ตอนที่ 1 กลับมาเกิดใหม่ในวันแต่งงาน
หลินม่ายได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง และยังได้ย้อนกลับมาเกิดในวันแต่งงานอีกด้วย
เธอชำเลืองมองผนังบ้านหลังใหม่ที่เต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่าง ซึ่งปฏิทินบนนั้นแสดงไว้ว่าเป็นวันที่ 1 เดือนตุลาคม ปี 1981
บริเวณนอกบ้านช่างเหมือนกับในอดีต คือไม่ได้คึกคักอย่างที่จินตนาการไว้ ทุกอย่างล้วนเงียบเหงา แม้แต่เสียงพูดคุยจอแจก็ยังไม่มี
เธอถูกครอบครัวคลุมถุงชนเพื่อแลกกับเงินสินสอด ประกอบกับความต่ำต้อยของตัวเองที่ใจจริงอยากแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน
รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้ชอบตนก็ยังกระโดดเข้าไปในกองไฟ ใครเล่าจะเห็นความสำคัญของเธอ!
ตั้งโต๊ะจีนเหรอ? ไม่มีหวังเสียหรอก
เมื่อแม่สามีได้ยินว่าเธอไม่มีสินเดิมของฝ่ายหญิง นางก็ด่าทอเป็นเวลาสามวันสามคืนตั้งแต่ยังไม่ย้ายเข้ามาในบ้าน
นางกล่าวหาว่าสกุลหลินไร้น้ำใจ ขายลูกสาวกิน เอาคนป่วยกระเสาะกระแสะมาแลกกับเงิน 10 หยวน ข้าวสาร 1 ถุงใหญ่ และเสื้อผ้าที่ซื้อจากสหกรณ์ด้วยเงิน 5 หยวน
แม่สามีขุ่นเคืองใจมาก เลยยกบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยไม่เกินสิบตารางเมตรให้เป็นเรือนหอ กลิ่นอับภายในบ้านยังทำให้รู้สึกคันคออยู่เลย
วันที่หลินม่ายจะต้องแต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้ในอดีต แม่สามีอย่างเหยาชุ่ยฮวาก็ได้แกล้งป่วยออด ๆ แอด ๆ นอนนิ่งอยู่บนเตียง ซึ่งชาตินี้ก็ยังเป็นเช่นนี้
พ่อสามีอย่างอู๋จินกุ้ยไม่เชิญผู้หญิงในตระกูลมาช่วยตระเตรียมอาหารกลางวัน ดังนั้นครอบครัวฝ่ายมารดาจึงต้องพาญาติยกโขยงมาเสียกลุ่มใหญ่ ทำให้พวกชาวบ้านที่ยืนเบียดเสียดรอดูความคึกคักอยู่หน้าประตูต่างพากันชี้แนะอย่างอวดดี
ห้องโถงกลางที่ได้รับการทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่องไม่มีแม้แต่เก้าอี้สักตัว พ่อหลินและแม่หลินรวมทั้งพี่ชายพี่สาวของหลินม่ายจึงต้องยืนหลบมุมทำตัวลีบเหมือนกับนกกระทา
ซุนกุ้ยเซียงแม่ของหลินม่ายขยิบตาให้พ่อหลินหนึ่งครั้ง ก่อนจะแสร้งยิ้มพลางเอ่ยกับอู๋จินกุ้ยว่า “ในเมื่อแม่สามีของลูกดิฉันป่วย งั้นเราต้องขอตัว”
อู๋จินกุ้ยก็แสร้งยิ้มพลางลุกขึ้นเดินไปส่ง “ต้องขอโทษทุกคนด้วย”
เมื่อทุกคนเดินออกมาจากห้องโถงกลางแล้ว ซุนกุ้ยเซียงก็ส่งเสียงไปยังทิศทางของบ้านหลังใหม่ “ม่ายจื่อ นับแต่นี้ไปแกเป็นสะใภ้สกุลอู๋แล้วนะ ต้องเชื่อฟังพ่อแม่สามี รักพี่รักน้อง ถ้าแม่รู้ว่าแกทำตัวไม่ดีตรงไหน แม่เอาแกตายแน่!”
หลินม่ายยิ้มเยาะเย้ย
ชาติที่แล้วหลังแต่งงาน พ่อกับแม่ลงไม้ลงมือกับเธอไม่ยั้ง ไม่ใช่เพราะเธออกตัญญูต่อพ่อแม่สามี ไม่รักพี่รักน้อง
แต่เพราะคิดว่าเธอไร้ประโยชน์ เอาใจพ่อแม่สามีไม่ได้ ทั้งยังหาเงินเลี้ยงดูปากท้องครอบครัวไม่ได้ด้วย
พี่สาวอย่างหลินเพ่ยกุมมือซุนกุ้ยเซียง พยายามโน้มน้าวเสียงเบา “แม่ อย่าทำให้น้องกลัวสิ เดี๋ยวฉันไปคุยกับน้องเอง” กล่าวจบหล่อนก็ตรงไปยังบ้านใหม่ทันที
เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้านใหม่ หล่อนก็ผลักประตูเข้าไป พร้อมกับหยดน้ำตาหลั่งรินออกมา “ม่ายจื่อ พ่อแม่สามีของเธอไม่น่าคบค้าเอาเสียเลย เธอจะใช้ชีวิตยังไง”
หลินม่ายปรายตามองการแสดงของหล่อนด้วยสายตาเย็นชา
อีกฝ่ายแกล้งทำเป็นปวดใจต่อหน้าเพราะเธอไม่ได้แต่งงานกับครอบครัวสามีที่ดี แต่ลับหลังกลับหัวเราะเยาะที่เธอดันกระโดดตกนรกไปเอง เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาคนหนึ่ง
หลินม่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ฉันได้อยู่อย่างลำบากเหมือนที่พี่อยากให้เป็นแล้วไม่ใช่รึไงคะ!”
หลินเพ่ยตกใจจนลืมร้องไห้ จ้องมองนัยน์ตาของหลินม่ายอย่างคาดคั้นหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบกับความผิดปกติ ทำไมหล่อนถึงได้พูดจาไม่น่าฟังแบบนี้?
เมื่อก่อนหล่อนไม่ใช่แบบนี้ เชื่อฟังครอบครัว และยังสนิทกับตนมาก
“ม่ายจื่อ เธอไปได้ยินข่าวลือจากในหมู่บ้านมาใช่ไหม อย่าไปสนใจกับคนที่ชอบยุยงเหล่านั้นเลย พวกเขาไม่เห็นหรอกว่าฉันแสนดีกับเธอแค่ไหน”
หมู่บ้านหวังเจียที่สกุลหลินอาศัยอยู่มักมีข่าวซุบซิบนินทาอยู่เสมอ ลือกันว่าหลินเพ่ยและหลินสงเป็นลูกแท้ ๆ ของซุนกุ้ยเซียง แต่หลินม่ายกลับไม่ใช่
ไม่อย่างนั้นคงอธิบายไม่ได้ว่าเหตุใดสองสามีภรรยาซุนกุ้ยเซียงถึงปฏิบัติต่อหลินเพ่ยและหลินสงอย่างดี แต่กลับไม่ให้ความรักใคร่กับหลินม่ายอย่างเท่าเทียม
หลินม่ายยิ้มอย่างเย็นชา “พี่ดีกับฉันเหรอ? งั้นพี่ก็เอาเงินสินสอดจำนวน 10 หยวนและเสื้อผ้า 5 หยวนที่สกุลอู๋ให้ฉันมาคืนฉันสิ ฉันถึงจะเชื่อว่าพี่ดีกับฉันจริง”
สินสอดทองหมั้นจำนวน 10 หยวนที่สกุลอู๋ให้เธอมาได้ถูกหลินเพ่ยชิงไปจ่ายค่าเทอมก่อน ส่วนเงินที่เหลือกลายเป็นเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ผ้าราคา 5 หยวนตัวนั้นถูกนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ อะไร ๆ ก็ยกให้หล่อนเสียทุกอย่าง!
แม้จะไม่ได้ใช้สินสอดทองหมั้น 10 หยวนนั้น แต่ผ้าราคา 5 หยวนที่ยังไม่ได้นำไปตัดเย็บเสื้อผ้ากลับไม่สามารถนำมาคืนเธอได้ หล่อนคงอยากได้คืนสิท่า!
หญิงสารเลวคนนี้ จะต้องได้ยินข่าวลือจากในหมู่บ้านมาแน่นอนถึงได้ทำตัวผิดปกติแบบนี้
หลินเพ่ยลั่นหัวเราะฮ่า ๆ พลางเอ่ยว่า “อยู่กินกับเสี่ยวเจี๋ยนให้ดีเถอะ” จากนั้นก็รีบจากไป
หลินม่ายมองแผ่นหลังของหล่อนด้วยสีหน้าเย็นชา
คนที่ถูกเรียกว่าพี่สาวคนนี้มักจะชอบตั้งตนเป็นใหญ่ ในอดีตหล่อนใช้คะแนนของตัวเองสอบเข้ามหาวิทยาลัย หลอกให้เธอแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่ไม่เคยคบกันมาก่อน
ยืมมือของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนมาควบคุมเธอ ให้เธอเป็นเครื่องมือหากินให้ตัวเอง
เมื่อพบว่าทั้งสองคนมีลูกนอกสมรสด้วยกัน ทั้งยังวางแผนชิงทรัพย์สมบัติมหาศาลของเธอ หลังจากหลินม่ายถ่ายโอนทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปและเตรียมหย่าร้างกับชายชั่ว ก็ดันถูกทำร้ายจนตายคาบ้าน
แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเมื่อฟื้นขึ้นมาแล้วจะย้อนกลับมาในวันแต่งงานก่อนจดทะเบียนสมรสกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน
หลินม่ายนั่งเงียบ ๆ นิ้วมือจิกบนหัวเข่าอย่างแรง จนรู้สึกถึงความเจ็บปวดแล้วจึงคลายออก
ครั้งนี้ เธอจะต้องเอาชีวิตของตัวเองกลับมา ให้คนเหล่านี้ได้ชดใช้ในสิ่งที่สมควรได้รับอย่างสาสม!
หลินเพ่ย พี่ชายและพ่อแม่เดินออกจากหมู่บ้านสกุลอู๋ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นจากเพื่อนบ้านสกุลอู๋
ไม่นานหลินเพ่ยก็ได้เล่าถึงความผิดปกติของหลินม่ายให้กับหลินเจี้ยนกั๋วพ่อหลินและคนอื่นฟัง
ซุนกุ้ยเซียงกัดฟันกล่าวว่า “นังเด็กสารเลวนั้นคงอยากได้สินสอดและผ้าไหมมากสิท่า? ฝันไปเถอะ!รอให้กลับบ้านก่อนเถอะ คอยดูเถอะฉันจะฟาดหล่อน!”
หลินเพ่ยกระตุกยิ้มมุมปาก
ทันทีที่สกุลหลินจากไป เหยาชุ่ยฮวาก็คลานลงจากเตียงราวกับไม่เคยป่วยมาก่อน ก่อนจะเดินตรงไปทำอาหารเที่ยง
เก้าอี้และม้านั่งที่ถูกซ่อนอยู่ในห้องถูกยกเข้ามาในห้องโถง
แม้จะอยู่ในยุค 80 แต่ทั่วทั้งประเทศยังตกอยู่ในสภาวะยากจนข้นแค้น ซึ่งในหมู่บ้านกลับตกอยู่ในสภาวะยากจนยิ่งกว่า
มีอาหารก็แค่พอประทังปากท้องให้อิ่มเท่านั้น แต่กลับไม่มีไขมันหรือน้ำหล่อเลี้ยงร่างกายเพียงพอ ไม่กินข้าวมื้อเดียวก็หิวโซปานขาดใจ
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว พวกผู้ใหญ่และเด็ก ๆ ต่างพากันหิวโซจนซูบผอมไปหมด ถ้าเหยาชุ่ยฮวายังไม่ทำอาหาร อีกไม่กี่ชั่วโมงคงได้ก่อจลาจลแน่
มณฑลหูเป็นมณฑลทางใต้ของประเทศซึ่งรับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก ภายใต้สถานการณ์ที่ธัญพืชไม่เพียงพอ ทุกคนจึงต้องกินมันเทศประทังชีวิต
ที่ดินของหมู่บ้านสกุลอู๋เป็นที่ราบเรียบ มีการปลูกพืชเกษตรมากมาย ประกอบกับอยู่ใกล้กับตัวเมือง เดินทางเข้าเมืองสะดวก ดังนั้นเศรษฐกิจจึงดีกว่าหมู่บ้านบนภูเขาไม่น้อย
ซึ่งในภูเขาใหญ่ ทุกครัวเรือนในยุค 80 ยังต้องกินข้าวที่หุงผสมกับมันเทศ หมู่บ้านสกุลอู๋จึงไม่ค่อยมีคนกินมันเทศเป็นอาหารมื้อหลักมาตั้งแต่ยุค 70
แม้ว่าสกุลอู๋จะมีกำลังไม่เพียงพอเพราะจำนวนเด็กที่มากเกินไป จนฐานะทางบ้านไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่ถึงกับกินมันเทศเป็นอาหารหลัก
มันเทศยามตากแดดก็จะกลายเป็นมันเทศแห้ง ทำเป็นขนมกินเล่น หรือย่างกินก็ได้
แต่ในตอนที่เหยาชุ่ยฮวาทำอาหารกลับตั้งใจนึ่งมันเทศไปพร้อม ๆ กับหุงข้าว ตอนผัดผักก็ยังใช้ใบมันเทศที่ไว้ป้อนหมูมาผัดโดยไม่ใส่เกลือใส่น้ำมัน
เมื่อทำอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว เหยาชุ่ยฮวาก็ส่งเสียงตะโกนพร้อมกับคว่ำหม้อเสียงดังโครมครามอยู่ในครัว “เงินสินสอดก็ไม่ได้สักหยวน กินข้าวก็ยังต้องทำเผื่อ มันคุ้มกับสิ่งที่ตัวเองจะได้รับแล้วรึ!”
หลินม่ายไม่สนใจกับคำก่นด่าจากข้างนอก เธอนั่งบนเตียงอย่างนิ่งสงบ
อู๋จินกุ้ยทำได้แค่ให้ลูกสาวคนโตวัย 18 ปีอย่างอู๋เสี่ยวเถาไปเรียกหลินม่ายออกมากินข้าว
เมื่อหลินม่ายมาถึงห้องโถงกลาง บรรดาคนสกุลอู๋กลับไม่ได้มีสีหน้าที่ดีต่อเธอแต่อย่างใด ซึ่งเธอก็ไม่ได้ใจนัก นั่งลงที่โต๊ะโดยไม่สนใจใคร
เหยาชุ่ยฮวานั่งกินมันเทศนึ่งและใบมันเทศผัดต่อหน้าเธอด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
หลินม่ายกวาดตามองทุกคนแวบหนึ่ง
ทุกคนมีชามข้าวขาวหนึ่งใบ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนและน้องชายน้องสาวของเขามีไข่ต้มหนึ่งฟอง มีผัดปวยเล้งและมะเขือม่วงผัดซอสอย่างละชามวางอยู่บนโต๊ะอาหารเคลือบมัน
เธอไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ แค่ยกชามใบมันเทศผัดเทใส่ในชาม แล้วยกชามใบใหญ่ออกไปข้างนอก
เหยาชุ่ยฮวาส่งเสียงร้องถาม “ทุกคนกำลังกินข้าว เธอจะไปไหนอีก? เพิ่งแต่งงานเข้ามาก็จะแหกกฎกันแล้ว!”
หลินม่ายตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไปเดินเล่นในหมู่บ้านค่ะ ให้พวกชาวบ้านได้เห็นว่าฉันกินอะไร”
เธอไม่ใช่เด็กสาวขี้อายเหมือนในอดีตคนนั้นอีกแล้ว เกรงว่าเมื่อพวกชาวบ้านรู้ว่าเธอใช้ชีวิตอยู่ในบ้านสกุลอู๋อย่างลำบากคงพากันหัวเราะเยาะกันไม่น้อย
อาหารมื้อแรกของลูกสะใภ้ใหม่ในบ้านสามีคงทำให้พวกชาวบ้านพากันแอบดูหมิ่นกับการทำอะไรที่มันเกินไปของบ้านสกุลอู๋ก็เป็นได้
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ได้กลับมาเกิดใหม่ทั้งทีม่ายจื่อก็ขอฟาดสักหน่อยล่ะค่ะ พอกันทีกับการเป็นข้าทาสให้ครอบครัวทางแม่กับครอบครัวสามีข่มเหง
เป็นการเปิดตัวนางเอกที่ปังมาก ไม่แพ้อันหนิงกับชิงชิงของสองเรื่องก่อนเลย
ไหหม่า(海馬)