มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเจี่ยนเหล่าไท่จวินสวมกระโปรงจับจีบสีแดงเข้ม นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน ด้านหลังมีบ่าวรับใช้แต่งตัวเรียบร้อยสองคนยืนปรนนิบัติอยู่
บ่าวรับใช้ทั้งสองนางเมื่อพบว่ามีแขกเดินเข้ามา จึงได้วางฟูกรองนั่งลงที่พื้น เจี่ยนชิงโยวและคนอื่นอีกสองคนได้คุกเข่าลง จากนั้นก้มศีรษะคารวะกล่าวว่า “ถวายความเคารพท่านย่าเจ้าค่ะ”
ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยมิได้คุกเข่าลงบนฟูกเช่นพวกนาง หลังจากที่พวกนางทั้งสามคารวะเสร็จสิ้นแล้ว นางจึงย่อเข่าลงทำความเคารพกล่าวว่า “ถวายความเคารพเหล่าไท่จวินเจ้าค่ะ”
จะว่าไปแล้ว นับแต่ต้นจนบัดนี้นางไม่เคยคุกเข่าให้ผู้ใดเลย อีกอย่างนางก็ไม่ใช่ลูกหลานของเจี่ยนเหล่าไท่จวิน เหตุใดจึงต้องคุกเข่าคารวะเล่า
เจี่ยนเหล่าไท่จวินเห็นมั่วเชียนเสวี่ยทำเช่นนั้น สีหน้าของหญิงชราก็มิได้เปลี่ยนไปหรือโมโหแม้แต่น้อย กลับกัน เหลียงหมัวมัวและบ่าวรับใช้น้อยใหญ่ที่อยู่ด้านข้างพากันสูดหายใจเข้าลึก
“ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้น” เจี่ยนเหล่าไท่จวินเงยหน้าขึ้นแล้วกำชับให้พวกนางลุกขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้โบกมือเรียกมั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปใกล้ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “หนิงเหนียงจื่อเข้ามาใกล้ทีเถิด ให้ข้าได้มองใบหน้าของผู้มีพระคุณซึ่งช่วยชีวิตไว้อย่างชัดเจนเถิด”
มั่วเชียนเสวี่ยเดินตรงเข้าไปใกล้ นางรู้สึกประหลาดใจยิ่งนักที่เจี่ยนเหล่าไท่จวินฟื้นฟูสภาพร่างกายได้ดีเช่นนี้ ดูเหมือนมิเคยเป็นโรคจ้งเฟิงมาก่อนเลยก็ว่าได้ หมอประหลาดมีความสามารถไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือน ผู้สูงวัยที่มีอาการจ้งเฟิงสามารถหายดีกลับมามีชีวิตชีวาราวกับคนทั่วไปได้ถึงเพียงนี้ ความสามารถเช่นนั้นต่อให้เป็นยุคปัจจุบันก็ยังนับว่าหายากยิ่ง
เมื่อเห็นเหล่าไท่จวินได้รับการรักษาจนหายดี ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกเชื่อมั่นในความสามารถของหมอประหลาดผู้นี้ขึ้นมาไม่น้อย
“ก่อนหน้านี้ข้ามักกังวลอยู่เสมอ เนื่องจากในวันนั้นสร้างความวุ่นวายให้แก่ท่านเหล่าไท่จวิน ทว่าบัดนี้ได้มาพบว่าเหล่าไท่จวินกระฉับกระเฉงเยี่ยงนี้ คาดว่าร่างกายคงจะดีขึ้นไม่น้อย ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเหลือเกินเจ้าค่ะ เห็นได้ว่าเหล่าไท่จวินเป็นผู้มีบุญยิ่งนัก”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเจี่ยนเหล่าไท่จวินก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น นางกล่าวว่า “ข้าอายุปูนนี้แล้ว ยังจะเหลือบุญใดอยู่อีกเล่า เกรงว่าพวกนางจะได้แต่สร้างความวุ่นวายให้ข้านะสิ”
แม้ผู้ที่กล่าวออกมาจะไม่มีเจตนาใด แต่ผู้ฟังกลับคิดไปมากมาย
เจี่ยนชิงโยวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าเรื่องงานแต่งงานของตนสร้างความวุ่นวายให้แก่ท่านย่าไม่น้อย ดังนั้นนางจึงรู้สึกอึดอัดใจ ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่นั่น
เจี่ยนชิงเจินก้าวขึ้นไปด้านหน้าแล้วโค้งกายลงไปหมอบข้างขาของเจี่ยนเหล่าไท่จวิน กล่าวอย่างออดอ้อนว่า “ท่านย่าเจ้าคะ เจินเอ๋อร์มีแต่ใจตอบแทนท่านย่า เท่าไหร่ก็ไม่เคยรู้สึกว่ามากพอ แล้วจะสร้างความวุ่นวายให้ท่านได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”
กล่าวจบก็ชายตาไปมองเจี่ยนชิงโยวด้วยแววตาท้าทาย
กระแนะกระแหนกันชัดเจนเช่นนี้ ทำให้เจี่ยนชิงโยวได้แต่รู้สึกเจ็บปวดเพราะยึดมั่นในความรัก ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกทนไม่ได้ นางจึงกล่าวว่า “ความกตัญญูคุณหนูเจ็ดมากล้นจนสวรรค์ซาบซึ้ง ก่อนหน้านี้ที่เหล่าไท่จวินป่วยหนัก เมื่อได้เห็นคุณหนูเจ็ดแต่งกายสีสดใสงดงามอยู่เคียงข้างด้วยความกตัญญูเช่นนี้ คาดว่าคงจะมีความสุขไม่น้อย”
เมื่อเห็นนางแต่งกาด้ยวยชุดสีสันฉูดฉาด คาดว่าตามปกติแล้วนางคงจะไม่แตกต่างอันใดกับนกยูง เพียงแต่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่เหล่าไท่จวินป่วยหนัก นางก็แต่งตัวเช่นนี้ด้วยหรือไม่
แววตาของเหล่าไท่จวินเป็นประกายแดงเรื่อ ราชวงศ์เทียนฉีให้ความสำคัญเรื่องความกตัญญูยิ่งนัก ความกตัญญูมาก่อนอื่นใด นางนึกย้อนกลับไปเมื่อก่อนหน้านี้ที่นางยังนอนอยู่บนเตียง ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทุกคราที่เจี่ยนชิงเจินเดินทางมาคารวะนางล้วนสวมชุดสีแดงเจิดจ้า
หลังจากคารวะนางแล้วก็เดินทางจากไป หาได้มีความเศร้าโศกเสียใจแม้แต่น้อย
เมื่อคิดดังนั้น เหล่าไท่จวินก็รู้สึกไม่พอใจ ตอนนั้นนางเพียงป่วยหนัก หากว่าวันไหนนางจากไปละก็ เจี่ยนชิงเจินจะสวมชุดสีแดงสดใสมาหรือไม่ ช่างไม่รู้จักกาลเทศะเอาเสียจริง! สู้เจี่ยนชิงโยวที่นางปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กไม่ได้แม้แต่น้อย นางเรียบร้อยทั้งวาจาใจ รู้จักสัมมาคารวะ
ดังนั้น เดิมทีมือที่กำลังจะเอื้อมไปสัมผัสศีรษะของเจี่ยนชิงเจินจึงได้ชะงักลง สีหน้าของหญิงชรากล่าวอย่างเรียบง่ายว่า “อายุปาไปเท่าไรแล้ว ยังทำตัวไม่มีระเบียบเช่นนี้อยู่อีก รีบลุกขึ้นเร็ว”
เจี่ยนชิงเจินที่เดิมทีคิดว่าจะได้คำชม คาดไม่ถึงว่าจะถูกตำหนิ นางจึงรู้สึกงุนงงแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างไม่พอใจ
“ชิงโยว เข้ามานี่สิ” เจี่ยนเหล่าไท่จวินจึงได้พบว่าสีหน้าของเจี่ยนชิงโยวดูไม่ดีนัก นางกล่าวปลอบโยนว่า “ดูเจ้าสิ ร่างกายผอมซูบนักหนา วางใจเถิดเรื่องแต่งงานของเจ้า ย่าจะเป็นผู้จัดการให้เอง”
เจี่ยนเหล่าไท่จวินกล่าวกับเจี่ยนชิงโยวด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะหันไปโบกมือไล่อีกสองคนที่ยืนอยู่ว่า “หากพวกเจ้าไม่มีสิ่งใดแล้วก็ออกไปเถิด ที่นี่มีเพียงชิงโยวและหนิงเหนียงจื่อก็พอ” เจี่ยนเหล่าไท่จวินไล่ทั้งสองไปโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองพวกนาง
หลังจากย่าหลานเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบเป็นที่เรียบร้อย ก็ไม่ได้ลืมมั่วเชียนเสวี่ย หญิงชราดึงมือมั่วเชียนเสวี่ยเข้ามาถามไถ่ถึงเรื่องราวในเรือน
ระหว่างที่สนทนากันนั้น มั่วเชียนเสวี่ยได้กล่าวเรื่องตลกออกมา และเอ่ยถึงหมอหวัง คิดไม่ถึงว่าเจี่ยนเหล่าไท่จวินได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยถึงหมอหวังแล้วสีหน้านางจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา จากนั้นนางก็หาวขึ้น กล่าวว่าตนง่วงนอนแล้ว ก่อนจะกำชับให้เจี่ยนชิงโยวพานางเดินชมรอบจวน
เหลียงหมัวมัวส่งทั้งสองคนเดินออกไป แต่ก็ยังไม่ลืมเรื่องขนม นางยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่าบัดนี้ยังมีเวลา คุณหนูใหญ่ควรฉวยช่วงโอกาสดีเช่นนี้ ขอเรียนรู้วิธีทำขนมจากมั่วเชียนเสวี่ย ในอนาคตหากเหล่าไท่จวินอยากกินจะได้ทำไปให้เป็นการตอบแทนบุญคุณ
ก็แค่ขนมเค้กไม่ใช่หรือ มีสิ่งใดให้น่าคิดถึงขนาดนั้น จู่ๆ มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกมองเหลียงหมัวมัวในทางไม่ดีนัก แต่ถึงอย่างไหร่นางก็ยินดีที่จะสอนเจี่ยนชิงโยวเป็นอย่างยิ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยตอบรับทันควันว่าประเดี๋ยวจะสอนเจี่ยนชิงโยวทำขนม จากนั้นเหลียงหมัวมัวจึงเดินทางจากไปด้วยความพออกพอใจ
หลังจากที่เหลียงหมัวมัวจากไปแล้ว เจี่ยนชิงโยวก็กำชับให้บ่าวรับใช้ข้างกายอีกสองนางถอยออกห่าง เพื่อที่นางจะได้สนทนากับมั่วเชียนเสวี่ยได้อย่างสบายใจขึ้น
จากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยจึงได้เอ่ยถามถึงเรื่องของหมอหวัง กับเจี่ยนชิงโยวแล้ว นางไม่มีสิ่งใดจะปิดบัง นางบอกไปว่าหนิงเซ่าชิงป่วยเป็นโรคร้าย ประสงค์จะเชิญหมอหวังเดินทางไปช่วยตรวจดูสักหน่อย เจี่ยนชิงโยวได้ยินว่าหนิงเซ่าชิงสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงก็เป็นกังวลยิ่งนัก จากนั้นจึงได้ค่อยๆ กล่าวถึงเรื่องของหมอหวังให้ฟัง
หมอหวังผู้นี้สำหรับนางก็นับว่าค่อนข้างแปลกหน้ามากทีเดียว แต่เพราะนางเติบโตมาจากการดูแลของท่านย่า ดังนั้นจึงรู้ว่ามีคนเช่นหมอหวังอยู่ด้วย กล่าวว่าหมอผู้นั้นช่างประหลาดนัก การเดินทางไปไหนมาไหนของเขา คนในจวนหาได้มีใครรู้ไม่ บ่าวรับใช้บางคนไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ามีคนเช่นนี้อยู่ในจวน เรือนที่เขาอาศัยอยู่ก็เป็นเรือนในที่รกร้าง ที่แห่งนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักและเคยไป ได้ยินมาว่าที่นั่นมักปรากฏภูตผีขึ้น
นางกล่าวอีกว่าหมอหวังเป็นสหายกับนายท่านเจี่ยนที่จากโลกนี้ไปแล้ว
สิ่งที่เจี่ยนชิงโยวกล่าวมานั้นมั่วเชียนเสวี่ยเชื่อทั้งสิ้น! เว้นแต่ประโยคหลังที่ว่าหมอหวังเป็นสหายของนายท่านเจี่ยน เรื่องนี้มั่วเชียนเสวี่ยไม่เชื่อเด็ดขาด เพียงแค่เรื่องในวันนั้นที่เจี่ยนเหล่าไท่จวินเกิดอาการกำเริบ เหลียงหมัวมัวก็ได้สั่งให้คนเดินทางไปเชิญท่านหมอหวังมารักษา จึงเป็นไปไม่ได้ว่าความสัมพันธ์นั้นเป็นเพียงแค่สหายของนายท่านอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่านางรู้ดีถึงการที่หมอหวังอาศัยอยู่ในเรือนนั้น และรู้ดีว่าหากส่งคนไปบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเจี่ยนเหล่าไท่จวิน หมอหวังก็จะเดินทางมาแน่นอน จากที่หนิงเซ่าชิงเล่ามานั้น หมอประหลาดมักจะเดินทางไปไหนมาไหนอย่างไร้ร่องรอย และจะไม่ออกตรวจง่ายๆ
ทว่าบัดนี้แม้แต่หมัวมัวที่รับใช้ข้างกายเจี่ยนเหล่าไท่จวินก็สามารถเชิญเขามาได้ สิ่งนี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะคิดมาก เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าถามเรื่องของหมอประหลาดจากเจี่ยนชิงโยวก็ดูเหมือนไม่ได้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ใด จึงได้เปลี่ยนมาสนทนาเรื่องอาหาร การแต่งงานและสิ่งอื่นที่สตรีมักสนทนากันอย่างผ่อนคลายสบายใจ