อวิ๋นเหนียงจื่อเป็นหญิงปากสว่าง เมื่อวานพบเจอเรื่องใหญ่เช่นนั้น แต่กลับไม่อาจพูดออกมาได้ อึดอัดยิ่งนัก นอนไม่หลับพลิกตัวไปมาบนเตียง
เช้าตรู่วันนี้ ตอนไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ พูดกระซิบกระซาบกับอาซ้อที่สนิทสนม
“ได้ ข้ารู้แล้ว ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าคนขี้หึงรู้เด็ดขาด เจ้าวางใจเถอะ”
หลังจากอวิ๋นเหนียงจื่อกลับไป ไม่นานอาซ้อคนสนิท ก็พูดกระซิบกระซาบบอกกับหญิงอีกคนหนึ่ง “ข้าเล่าให้เจ้าฟังแค่คนเดียว เจ้าห้ามบอกผู้ใด…”
เป็นเช่นนี้ ตอนที่อาซ้อจางเดินไปมาในหมู่บ้าน บรรดาสตรีที่ปกติมักจะคอยพูดคุยเรื่องเล็กน้อยในชีวิต มองนางด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยน มักจะยิ้มกรุ้มกริ่ม ตอนแรกนางเข้าใจว่าตนแต่งกายไม่เรียบร้อย ตอนหลังนางเข้าใจว่ามีอะไรบางอย่างเปื้อนดวงหน้า
แต่เมื่อกลับเรือนไปดู ก็ไม่เห็นมีสิ่งใด
เมื่อไม่เจอสาเหตุ อาซ้อจางหงุดหงิดอยู่ครึ่งค่อนวัน วิ่งแจ้นไปด่าทออาซ้อกุ้ยฮวาถึงหน้าโรงงาน ถูกอาซ้อฟางไล่ตี ไม่เพียงแค่นี้ ทั้งยังพูดด้วยความดูแคลน “ไม่ดูแลสามีตนเองให้ดี ยังมีหน้ามาตำหนิผู้อื่น”
คราวนี้ อาซ้อจางเข้าใจแล้ว
เจ้าคนไม่มีหัวใจนั่น คงจะมีหญิงอื่นแล้วจริงๆ แค่ว่า ไม่ใช่หญิงหม้ายร่านคนนี้
กลับถึงเรือน ทึ้งผมจนหมดแล้ว นางครุ่นคิดไปมา ก็คิดไม่ออกว่าเป็นสตรีต่ำช้าคนใด
หวนคิดถึง ระยะหลังที่ผ่านมานี้ล้อของรถม้าเสียไปสองครั้งแล้ว
นางลุกขึ้นพรวด เจ้าคนไม่มีหัวใจ เล่นชู้บนรถม้า ต้องเป็นสตรีคนใดคนหนึ่งที่ช่วงนี้เคยเข้าเมืองเป็นแน่
ด้วยเหตุนี้นางจึงวางงานในมือลง แล้วออกไปจากเรือนอย่างรวดเร็ว
คราวนี้ อาซ้อจางมีเรื่องให้ยุ่งทุกวันแล้ว
ระหว่างจางเกินเป่าเดินทางกลับในทุกวัน นางมักจะซ่อนตัวอยู่ที่นั่นแล้วคอยจับตามอง
……
หุบเขากว้างใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่กว่าพันหมู่ ปกคลุมด้วยหิม ขาวโพลนทั่วทั้งผืน มั่วเชียนเสวี่ยทอดถอนหายใจอีกครั้ง ที่แห่งนี้เหมาะแก่การสร้างโรงงานเครื่องปรุงมาก
“นายท่านของพวกข้าไม่ต้องการรับแขก”
มั่วเชียนเสวี่ยให้อาอู่ใช้วิชาตัวเบาพานางไป ทว่าถูกขวางเอาไว้นอกป่าสน
“เจ้าช่วยไปรายงานนายท่านของเจ้าหน่อย บอกว่ามีคนสนใจหุบเขาแห่งนี้มาก”
“นายท่านของข้าลั่นวาจาไว้แล้ว หากยังไม่ไป อย่าหาว่าข้าเสียมารยาท”
มั่วเชียนเสวี่ยมองเห็นเรือนขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากป่าสนลางๆ ไม่สนใจคำห้ามปรามของอีกฝ่าย ร้องตะโกนเข้าไปในเรือน “ข้ามีบทกวีอยากให้ท่านผู้สันโดษช่วยวิจารณ์” ในเมื่อเขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ต้องเป็นผู้ที่สง่าผ่าเผย คาดว่าคงชื่นชอบบทกวีเป็นแน่
มั่วเชียนเสวี่ยคิดได้เช่นนี้จึงหันหน้าเข้าหาหิมะแล้วอ่านกวีสี่บาท ไม่มีวิธีอื่น ทำได้เพียงลอกเลียนแบบ
“พันขุนเขาไร้ปักษา เส้นทางนับหมื่นไร้ร่องรอยผู้คน บนเรือมีชาวประมงเฒ่าสวมอาภรณ์หญ้าแฝกและหมวกกุ้ยเล้ย นั่งตกปลาเดียวดายกลางแม่น้ำหนาวเย็นและหิมะโปรยปราย” กวีเช่นนี้ เข้ากับบรรยากาศและตรงใจคนผู้นั้น น่าจะเรียกนางเข้าไปพบกระมัง
เสียงหนึ่งล่องลอยออกมา “เป็นบทกวีที่ไพเราะ แต่ว่าข้าแก่ชรามากแล้ว ไม่สนใจสิ่งนี้ เจ้ากลับไปเถอะ” เสียงแก่ชรา รู้ซึ้งปล่อยวางเรื่องทางโลก ให้ความรู้สึกสิ้นหวังที่ไม่สิ้นสุดและชีวิตที่โดดเดี่ยว
น้ำเสียงแก่ชราเพิ่งพูดจบไม่นาน มีคนสองคนเดินออกมาจากป่าสน สีหน้าเคร่งขรึม ผายมือเชิญให้ออกไป “นายท่านให้แม่นางกลับไปขอรับ”
สีหน้าของคนทั้งสองมีความเคารพอย่างเห็นได้ชัด ทว่าท่าทีหนักแน่นยิ่งกว่า
หิมะโปรยปราย อากาศหนาวเย็น หนาวสะท้านถึงขั้วกระดูก ตอนมามีความหวังจึงไม่ได้รู้สึกว่าหนทางคดเคี้ยวมาก ไม่รู้สึกว่าเดินทางมาไกล ตอนกลับ จิตใจของมั่วเชียนเสวี่ยคล้ายกับเมฆหิมะมืดครึ้มบนขอบฟ้า ลมภูเขาพัดพาหิมะไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางหิมะขาวโพลน ทำให้นางรู้สึกผิดหวัง
อากาศยิ่งอยู่ก็ยิ่งหนาว นับจากนี้ไม่สามารถออกมาหาที่ทางได้แล้ว
เมื่อคืนหนิงเซ่าชิงสีหน้าบูดบึ้ง ยื่นคำขาดให้กับนางแล้ว นี่คือที่แห่งสุดท้ายที่นางดู สำเร็จหรือไม่สำเร็จ ล้วนเป็นที่สุดท้ายแล้ว
หากว่า นางอยากจะสร้างโรงงาน รอให้เข้าฤดูวสันต์ผ่านพ้นฤดูเหมันต์ เขาจะพานางไปหาทั่วทุกสารทิศด้วยตนเอง
แต่ว่า ไปดูตอนนี้ ไม่ได้!
มั่วเชียนเสวี่ยรู้ดีว่าเขาหวังดีกับนาง เขาสงสารนาง
แต่ว่า…
เมื่อคราวก่อน แค่ค่ายาของหมอหมู่บ้านบนภูเขาก็หลายร้อยตำลึงแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินว่า ในยุคนี้มีหมอน้อยมาก อีกทั้งยาก็แพงมาก มีอะไรก็ได้แต่ห้ามมีโรค ไม่มีอะไรก็ได้แต่ห้ามไม่มีเงิน
หมอเก่งๆ บางคน ไม่ต้องพูดถึงค่ายา แค่ค่าตรวจรักษาก็เริ่มต้นที่พันตำลึงแล้ว
หากรอให้เข้าฤดูวสันต์ผ่านพ้นฤดูเหมันต์ เกรงว่าต้องเสียเวลาอีกหลายเดือน
หนิงเซ่าชิงจะทนถึงตอนนั้นได้หรือ
เกวียนเคลื่อนตัวไปช้าๆ มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกอ้างว้างและถูกทอดทิ้ง ฤดูเหมันต์ที่มืดหม่นมากยิ่งขึ้น ตลอดทางมีแต่ความหนาวเหน็บ
……
เรือนตระกูลถง ในห้องโถงมีชายชราสองคนนั่งอยู่
คนหนึ่งมีเคราและผมขาว คนหนึ่งผอมแห้งหน้าตาพิลึก
“…นั่งตกปลาเดียวดายกลางแม่น้ำหนาวเย็นและหิมะโปรยปราย ช่างเป็นบทกวีที่ไพเราะ สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน หากย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบก่อน ข้าต้องร่วมจิบน้ำชาและเสวนาบทกวีกับนางเป็นแน่…หากจิ้งเอ๋อร์ของข้า…” ชายชราที่ทั้งหนวดเคราและผมขาวอ่านบทกวี พร้อมกับแววตาที่หม่นหมอง
ชายชราผอมแห้งหน้าตาพิลึกครุ่นคิด นัยน์ตาทอประกายแวววับ “ถงเหล่า ไม่แน่ว่าแม่หนูคนนั้นอาจจจะช่วยรักษาจิ้งเอ๋อร์ได้”
“ห๊ะ? นางอาจจะรักษาอาการป่วยของจิ้งเอ๋อร์ได้? เจ้าคนแซ่หวังเอ๋ย เหตุใดเจ้าไม่พูดเร็วกว่านี้” ผู้เฒ่าถงดีใจอย่างมาก
ผู้เฒ่าประหลาดไอแห้ง “ข้าเพียงแค่พูดเท่านั้น รักษาได้หรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง”
“ขอเพียงมีความหวัง ข้าไม่มีวันยอมแพ้”
“…”
ม้าเร็วสองตัววิ่งออกนอกเรือนตระกูลถง
“ช้าก่อน ท่านทั้งสองหยุดก่อน นายท่านของข้าเชื้อเชิญ” คนที่พูดคือหนึ่งในสององครักษ์หน้าตาเคร่งขรึมที่ในตอนหลังเดินออกมาจากเรือนป่าสน
ชั่วขณะหนึ่งมั่วเชียนเสวี่ยไม่เข้าใจว่าเจ้าของเรือนหลังนั้นกำลังเล่นอะไร นางและอาอู่มองหน้ากัน
เวลานี้อาอู่มีน้ำโหขึ้นมา “นายท่านของเจ้าคือผู้ใด เขาไล่พวกข้าไปก็ต้องไป เชิญพวกข้ากลับก็ต้องกลับเช่นนั้นหรือ”
ฮูหยินของเขาบรรดาศักดิ์สูงส่ง จะปล่อยให้พวกเขาสามหาวเช่นนี้ได้อย่างไร
องครักษ์ทั้งสองรีบกล่าวขอโทษ ท่าทีแตกต่างจากเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน
อาอู่เห็นฮูหยินไม่ได้พูดอะไร สะบัดแส้ ขับเกวียนมุ่งไปด้านหน้า
องครักษ์ทั้งสองสีหน้าหม่นหมอง เขาไม่ไป พวกเขาก็ไม่อาจบีบบังคับ เมื่อครู่นายท่านสั่งไว้แล้ว ให้เชิญทั้งสองกลับด้วยความสุภาพ โดยเฉพาะแม่นางที่อ่านบทกวีเมื่อครู่
เวลานี้ไม่อาจเชิญพวกเขากลับไปได้ องครักษ์ตระกูลถูกตบรางวัลและลงโทษชัดเจน ไม่อาจทำงานที่นายท่านสั่งได้สำเร็จ กลับไปต้องถูกลงโทษเป็นแน่
สีหน้าของพวกเขาหนีไม่พ้นสายตาของมั่วเชียนเสวี่ย ดูเหมือนเรื่องนี้จะมีจุดผันเปลี่ยน นางกล่าวเสียงเยือกเย็น “อาอู่ หันเกวียนกลับไป พวกเราไปเจอเจ้าของเรือนหลังนั้นเสียหน่อย”
องครักษ์ทั้งสองได้ยินเช่นนี้ ดีใจขึ้นมาทันที มองหน้ากัน แล้วควบม้านำทางอยู่ด้านหน้า