ตอนที่ 8 ในที่สุดก็ย้ายออก
โรคลมบ้าหมูมีความพิเศษอย่างหนึ่ง คือระยะเวลาของอาการนั้นสั้นมาก
เมื่อหมอเท้าเปล่าเร่งฝีเท้าตามเด็กสองคนนั้นมาถึง หลินม่ายก็กลับมาเป็นปกติแล้ว ทั้งยังได้รับการทำความสะอาดเนื้อตัวภายใต้การช่วยเหลือของพวกชาวบ้านอีกด้วย
ชาวบ้านเหล่านั้นห้อมล้อมหลินม่ายเพื่อซักถามถึงอาการของเธอ และสาเหตุของการร้องขอความช่วยเหลือ
หลินม่ายไม่ตอบคำถาม แค่ลอบมองไปยังสองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นรอบดวงตาคู่นั้น
เมื่อหมอเท้าเปล่าเห็นว่าหลินม่ายไม่เป็นไรแล้ว จึงกำชับทุกคนในบ้านสกุลอู๋อย่างเข้มงวดว่าอย่ากระตุ้นอาการของเธอ
ทั้งยังบอกอีกว่าโรคลมบ้าหมูนี้ตราบใดที่ไม่ได้รับการกระตุ้น โดยทั่วไปจะไม่กำเริบโดยง่าย
สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยรีบทักท้วงทันที พวกเขาไม่ได้ยั่วโมโหหลินม่าย เป็นเธอเองที่คลุ้มคลั่งคว่ำโต๊ะอาหาร จากนั้นก็อาการก็กำเริบ
พวกชาวบ้านต่างพากันมองสองสามีภรรยาและลูกชายคนโตของพวกเขาด้วยสายตาประหนึ่งตัวประหลาด
ทั้งสามคนถูกมองจนทำตัวไม่ถูก
หลังจากหมอเท้าเปล่าจากไป หลินม่ายก็กล่าวขอบคุณพวกชาวบ้าน จากนั้นก็ตามอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเข้าไปในลานบ้าน
พวกชาวบ้านค่อย ๆ สลายตัวไป แต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างเหล่านั้นยังคงเข้าหูคนสกุลอู๋อย่างต่อเนื่อง
“คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าครอบครัวจินกุ้ยจะร้ายกาจขนาดนี้ สะใภ้คนใหม่แต่งเข้ามาได้ไม่กี่วัน ก็ทรมานกันขนาดนี้!”
“ก็ครอบครัวพวกเขายังไม่ยอมรับนะสิ!”
“ไม่ยอมรับแล้วทำแบบนี้ได้เหรอ? สิบห้านาทีแรกที่ภรรยาของเสี่ยวเจี๋ยนอาการกำเริบ สองสามีภรรยาคู่นั้นยังด่าทอลูกสะใภ้อยู่เลย คำก่นด่านั้นเสียงดังมาก มีใครบ้างเล่าที่ไม่ได้ยิน!”
“วันที่ภรรยาของเสี่ยวเจี๋ยนกลับมาจากบ้านเกิด หล่อนถูกตบตีจนใบหน้าบวมเป่งและฟกช้ำ ทั้งยังบอกว่าเสี่ยวเจี๋ยนจะฆ่าหล่อนระหว่างทางด้วยนะ!”
“ไอหยา!เด็กคนนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องตายในเงื้อมมือของครอบครัวอู๋จินกุ้ยแน่!”
“เดี๋ยวนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตนะ!”
ครอบครัวของอู๋จินกุ้ยอึดอัดกับคำพูดเหล่านี้ ทั้งยังรู้สึกไร้อำนาจจนไม่อาจแก้ตัวได้
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกระชากตัวของหลินม่ายอย่างรุนแรงเข้ามาในห้องพวกเขา แล้วตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “เมื่อก่อนทำไมฉันถึงไม่เห็นว่าเธอแสดงละครเก่งขนาดนี้นะ?”
พ่อแม่ของเขาไม่รู้ว่าหลินม่ายแกล้งป่วย แต่เขารู้ดี
อย่าเพิ่งมองว่านังแพศยาคนนี้มีรูปร่างผ่ายผอม ร่างกายของเธอแข็งแรงมากเชียวล่ะ
หลินม่ายเอ่ยอย่างเยาะเย้ย “ก็นายบังคับให้ฉันต้องขุดเอาศักยภาพออกมาใช้เอง ตราบใดที่นายไม่ยอมย้ายฉันออกจากทะเบียนบ้าน ฉันจะก่อกวนไม่ให้ครอบครัวนายได้อยู่อย่างสงบสุขเลย ไม่เชื่อนายคอยดู!”
คิดว่าการไม่กลัวเธอจะไปฟ้องโรงเรียนเรื่องหลินเพ่ยแล้วเธอจะหมดหนทางอย่างนั้นเหรอ? เธอมีหนทางอีกเยอะ!
หลินม่ายพูดคำไหนคำนั้น เธอก่อเรื่องในบ้านทุกวัน ไม่กิน ก็ดื่ม
ไม่ทำตามเธอ เธอก็จะ “กำเริบ” ให้เห็น ทั้งยังแกล้งเป็นลมวันละหลายตลบ
พวกชาวบ้านถามถึงสาเหตุเธอก็ไม่ยอมพูด มีแต่น้ำตาที่คลอเบ้า แสดงท่าทางเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม
พวกชาวบ้านจึงคาดเดากันไปต่างๆ นานา ว่าบ้านสามีจะต้องไม่ให้เธอกินข้าวและทรมานเธอแน่นอน เธอจึงได้หิวโซจนเป็นลมอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับไม่กล้าพูดกับคนอื่น เพราะกลัวจะโดนเฆี่ยนตี
ถึงแม้ครอบครัวของอู๋จินกุ้ยจะพยายามปฏิเสธอย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยโกรธจนแทบจะท้อใจ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าหลินม่ายจะแกล้งท้อใจก่อน
ไม่หลั่งน้ำตาอย่างไร้เหตุผล ก็คุกเข่าขานเรียกพ่อแม่สามีด้วยน้ำเสียงขวัญหนีดีฝ่อต่อหน้าพวกชาวบ้าน พร่ำบอกว่าเธอจะทำตัวดี ๆ ขอแค่อย่าตีอย่าดุด่าเธอก็พอ
กระทั่งพยายามฆ่าตัวตายหลายต่อหลายครั้ง แต่เดชะบุญได้รับการขัดขวางจากชาวบ้านเสียก่อน
การแสดงละครของหลินม่ายนี้ ต่อให้พ่ออู๋และคนอื่นจะพยายามกระโดดแม่น้ำหวงเหอลบล้างความผิดอย่างไรก็ไม่มีทางลบล้างได้
พวกชาวบ้านจึงตัดสินว่าสกุลอู๋ข่มเหงรังแกลูกสะใภ้มาตลอด ทั้งยังบังคับกดขี่เธอจนสติเลอะเลือน
ยามดึกดื่นค่อนคืน ทั้งหมู่บ้านเข้าสู่ห้วงนิทรา ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือดที่ดิ้นทุรนทุรายของพ่อแม่สกุลอู๋ดังขยายมาจากบ้านอู๋เสี่ยวเจี๋ยน “ฆ่าคนแล้ว!นังบ้านั่นจะฆ่าคนแล้ว!”
พวกชาวบ้านจำนวนไม่น้อยต่างสวมเสื้อคลุมเดินออกมาดูเหตุการณ์
ภายใต้แสงจันทร์เย็นยะเยือก หลินม่ายถือมีดทำครัวสะท้อนแสงแวววาวไล่แทงพ่อแม่สามี ปากก็พร่ำตวาดอย่างโกรธแค้น “ฉันถูกพวกแกบอกว่าฉันแกล้งป่วย ฉันถูกพวกแกตีฉันด่าฉัน ฉันจะแทงพวกแกเดี๋ยวนี้!”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนวิ่งนำน้องชายเพียงคนเดียวและน้องสาวทั้งสี่คนที่วิ่งไล่ตามหลังอย่างไม่ลดละ ไล่ตามพลางตะโกนว่า “ม่ายจื่อ มีอะไรก็พูดกันดี ๆ อย่าฆ่าแกงกันเลย!”
หลินม่ายทำเป็นหูทวนลม
พวกชาวบ้านเห็นก็ได้แต่ส่ายหน้า “บีบบังคับจนหล่อนกลายคนบ้า ยังมีหน้าไปบอกให้หล่อนหยุด คนบ้าที่ไหนเขาจะฟัง!”
นินทาก็ส่วนนินทา แต่พวกชาวบ้านไม่ได้นิ่งดูดาย ทุกคนต่างล้อมกันเข้าไป แล้วแย่งมีดมาจากมือของหลินม่าย
หลินม่ายถูกหญิงสาวชาวบ้านที่แข็งแรงกว่าเหล่านั้นจับแขนไว้ แต่กลับยังดิ้นพล่านอย่างสุดกำลัง ร้องไห้คร่ำครวญถึงความทรมานที่ครอบครัวสามีปฏิบัติต่อเธอ ท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้นทำให้คนเห็นแล้วถึงกับทำอะไรไม่ถูก
ทุกคนพยายามโน้มน้าวเธออยู่นาน จนเธอค่อย ๆ สงบลง แต่ไม่ยอมกลับบ้านสกุลอู๋ บอกว่าถ้ากลับไปจะต้องถูกบ้านสามีฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหดแน่นอน
ผู้ใหญ่บ้านและพวกชาวบ้านรับประกันว่าจะไม่ให้สกุลอู๋ทำร้ายเธอได้อีก เธอถึงจะยอมกลับบ้านสกุลอู๋ไป
ยามดึกดื่นค่อนคืนสองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยยังคงหวาดกลัวหลินม่ายจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทันทีที่กลับถึงบ้านก็ให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจับหลินม่ายโยนออกไป
พวกเขาไม่อยากได้สะใภ้คนนี้แล้วจริง ๆ
ครั้งนี้หลินม่ายไม่ได้แทงพวกเขา แต่ใครจะรับประกันได้ว่าครั้งต่อไปพวกเขาจะโชคดีแบบนี้อีก?
หลินม่ายเป็นบ้าไปแล้ว แทงคนขึ้นมาก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร อย่าว่าแต่พวกเขาถูกแทงเลย ต่อให้ถูกแทงจนตายก็ทำได้แค่ยอมรับว่าเป็นเพราะตนโชคร้ายเอง
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับไม่เห็นด้วย
ยิ่งหลินม่ายก่อเรื่องหนักข้อมากเท่าใด ก็ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าเธอกำลังบีบให้ต้องเขาย้ายเธอออกจากทะเบียนบ้าน หลุดพ้นจากสกุลอู๋และสกุลหลิน แบบนั้นเขายิ่งยอมให้เธอสมหวังไม่ได้
สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยสงบลงได้ในที่สุด และรู้สึกว่าการโยนลูกสะใภ้ออกไปคงขาดทุนแย่ ถึงอย่างไรนั้นก็คือสะใภ้ที่พวกเขาต้องทุ่มเงินเป็นจำนวนสิบหยวนและผ้าห้าหยวน ข้าวหนึ่งถุงใหญ่แลกกลับมา
เรื่องนี้คงต้องยอมแพ้ชั่วคราว แต่ฝันร้ายของพวกเขากลับไม่เคยสิ้นสุดลง
ต่อมาหลินม่ายก็คว้ามีดทำครัวอย่างคน “ขาดสติ” ไล่แทงสองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยอีกหลายครั้งหลายครา
ไล่ตามตั้งแต่หน้าหมู่บ้านไปยังท้ายหมู่บ้าน และจากท้ายหมู่บ้านไปยังหน้าหมู่บ้าน บทพูดเดิมเป๊ะ เค้นถามพวกเขาแทบขาดใจว่าทำไมถึงต้องทรมานเธอ
ละครฉากนี้ยังคงแสดงซ้ำไปมาอีกหลายรอบ จนทำให้สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยแทบคลั่งเช่นกัน
เพราะความเสียสติของหลินม่ายไม่เลือกเวลา และมักจะกำเริบในเวลากลางคืน
นอนหลับอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็มีคนถือมีดไล่แทง นั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่ชวนผวาเกินไปหรือ
ประกอบกับที่หลินม่ายเคยจะจุดไฟเผาบ้านมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้จะเจอได้ทันเวลา จึงไม่เกิดหายนะครั้งใหญ่นี้ขึ้น แต่ทุกคนก็ตื่นตกใจจนสติแตกกระเจิงไปแล้ว
เหยาชุ่ยฮวาทนไม่ไหวอีกต่อไป สั่งให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไล่หลินม่ายออกจากบ้าน
หลินม่ายกลับไม่ยอมไป นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้าประตูลานบ้าน
ผู้ใหญ่บ้านและพวกชาวบ้านต่างวิ่งมาช่วยโน้มน้าว สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยให้หลินม่ายเข้าห้องไปโดยไม่ได้ตอบโต้
ไม่เพียงแต่สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยที่ถูกทรมานจนแทบเป็นบ้า แม้แต่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็ยังทนไม่ได้
บางคืนนอนหลับอยู่ดี ๆ มีดทำครัวที่ซ่อนไว้ในบ้านก็ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ในมือนังแพศยาได้อย่างไร และยังกดลงมาบนลำคอที่หดเกร็งด้วยความกลัวของเขา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาหวาดผวาสติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
อีกทั้งเขาต้องท้องเสียอยู่หลายครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ กระทั่งสงสัยว่าหลินม่ายวางยา
ไล่เท่าไรก็ไม่ไป แถมยังก่อปัญหาเป็นว่าเล่น
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยอมแพ้ ทำได้แค่ลอบติดต่อให้คนรู้จักช่วยแก้ไขอายุให้หลินม่ายโตขึ้นหนึ่งปี จากนั้นก็ย้ายเธอออกจากทะเบียนบ้านของสกุลหลิน ออกไปสร้างสำมะโนครัวคนเดียว
วันย้ายออก หลังจากออกจากสถานีตำรวจ หลินม่ายกอดสมุดทะเบียนบ้านของตัวเองไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ใบหน้าก็ยิ้มแย้มอย่างเบิกบานใจ
อู่เสี่ยวเจี๋ยนเห็นเธอยิ้มอย่างเบิกบานใจแบบนี้ ก็แอบหงุดหงิดในใจ
ในอดีตนังแพศยาคนนี้รักเขามาก เลียแข้งเลียขาเอาใจเขาสารพัด ตอนนี้แม้แต่ความรักและความห่วงหาอาวรณ์ก็ไม่มีแม้แต่น้อย
เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้อเสนอของเธอฉันก็ทำให้แล้ว หวังว่าเธอจะรักษาสัญญา ห้ามฟ้องพี่สาวของเธอไปตลอดชีวิต”
หลินม่ายตอบรับหนึ่งเสียงอย่างอารมณ์ดี
แต่ในใจกลับคิดว่า ทำไมฉันต้องรักษาสัญญากับผู้ชายห่วยแตกคนนี้ด้วย!
ไม่ฟ้องหลินเพ่ย ไม่ทำลายอนาคตของหล่อน แบบนั้นเธอต้องรู้สึกผิดกับโอกาสที่ได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งนะสิ
เธอรอจังหวะที่เหมาะสมมาเนิ่นนาน กระทั่งยอมหยิกเล็บเจ็บเนื้อ
ถ้าฟ้องร้องหลินเพ่ยก่อนถูกย้ายออก อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจะต้องขังเธอไปตลอดชีวิตแน่นอน ทั้งยังฆ่าเธอตายอย่างอนาถ
ชาตินี้เธอจะต้องได้มีชีวิตที่ดี เพื่อให้ตัวเองรอดต่อไป หากไม่อดทนเรื่องเล็กน้อยก็อาจจะทำให้เสียการใหญ่!
อู่เสี่ยวเจี๋ยนลอบวางใจอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเห็นหลินม่ายยังตามตัวเอง จึงเกิดความรังเกียจอย่างอดไม่ได้ “ทำไมเธอยังไม่ไสหัวไปอีก ตามฉันมาทำไม?!”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ฝีมือการแสดงชั้นเลิศมากม่ายจื่อ เล่นละครจนฝ่ายบ้านสามีทนไม่ไหวต้องยอมให้ออกเลยทีเดียว
ต่อไปนี้ม่ายจื่อจะเป็นอิสระแล้ว เย้
ไหหม่า(海馬)