็นเต้าหู้ของภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีมาถึงแล้ว ก็ได้วิ่งปราดเข้าไปรายงานเถ้า

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

Status: Ongoing

เพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น

แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที!

ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น

ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่

ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?!

เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี

เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท