เจี่ยนเหล่าไท่จวินกำลังปักแต่งกิ่งต้นเหมยด้วยความสงบ เมื่อได้ยินผอจื่อเข้ามารายงานเช่นนั้น นางก็โมโหเสียจนนำกรรไกรตัดกิ่งตบลงบนโต๊ะ
เนื่องจากแรงที่ตบลงไปไม่น้อยเลยทีเดียวจึงทำให้โต๊ะสั่น แจกันดอกไม้ลายครามที่วางไว้บนโต๊ะเกิดความสั่นไหวและเสียสมดุลล้มเอนลง ดอกเหมยที่ปักอยู่ในแจกันร่วงลงมาสู่พื้น เศษแจกันและกลีบดอกไม้แตกกระจัดกระจายรวมกันอยู่บนพื้น ทำให้บ่าวรับใช้และผอจื่อรอบข้างโต๊ะตกอกตกใจเสียจนแทบไม่กล้าหายใจออกมา
“เรื่องครอบครัวของเจ้ารองนับวันยิ่งวุ่นวายมากขึ้นเรื่อย”
เหลียงหมัวมัวก้มหน้าลงแล้วตอบรับว่า “เหล่าไท่จวินเจ้าคะ อย่าได้โมโหไปเลย จะเป็นอันตรายต่อร่างกายของท่าน ไม่คุ้มค่าเลยเจ้าค่ะ”
เจี่ยนเหล่าไท่จวินโมโหเสียจนหน้าดำหน้าแดง นางขมวดคิ้วแน่น แววตาไม่ได้สงบนิ่งดุจเช่นตอนตัดแต่งกิ่งดอกไม้อีกต่อไป “ในครานั้นหากไม่ใช่เพราะนางมีนิสัยเช่นนี้ เจ้ารองก็คงไม่จากไปรวดเร็วเพียงนี้หรอก จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่รู้จักปรับปรุงตัว คิดว่าข้าไม่กล้าแตะต้องนางจริงๆ อย่างงั้นหรือ!”
เหลียงหมัวมัวพยุงเหล่าไท่จวินให้นั่งลง บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างกายจึงได้เข้ามาเก็บกวาดเศษแจกัน กลีบดอกไม้กับกิ่งก้านที่ตัดแต่งเมื่อครู่ทิ้ง เหล่าไท่จวินก้มหน้าก้มตาลงไปชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งด้วยแววตาอันอาฆาตแค้น
“เจ้าส่งหงอวี้ไปมอบขนมสี่สีให้แก่หนิงเหนียงจื่อเป็นการปลอบขวัญ แล้วให้คนพวกนั้นใช้ครัวใหญ่ หากว่าชิงโยวยังอยากจะฝึกทำขนมอยู่ ให้นางพาหนิงเหนียงจื่อมาใช้ห้องครัวเล็กของข้าได้ตามสบาย”
“เจ้าค่ะ” เหลียงหมัวมัวมองไปทางเจ้านายและรับรู้ได้ทันทีว่าเหล่าไท่จวินกำลังวางแผนจะจัดการ ฮูหยินรองอย่างเด็ดขาดแน่นอน จะว่าไปฮูหยินรองก็ช่างฉลาดยิ่งนัก แม้ว่านางจะเป็นหม้ายแต่ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในจวนได้อย่างสุขสบาย
ที่จริงแล้วนางไม่รู้ว่านางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่เจี่ยนเหล่าไท่จวินวางไว้ ป้องกันไม่ให้ฮูหยินใหญ่กุมอำนาจไปเพียงผู้เดียว นางคิดว่าเป็นเพราะตระกูลมารดาของนางเข้มแข็งจึงได้เข้าตาฮูหยินชราผู้นี้อย่างงั้นหรือ
เหลียงหมัวมัวกำชับกับหงอวี้ จากนั้นเดินเข้าไปในเรือนเพื่อสั่งให้บ่าวรับใช้แยกย้ายกันไป จากนั้นจึงเดินกลับมาบีบไหล่ให้เจี่ยนเหล่าไท่จวิน “ร่างกายของท่านยังไม่หายขาด บัดนี้หมอหวังก็ไม่อยู่ นับจากนี้อย่าได้โมโหอีกเลยนะเจ้าคะ”
เจี่ยนเหล่าไท่จวินได้ยินชื่อของหมอหวัง นางก็โมโหขึ้นมาทันใดแล้วตะโกนด่าทอว่า “เจ้าหมอประหลาดนั่นเหตุใดจึงชอบเตร็ดเตร่ไปทั่ว ไม่รู้จักอยู่กับที่กับทาง ไม่เอาการเอางานเสียจริง” แม้ว่าจะเป็นคำด่าทอแต่ผู้ฟังก็ไม่รู้สึกถึงความไม่พอใจจากประโยคเมื่อครู่เลย
เหลียงหมัวมัวจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม้หมอหวังจะไม่เอาการเอางาน แต่อย่างน้อยเขาก็มีใจให้ท่านนะเจ้าคะ”
เจี่ยนเหล่าไท่จวินหน้าแดงเรื่อ “เจ้ากล่าวเรื่องไร้สาระอันใด”
“บ่าวมิได้กล่าวไร้สาระนะเจ้าคะ”
“นั่นสินะ ในครานั้นหากไม่ใช่เพราะเขาเป็นเช่นนี้ ข้าจะแต่งเข้ามาในตระกูลเจี่ยนได้อย่างไร และข้าจะ…”
เจี่ยนเหล่าไท่จวินถอนหายใจออกมายืดยาว ดูท่าทางของนางคล้ายกับกำลังนึกย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน
……
จางหมัวมัวถูกโบย เจี่ยนชิงโยวก็ถูกเหล่าไท่จวินตำหนิจึงได้ออกมาจากห้องครัว ทั้งสองฝ่ายต่างมีจุดจบไม่ดีนัก ดังนั้นการทำขนมเค้กจึงได้จบลงเพียงเท่านี้
มั่วเชียนเสวี่ยจึงฉวยโอกาสนี้ในการขอตัวเดินทางกลับ เจี่ยนชิงโยวก็ไม่ได้รั้งนางเอาไว้ เนื่องจากบัดนี้นางเองก็ขายหน้าเช่นกัน
“รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิ เจ้าไปยังร้านอาหารของข้า แล้วข้าจะสอนเจ้าทำเอง ที่จริงนั้นขนมนี่ไม่ได้ทำยากอันใดเลย” เมื่อถึงเวลานั้นนางจะต้องให้ช่างทำเครื่องตีไข่ขึ้นมา มิเช่นนั้นการทำเค้กช่างยากเย็นเหลือเกิน ครั้งที่แล้วที่นางทำเค้ก มั่วเชียนเสวี่ยได้ใช้ให้จวี๋เหนียงและอวิ๋นอิ๋นผลัดกันตีไข่ เมื่อตอนที่ตีไข่จนได้ตามต้องการนั้น ทั้งสองคนก็มือไม้ปวดเมื่อยเสียจนชา ได้ยินจวี๋เหนียงกับอวิ๋นอิ๋นสนทนากันเป็นการส่วนตัวว่า แขนของพวกนางทั้งเจ็บและชาอยู่หลายวันเลยทีเดียว
ก่อนที่มั่วเชียนเสวี่ยจะเดินทางจากไป ได้เชิญชวนให้เจี่ยนชิงโยวไปหานาง ไม่ใช่เพราะต้องการจะสอนวิธีการทำขนมเค้กให้ แต่เป็นเพราะนางไม่อยากเห็นเจี่ยนชิงโยวต้องจมอยู่ในความคิดต่อความรักอันสิ้นหวังเช่นนี้ นางปรารถนาจะให้เจี่ยนชิงโยวและซินอี้หมิงได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง ให้ทั้งสองได้มีโอกาสสนทนากัน เนื่องจากเรื่องของความรู้สึกของคนนั้น มีเพียงพวกเขาสองคนที่รู้ดีที่สุด หากว่าพวกเขามีความมุ่งมั่นจริง ก็จะสามารถเอาชนะความยากลำบากทั้งหมดได้
……
ฟางเถาเอ๋อร์ฮัมเพลงพลางแต่งกายด้วยสีฉูดฉาด ก่อนจะเดินทางออกไปข้างนอกอีกครั้งหนึ่ง
หลี่ไคสือทำสีหน้าหม่นหมอง เขาเดินกะเผลกๆ ติดตามไปท่ามกลางความมืดอยู่ห่างๆ
นับจากที่ทะเลาะกันในคืนแต่งงาน หลังจากที่ฟางเถาเอ๋อร์เก็บตัวอยู่ไม่กี่วัน จากนั้นก็ได้แต่งตัวงดงามและออกเที่ยวเตร่ตลอดทั้งวัน หลี่ไคสือเห็นเต็มสองตาและเก็บความโกรธเกลียดเหล่านั้นไว้ในใจ บัดนี้ เขาโยนความผิดที่ตนสูญเสียความสามารถของลูกผู้ชายทั้งหมดไปยังฟางเถาเอ๋อร์ หากไม่ใช่เพราะนังสารเลวคนนี้เข้ามาอ่อยเขา ในวันนั้นเขาคงไม่กระตือรือร้นเสียจนเกินเหตุ และคงจะไม่ถูกโจมตีด้วยลมหนาวพิลึกนั่น โรคที่เป็นอยู่นี้ เขาไม่กล้าปิดบังมารดา เนื่องจากเขายังมีหวังว่ามารดาจะหาวิธีช่วยได้ เมื่อภรรยาหลี่ปารู้เรื่องนี้เข้าก็กังวลใจยิ่งนัก ท้ายที่สุดแล้วจึงทำได้เพียงบอกกับหลี่ปาให้เขาหาวิธี
หลี่ไคสือเป็นบุตรที่ให้กำเนิดในตอนชรา และเป็นทายาทคนเดียวของหลี่ปา ทุกความหวังนั้นอยู่ที่ตัวเขา แต่ว่าเรื่องนี้หลี่ปาจะทำสิ่งใดได้ จะให้เขาไปเข้าหอแทนลูกชายอย่างงั้นหรือ ท่ามกลางความสิ้นหวัง เขาจึงทำได้เพียงแอบจ้างหมอผีจากหมู่บ้านทางตะวันตกมาให้หลี่ไคสือ
เมื่อหมอผีมองดูก็รู้ได้ว่าเกิดปัญหาขึ้น กล่าวว่าเขาถูกสิ่งมืดมนชั่วร้ายโจมตี จึงทำให้พลังความเป็นชายไหลออกจากร่างกาย และมอบน้ำมนต์มาให้มากมาย หลี่ไคสือดื่มน้ำนั้นทุกวันแต่ก็ไม่พบว่าจะได้ผลแม้แต่น้อย
ภรรยาหลี่ปายิ่งรีบร้อนใจเข้าไปใหญ่ นางพาเขากลับไปที่ตระกูลเดิมของตน และพาไปหาหมอสัญจรเพื่อสั่งยาเพิ่มพลังในความเป็นชายมากิน เมื่อกลับมาถึง เขาก็ได้ดื่มยานั้นไปมากกว่าโหล แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย มันช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี
ไม่เพียงแต่ไร้ประโยชน์ แต่ไอ้เจ้านั่นนับวันยิ่งเล็กลงยิ่งหดตัว ดูเหมือนมันจะหดเข้าไปจนหมดสิ้น
คนทั้งตระกูลกังวลใจเสียยิ่งกว่ามดในกะทะร้อน ต่างพากันวิ่งหาวิธีแก้ไข ทำเอาเสียภรรยาหลี่ปาผมร่วงเป็นกระจุก แน่นอนว่าฟางเถาเอ๋อร์ก็รู้สึกแย่เช่นกัน นางมักจะถูกหลี่ไคสือตะครุบลงบนเตียง จากนั้นขย้ำเสียจนเป็นรอยจ้ำช้ำม่วง เพียงเพราะหวังว่าเขาจะสามารถใช้เรือนร่างของนางปลุกความเป็นชายให้ตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาพยายามสักเท่าไหร่ เจ้ามังกรนั่นก็ไม่ตื่นขึ้น หลายต่อหลายครั้งที่เขาใช้นิ้วมือของตนแทนเจ้าสิ่งนั้นแล้วสอดใส่เข้าไปในร่างของฟางเถาเอ๋อร์
จากการทะเลาะเบาะแว้งที่อับอายขายหน้าในครั้งนั้น ฟางเถาเอ๋อร์ถูกพี่ชายและบิดาตำหนิติเตียน สอนให้นางอดทนรับใช้สามีสั่งสอนบุตรหลานตามขนบธรรมเนียมเดิม ดังนั้นแม้นางจะดูถูกเขาแต่ก็ไม่กล้าโวยวายอีก
น้ำมนต์มากมาย เครื่องดื่มชูกำลังมากมาย แต่ละวันเขาดื่มในปริมาณมากโข ต่อให้มีภูเขาทองคำสักวันก็ต้องถูกล้างผลาญใช้จนสิ้น นับอะไรกับตระกูลหลี่ที่ไม่ได้มั่งคั่ง ในไม่ช้า ตระกูลหลี่ก็ถูกเขาล้างผลาญจนหมดสิ้น
หลี่ไคสือเห็นว่าฟางเถาเอ๋อร์แต่งตัวออกไปข้างนอกก็รู้สึกเกลียดตนเองที่เป็นเช่นนี้ สตรีที่เป็นต้นเหตุยังมีกะจิตกะใจแต่งเนื้อแต่งตัวออกไปเที่ยวด้านนอกอีกหรือ
ดังนั้น เขาจึงได้แอบติดตามไปอย่างขมขื่น และคิดว่าหาวิธีว่าจะดัดนิสัยสตรีผู้นี้อย่างไร
ทางด้านของอาซ้อจางเห็นว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว และนึกได้ว่าล้อรถม้าเพิ่งจะพังไปเมื่อสองวันก่อน สีหน้านางก็ดูมืดมน หลังจากจัดเก็บอยู่สักพักจึงได้ออกเดินทางไปอีกครั้ง
ครั้งนี้นางไม่ได้จะออกไปขวางรถม้าที่ตรงถนนใหญ่ แต่กลับไปซ่อนตัวอยู่ข้างทางตรงป่าเขา ซึ่งเป็นเส้นทางที่จางเกินเป่าใช้เดินทางกลับ
นางไม่เชื่อว่าจะไม่พบนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนั้น
……
หลังเดินทางออกมาจากจวนเจี่ยน มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้เดินซื้อของอยู่ในเมืองสักพัก นางซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปก่อนจะกำชับอาอู่ให้ขับรถม้ากลับหมู่บ้านวังจยา
ระหว่างทางนั้นไม่มีสิ่งใดต้องทำ มั่วเชียนเสวี่ยจึงตั้งใจจะงีบหลับในรถม้าสักพัก