ริมแม่น้ำอีกฝั่ง ด้านหลังหญิงสาวที่วิ่งไปมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ มีผู้ชายคนหนึ่งเดินตามติดมาราวกับเงา…
สีของท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงพร้อมกับหิมะที่โปรยปรายลงมา ละอองหิมะสีขาวบริสุทธิ์ปลิวว่อนไปทั่วอย่างไร้ทิศทาง เกล็ดหิมะเย็นๆ ที่ตกกระทบลงบนร่าง คล้ายกับหนามเล็กๆ ที่ทิ่มแทงเข้ามาก็มิปานปลุกให้ตื่นจากห้วงความฝัน
ซูชีพลันได้สติ เขาเหยียดมือออกไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย หิมะที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศยามสัมผัสถูกมือทั้งละมุนและนุ่มนิ่มถึงเพียงนั้น เหมือนกับก้อนสำลีเล็กๆ หากแต่เพียงชั่วพริบตามันกลับกลายเป็นน้ำแข็ง ปลุกให้คนตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอย่างโหดร้าย
ละอองหิมะบางเบาที่ตกลงมาจากท้องฟ้า โบยบินไปตามสายลมเอื่อยคล้ายกับกำลังร่ายรำ ช่างเป็นภาพที่งดงามอย่างถึงที่สุด มั่วเชียนเสวี่ยยกมือทั้งสองข้างของนางขึ้นไปประคองมันไว้ กระนั้นสิ่งที่หลงเหลืออยู่กลับเป็นเพียงแอ่งน้ำเล็กๆ กลางฝ่ามือ
นางทิ้งมือที่อุ้มหิมะทั้งสองข้างลง หมุนตัวกลับไปพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อได้เห็นท่าทางที่น่ารักน่าเอ็นดูนั่นของหญิงสาว หนิงเซ่าชิงก็พลอยยิ้มตามไปด้วย
รอยยิ้มนี้ของชายหนุ่ม ทำเอามั่วเชียนเสวี่ยปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแทบจะทำให้หิมะรอบกายนางยามนี้หลอมละลายจนหมดแล้ว ช่างเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นเหมือนดั่งฤดูใบไม้ผลิ เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์และน่าหลงใหล เป็นรอยยิ้มที่งามล่มบ้านล่มเมืองอย่างแท้จริง…
หิมะขาว บุรุษรูปงาม ธารน้ำใส และภูเขาเขียว อยากจะบันทึกช่วงเวลานี้ไว้จริงๆ
มั่วเชียนเสวี่ยยื่นมือออกไปทำนิ้วเป็นรูปกล้องถ่ายรูปโดยไม่รู้ตัว นางมองผ่านกรอบนิ้วมือไปยังชายหนุ่ม ยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า “ไหน ยิ้มหน่อย…”
หนิงเซ่าชิงกลับไม่ให้ความร่วมมือสักนิด แม้บนใบหน้าของเขาจะยังคงมีรอยยิ้มจางๆ หลงเหลืออยู่ เขาเดินขึ้นไปหานางพร้อมกับคว้ามือเล็กๆ ทั้งสองข้างของนางมากุมไว้ ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นอย่างปวดใจว่า “อากาศเริ่มหนาวแล้ว เจ้าไม่กลัวมือแข็งเป็นน้ำแข็งหรือ!”
มั่วเชียนเสวี่ยเหม่อมองเขาอย่างโง่งม และทันใดนั้นเองนางก็เขย่งปลายเท้าขึ้นไปลักหอมแก้มเขาเบาๆ หนึ่งที ก่อนจะวิ่งหนีหายเข้าป่าซึ่งเป็นทางกลับหมู่บ้านหวังจยาไปอย่างรวดเร็ว
หนิงเซ่าชิงซึ่งถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่ได้ไล่ตามหลังนางไปทันที แต่ยืนอยู่ที่เดิมตรงนั้น หางตาลอบปรายตามองไปทางริมแม่น้ำอีกฝั่งคล้ายแฝงด้วยเจตนาบางอย่าง
หมุนตัวกลับมามองแล้วเห็นว่าหนิงเซ่าชิงยังคงยืนอยู่กับที่ มั่วชียนเสวี่ยก็กระทืบเท้าเบาๆ ตะโกนเร่งเขาไปว่า “คนโง่ ไปได้แล้ว! กลับบ้านกัน!”
ผู้อื่นเขามีความรักก่อนค่อยแต่งงาน ส่วนนางกลับแต่งงานแล้วค่อยรัก! ในเวลาแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาควรวิ่งไล่ตามหลังนางมาและจับตัวนางไว้หรอกหรือ จากนั้นก็จุมพิตกันอย่างดูดดื่มเร่าร้อน…นี่นางกำลังมีความรักอยู่จริงใช่ไหมเนี่ย! เหตุใดในบางครั้งมั่วเชียนเสวี่ยถึงได้รู้สึกว่าตนเองกำลังแสดงบทบาทอยู่เพียงคนเดียวกัน
ขณะที่กำลังทดท้อใจ ก็มีประโยคหนึ่งดังลอยมาจากข้างหลังนางว่า “เจ้าว่าผู้ใดบื้อกัน” เสียงอันนุ่มลึกราวกับเสียงของเสียงเครื่องสายคล้ายพูดตำหนิ แต่หากลองฟังดูดีๆ จะพบว่ามันเต็มไปด้วยความเอ็นดูและรักใคร่ ทำเอาหัวใจของนางคล้ายกับมีน้ำมาหล่อเลี้ยงจนชุ่มชื้นไปทั้งดวง
“ก็ว่าเจ้านั่นแหละ…คนโง่ แน่จริงก็ไล่ตามข้ามาให้ทันสิ!”
“ระวังหน่อย อย่าได้วิ่งเร็วนัก…”
หนึ่งสตรีวิ่งนำหน้าเข้าไปในป่าด้วยท่วงท่าพลิ้วไหวและชดช้อยราวกับเทพธิดาแห่งหุบเขา
หนึ่งบุรุษไล่ตามหลังไปด้วยฝีเท้าที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสักเท่าไร กระนั้นท่วงท่าที่ก้าวเดินกลับดูสง่างาม ปลอดโปร่งคล้ายกับกำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้านของตัวเอง
อาทิตย์อัสดงหลุบลงหลังเส้นขอบฟ้า ผืนนภาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มทีละเล็กละน้อย
คนที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำตัวแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายตกลงมา ดูเหมือนว่าท้องฟ้าก็ไม่ได้มืดมิดถึงเพียงนั้น
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เขากลับรู้สึกว่าแสงที่อยู่ข้างหน้าเขากำลังเลือนหายไปทีละนิด ท้องฟ้าที่มืดลงทุกขณะพาหัวใจของเขาจมดิ่งลงไปในความโศกเศร้า เข้ากลืนกินจิตใจและตัวตน พร้อมจะบดขยี้เขาให้เหลือเพียงเถ้าถ่าน เพียงเพราะ…คู่รักคู่นั้น
ถ้าหากสามารถใช้อีกอารมณ์หนึ่งมองภาพตรงหน้า…
ถ้าหากสามารถเปลี่ยนจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้…
บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าฉากของคู่รักที่อยู่เบื้องหน้าเขามันช่างเป็นภาพที่สวยงามและกลมกลืนกันมากเหลือเกิน ฝ่ายบุรุษองอาจหล่อเหลา ฝ่ายสตรีน่ารักและบอบบาง ช่างเป็นดั่งคู่สร้างคู่สม
อย่างไรก็ตาม…
ในวันถัดมา ร้านอาหารก็ได้มีพนักงานเข้ามาเพิ่มอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือหวังเทียนซงนั่นเอง
เมื่อคืนที่ผ่านมา เหล่าเด็กฝึกงานจำนวนหลายคนได้ถูกรับเลือกในที่สุด
มีทั้งหมดสี่คน แต่จะว่าไปก็เป็นเรื่องบังเอิญนักที่ในบรรดาทั้งสี่คนนี้ ต่างมาจากตระกูลอู่ ตระกูลฟาง ตระกูลเกา และตระกูลหลี่อย่างละคน ไม่มีมากน้อยไปกว่ากัน ราวกับว่าเจตนาให้เกิดความสมดุลอย่างไรอย่างนั้น
มั่วเชียนเสวี่ยเคยเห็นเด็กชายหลายคนที่ว่านี้มาก่อน ล้วนมีอายุอยู่ระหว่างสิบถึงสิบสองปี อุปนิสัยใจคอของผู้เป็นบิดามารดาก็ใช้ได้ เหล่าเด็กๆ เองก็ว่านอนสอนง่ายและเชื่อฟังนัก
ด้วยยามนี้ นางไม่มีเวลามากพอสำหรับจัดการงานรากไม้แกะสลัก หรือสอนวิธีการจับมีด วิธีการออกแรง และวิธีขึ้นรูปให้แก่พวกเขาทีละขั้นๆ จึงยกหน้าที่นี้ก็เป็นของหวังเทียนซงที่เข้ามาใหม่แทน โดยบอกกับเขาว่า หากนางว่างก็จะผลัดเปลี่ยนมาสอนบ้าง แต่นอกเหนือจากนั้นก็จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาโดยสมบูรณ์ในการช่วยสอนทักษะที่จำเป็นให้แก่พวกเด็กๆ
หวังเทียนซงไม่ใช่คนเกียจคร้าน ในช่วงเที่ยงที่ร้านวุ่นวาย เขาก็มักจะมาช่วยต้อนรับแขกและตะโกนชักชวนแขกบนเรือโดยสารที่ผ่านไปมาตามชายฝั่งขอบท่าเรือให้เข้ามาใช้บริการ
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย แต่การตะโกนโหวกเหวกเช่นนี้ของเขา กลับสามารถเรียกแขกหลายกลุ่มที่มาจากเรือโดยสารให้เข้ามาใช้บริการในร้านอาหารได้จริงๆ ทั้งแขกแต่ละกลุ่มที่เข้ามานั้น ยังใช้จ่ายในร้านของนางเป็นจำนวนเงินไม่น้อยอีกด้วย ทำเอาหัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยคันยุบยิบไปหมด
นางคิดพิจารณาถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง เห็นทีคงต้องหาเวลาไปปรึกษากับผู้จัดการถังแล้วว่าหากนางจะเขียนป้ายเชิญชวนไปแขวนติดไว้ที่แถวท่าเรือจะสามารถกระทำได้หรือไม่ บนป้ายให้ใส่ชื่อร้านและลงรายละเอียดยิบย่อยเพิ่มเติมลงไปเป็นรายชื่ออาหารจานเด่นของร้านสักสามสี่รายการ
เนื่องจากร้านอาหารของนางแห่งนี้อยู่หลังคลังเก็บสินค้า หากผู้ที่โดยสารมาบนเรือไม่ใส่ใจสังเกตสักหน่อย โดยทั่วไปแล้วพวกเขามักจะมองไม่เห็น
หากอาศัยเพียงการพูดปากต่อปาก ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าที่ร้านซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นที่นิยมรู้จักไปทั่ว
ในตอนบ่าย มั่วเชียนเสวี่ยตัดสินใจเข้าไปคุยกับผู้จัดการถังเกี่ยวกับความคิดของนาง ผู้จัดการถังเพียงบอกกับนางว่าเขาจะขอไปหารือกับผู้จัดการจินก่อน และในวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็ตอบตกลง
ในวันเดียวกันนั้นเอง ป้ายเชิญชวนของร้านอาหารก็ได้ถูกแขวนขึ้นไป
เนื่องจากมีผู้จัดการถังคอยเดินเรื่องเป็นคนกลางให้ ป้ายเชิญชวนดังกล่าวของนาง ทางสำนักงานจัดการอาคารผู้โดยสารจึงเรียกเก็บค่าสัญลักษณ์ในแต่ละเดือนเป็นจำนวนเงินเพียงหนึ่งร้อยอีแปะเท่านั้น เรื่องดีๆ เช่นนี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มแก้มปริ หน้าบานไปทั้งวัน
ในยุคสมัยปัจจุบัน ค่าเชิญชวนนั้นเรียกได้ว่ามีราคาแพงสูงลิ่ว กล่าวคือ หากต้องการเชิญชวนในที่ที่มีคนเข้าออกจำนวนมาก เผลอๆ ราคาของมันอาจจะสูงกว่าหน้าตึกธรรมดาสักแห่งเสียอีก
หิมะสีขาวบนท้องฟ้าโปรยปรายตกต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานานหลายวันแล้ว แม้อากาศเริ่มเย็นขึ้นทุกวัน แต่กิจการร้านอาหารของนางกลับดีวันดีคืน มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย
รายการอาหารทั้งหมดที่จวี๋เหนียงเป็นผู้รังสรรค์ขึ้นมา ล้วนได้รับการสอนมาจากมั่วเชียนเสวี่ยทั้งสิ้น แม้ในตอนแรกๆ รสชาติที่ปรุงออกมาจะติดแปร่งๆ ไปบ้าง ไม่เป็นไปตามที่ต้องการนัก หากแต่นานวันเข้าเมื่อฝึกปรือฝีมือจนชำนาญและคุ้นมือดีแล้ว รสชาติอาหารก็เริ่มพัฒนาขึ้นอย่างยิ่งยวด จนในความคิดเห็นของมั่วเชียนเสวี่ยเวลานี้ จวี๋เหนียงสามารถเลียนแบบรสชาติอาหารดั้งเดิมได้เกือบเต็มครบสิบส่วนแล้ว
แขกหลายกลุ่มที่มาใช้บริการที่นี่ ก็ยังเอ่ยปากเป็นเสียงเดียวกันว่าอาหารที่ร้านนี้อร่อยมาก ทั้งรสชาติก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ารสมือของพ่อครัวจากภัตตาคารใหญ่ๆ เลย
ในวันนี้ ที่หน้าร้านอาหารเชียนมั่วแปลกไปจากทุกทีเนื่องจากมีรถม้าหรูหราคันหนึ่งมาจอดเทียบอยู่ที่หน้าประตู สาวใช้นางหนึ่งกระโดดลงมาจากรถม้าแล้วเดินมายื่นเทียบเชิญของเจี่ยนชิงโยวให้กับมั่วเชียนเสวี่ยอย่างสุภาพ พลางเชื้อเชิญมั่วเชียนเสวี่ยให้ไปเป็นแขกที่จวนตระกูลเจี่ยนอย่างเป็นทางการ
เนื่องจากนัดหมายในครั้งนี้ถูกกำหนดไว้อยู่ก่อนแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยผละออกไปเตรียมตัวสักครู่ ก็สั่งให้อวิ๋นอิ๋นไปนำกล่องใส่อาหารมา จากนั้นก็ขึ้นรถม้าไปพร้อมกับกล่องใส่อาหารในมือ
……
สวนของตระกูลเจี่ยนตกแต่งได้น่ามองมากทีเดียว มั่วเชียนเสวี่ยเดินทอดน่องไปตามทางเดินยาวอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนโดยมีเจี่ยนชิงโยวคอยพูดคุยเป็นเพื่อน
ระหว่างทางทั้งสองยังได้พบกับเหล่าน้องสาวที่เกิดจากอนุภรรยา ลูกพี่ลูกน้องและญาติผู้หญิงคนอื่นๆ อีกไม่น้อย พวกนางย่อกายเคารพเจี่ยนชิงโยวอย่างนอบน้อม และส่งยิ้มให้แก่มั่วเชียนเสวี่ย
แม้ว่าบนใบหน้าเหล่านั้นจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ในดวงตากลับฉายแววดูถูกเหยียดหยามชัดเจน เช่นเดียวกันกับเหล่าหญิงสาวแห่งคฤหาสน์จย่าในความฝันในหอแดง[1] ครั้นพบท่านยายหลิวที่กำลังเดินเข้าไปในอุทยานต้ากวน[2] อย่างไรอย่างนั้น
กายทำท่าคารวะเจี่ยนชิงโยว แต่ดวงตากลับลอบปรายไปที่มั่วเชียนเสวี่ย
ได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วว่าคุณหนูใหญ่ได้เชิญหญิงบ้านนอกคนหนึ่งมาเป็นแขกที่จวน แต่พอเห็นพวกนางที่แต่งกายสูงศักดิ์เป็นคุณหนูเช่นนี้แล้ว เหตุใดจึงไม่รีบคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับพวกนางอีก นี่นางกล้าถึงขนาดยืนรับการคารวะจากพวกนางเชียวหรือ!
ตราบใดที่นังหญิงบ้านนอกผู้นี้ถูกความสูงศักดิ์ของพวกนางทำให้ตกใจกลัว จนยอมคุกเข่าโขกศีรษะให้พวกนางจริงๆ ไม่เพียงแต่จะเป็นการตบหน้าคุณหนูใหญ่ ขณะเดียวกันมันก็จะถือเป็นการทำลายและเหยียดหยันเกียรติของนางไปในตัวด้วย เพียงเท่านี้ยามเมื่อคุณหนูใหญ่อยู่ต่อหน้าพวกนางในอนาคต นางก็จะไม่กล้าวางตัวสูงส่งไร้มลทิน สมบูรณ์แบบเหมือนอย่างที่เห็นในทุกวันนี้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้โอนอ่อนผ่อนตามหรือแสดงท่าทีขลาดกลัวต่อการข่มขู่นั้น ตรงกันข้ามหญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงแสดงออกว่านางรับการคารวะจากพวกนางแล้ว ทำเอาบรรดาคุณหนูที่ประทินโฉม ประโคมเครื่องแต่งกายราวกับฝูงนกคีรีบูนที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะมาทำให้คุณหนูใหญ่ขายหน้าให้ได้หน้าผากขึ้นสีดำเป็นแถบ หากนางติดใจเอาความ นั่นก็จะเท่ากับเป็นการลดตัวลงไปเกลือกกลั้วปลักโคลนนั้นด้วย ซึ่งจะทำให้นางสูญเสียสถานะและจุดยืนของตนไป วันนี้นางเป็นแขก ซ้ำยังเป็นแขกคนสำคัญของคุณหนูใหญ่บุตรีสายตรงแห่งจวนเจี่ยน มารยาทและการวางตัวของนางจึงต้องสูงส่งทัดเทียมกัน
สีหน้าของบรรดาญาติผู้หญิงเหล่านั้นที่ราวกับกลืนตะปูลงท้องน่ามองมากทีเดียว พวกนางกัดฟันกรอด แม้นอยากจะโต้เถียงกลับไปสักคำ หากแต่กลับสรรหาเหตุผลที่เหมาะสมออกมาพูดไม่ได้
[1] ความฝันในหอแดง เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนร่วมกับสามก๊ก ไซอิ๋ว และซ้องกั๋ง เป็นเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวในตระกูลมั่งคั่งในระบบสังคมศักดินา คือ จย่าเป่าอี้ว์ หลินไต้อี้ว์ และเชวียเป่าไช เป็นนิยายแนว ‘สัจจนิยม’ ที่มุ่งสะท้อนความฟอนแฟะของระบบสังคมศักดินา เปิดโปงชีวิตฟุ้งเฟ้อของชนชั้นสูง จึงเป็นหนังสือต้องห้ามในยุคนั้น
[2] ยายหลิวเดินเข้าอุทยานต้ากวน มีความหมายเดียวกันกับบ้านนอกเข้ากรุง อุปมาว่าคนที่ไม่เคยเห็นโลกมาพบกับความหรูหราศิวิไลในเมืองใหญ่