ตอนที่ 7 เปิดฉากเล่นใหญ่
ตอนนี้เองหลินม่ายก็เริ่มร้องไห้คร่ำครวญ “กลับบ้านเกิดวันนี้ ไหน้ำมันไช่จื่อที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนตั้งใจเอาไปให้พี่สาวฉันเกิดตกแตก พี่สาวฉันเลยด่าสาดเสียเทเสียโดยไม่รู้จักแยกผิดชอบชั่วดี หาว่าฉันทำไหน้ำมันใบนั้นตกแตก ฉันโกรธมาก จึงโพล่งออกไปเพียงสองคำ แต่เสี่ยวเจี๋ยนกลับไม่พอใจ ระหว่างทางกลับบ้านเขาจึงทุบตีฉันหมายจะเอาชีวิต ทำร้ายฉันจนสภาพยับเยินแบบนี้”
เธอร้องไห้โฮๆ ฮือ ๆ อย่างสุดจะเวทนา ส่งผลให้คนฟังเสียใจและพากันหลั่งน้ำตา
“ลุงป้าน้าอาทั้งหลาย ถ้าวันไหนที่พวกท่านไม่เห็นฉัน วันนั้นคงเป็นวันที่ฉันตายด้วยน้ำมือของเสี่ยวเจี๋ยนไปแล้ว เพราะฉันเก็บความลับที่พี่สาวของฉันบอกใครไม่ได้ไว้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจระบายอารมณ์ จงใจทุบตีให้ฉันเจ็บปวดเจียนตาย”
ระหว่างทางกลับ ผู้ชายห่วยแตกคนนี้คิดจะฆ่าเธอให้ตาย ทำไมหลินม่ายจะดูไม่ออก
ก่อนจะย้ายออกไป เธอยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในรังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างบ้านสกุลอู๋แห่งนี้ไปอีกระยะหนึ่ง
เพื่อปกป้องชีวิตของตัวเองให้รอดปลอดภัย เธอต้องปล่อยข่าวลือ ว่าชีวิตของเธอได้รับการคุกคามจากอู๋เสี่ยวเจี๋ยน
มีแค่ทางนี้เท่านั้น ไม่เพียงผู้ชายห่วยแตกคนนี้ รวมทั้งครอบครัวของเขาก็จะไม่กล้าทำร้ายเธออีก
ถ้าเธอมีอันเป็นไป คนแรกที่ตำรวจจะสงสัยก็คือครอบครัวของพวกเขา
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนโกรธกระฟัดกระเฟียด แล้วตวาดออกไปด้วยความโกรธ “ไม่ใช่แบบนี้!”
“งั้นก็ตามนี้ ฉันจะบอกความลับของพี่สาวฉันต่อหน้าทุกคน!”
หลินม่ายกลัวการไร้ที่พึ่ง แต่เพราะถูกบีบจนไม่มีทางเลือก จึงต้องทำตัวฮึกเหิมแสดงบทต่อต้านให้ดูสมจริง
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนได้รับการเตือนจากคำพูดของเธอ จึงทำได้แค่ปิดปากอย่างเกลียดชัง ปล่อยให้หลินม่ายโยนความผิดใส่ตัวเขาเองโดยที่ทำอะไรไม่ได้
หลังจากทั้งสองคนเดินออกไปไกลแล้ว อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็ยังไม่วายได้ยินพวกชาวบ้านพากันซุบซิบนินทาอยู่แว่วๆ “คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเสี่ยวเจี๋ยนจะร้ายกาจขนาดนี้ คิดจะฆ่าคนปิดปาก!”
“ไม่เพียงแค่เสี่ยวเจี๋ยนนะที่ร้ายกาจ พี่สาวของลูกสะใภ้คนนี้ก็ใช่ว่าจะวิเศษวิโส เอาสินสอดและผ้าของน้องสาวไปปรนเปรอค่าเล่าเรียน ค่ากิน และการแต่งตัวจนหมด”
“พวกเธอว่า —— พี่สาวของสะใภ้เสี่ยวเจี๋ยนมีความลับอะไรที่บอกใครไม่ได้กันนะ ถึงทำให้เสี่ยวเจี๋ยนคิดจะฆ่าปิดปากขนาดนี้?”
“หล่อนกับเสี่ยวเจี๋ยนคงไม่ได้…..พวกเธอเข้าใจความหมายของฉันใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดซุบซิบของพวกชาวบ้าน อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็พลันโกรธลมออกหูจนอยากจะถลกหนังของนังแพศยาที่เดินตามอยู่ข้างหลังออกมาให้รู้แล้วรู้รอด!
ทั้งหมดเป็นเพราะเธอ ทำให้ชื่อเสียงของหญิงผู้เป็นที่รักของเขาเสียหายป่นปี้!
เมื่อกลับถึงบ้าน เรื่องแรกที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนทำคือการพุ่งตัวเข้าไปตรวจสอบท่อนล่างของตัวเองในห้องส้วมทันที ปรากฏว่ามันทั้งแดงทั้งบวม อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว
เขาไม่สนใจแม้แต่จะกินอาหารมื้อค่ำ ตรงไปหาหมอเท้าเปล่า*ให้ดูอาการทันที
ถ้าตัวเองเป็นผู้ชายที่นกเขาไม่ขันขึ้นมา ต่อไปจะสุขสมอารมณ์หมายกับเทพธิดาได้อย่างไร? เขาและหล่อนยังไม่เคยมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกันเลยนะ!
เมื่อครู่ในตอนที่หลินม่ายฟ้องว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนตบตีเธอกับพวกชาวบ้านนั้น หมอเท้าเปล่าบังเอิญเดินผ่านมา ด้วยเหตุนี้จึงได้ยินพอดี
เมื่อเห็นอู๋เสี่ยวเจี๋ยนมาขอทำการรักษา ก็ลอบตัดสินได้ว่าอาการบาดเจ็บท่อนล่างของเขานั้นได้มาจากการต่อต้านของหลินม่าย
ด้วยเหตุนี้จึงทำการตรวจอาการครู่หนึ่ง แม้ว่าจะดูร้ายแรง แต่ก็ยังใช้การประคบเย็นได้ อีกหายสองสามวันก็น่าจะหายบวม ถ้าหายบวมได้ก็ไม่มีปัญหา
หมอเท้าเปล่าดูหมิ่นท่าทางของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ไม่อยากรักษาให้เขา แต่ก็ไม่อยากให้เอาความลับนั้นมาข่มขู่
จึงตั้งใจคุยโวถึงอาการบาดเจ็บ ให้เขาไปรักษากับหมอในเมืองหลวงประจำมณฑล
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนนิ่งงันไปชั่วขณะ “ไปรักษากับหมอในเมืองหลวงประจำมณฑล? งั้นต้องใช้เงินเท่าไหร่ละ”
“หลักร้อยเป็นอย่างต่ำ”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลืนน้ำลายดังอึก “งั้น..ถ้าไม่รักษาจะพิการไหม?”
หมอเท้าเปล่าโบกมือ “ไม่ถึงขนาดนั้น สองสามเดือนก็หายสนิทแล้ว แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีถึงจะทำกิจกรรมกับภรรยาได้”
เขาคงทำผู้ชายห่วยแตกคนนี้ตกใจไม่ได้ ถ้าบอกว่าเขาจะพิการถ้าไม่รักษา เกรงว่าเขาคงไปฆ่าเด็กสาวผู้น่าสงสารอย่างหลินม่ายเพราะเหตุนี้
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถอนหายใจ หายเองก็ดี เพราะคงไม่มีใครยอมเสียเงิน 100 หยวนมารักษาให้เขาแน่!
ตกค่ำ หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว สามีภรรยาจอมลวงโลกที่เกลียดชังกันยิ่งกว่าอะไรดีก็เดินตามกันเข้ามาในห้อง
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจุดตะเกียงน้ำมัน ก่อนจะมองพิจารณาใบหน้าที่บวมเป่งเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำของหลินม่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ทำไมหน้าเธอถึงได้บวมเป่งเหมือนหัวหมูอืดแบบนี้?”
หลินม่ายเลิกคิ้วและสบตากับเขาด้วยแววตาเยาะเย้ย “นายรู้อยู่แก่ใจยังจะกล้าถามฉันอีก ไม่ใช่เพราะนายตบจนเป็นแบบนี้หรอกเหรอ?”
เธอจะบอกเขาได้อย่างไร ว่าเธอแพ้ผลไม้ป่าชนิดหนึ่งบนภูเขา
ต่อให้กินแค่คำเดียว ก็ทำให้หน้าของเธอบวมเป่งจนกลายเป็นหัวหมูอืดแบบนี้ได้ แต่อีกไม่กี่วันก็คงหาย
รสชาติของผลไม้ชนิดนี้ค่อนข้างแย่ ทั้งเปรี้ยวทั้งฝาด แม้แต่เด็กที่กินทุกอย่างบนภูเขาก็ยังไม่เด็ดผลไม้ชนิดนี้กินเลย
อีกทั้งผลไม้ชนิดนี้ไม่ค่อยร่วงลงจากต้นนัก ดังนั้นแม้จะเข้าสู่ฤดูหนาวก็ยังเด็ดกินได้
สำหรับรอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าของเธอ ก็แค่ไปลูบเอาผลไม้พวกเบอร์รี่ที่พบเห็นได้ตามภูเขาทั่วไป
ระหว่างทางกลับ เธอกินผลไม้ป่าที่มีฤทธิ์ทำให้แพ้เข้าไปหนึ่งคำ แล้วใช้ผลไม้พวกเบอร์รี่ถูทาบนหน้า จนทำให้มีสีเหมือนโดนเขาตบตีสมจริง
เมื่ออู๋เสี่ยวเจี๋ยนเห็นเธอไม่ยอมพูด จึงล้มตัวนอนลงอย่างกระฟัดกระเฟียด
ผ่านไปสี่ถึงห้าวัน หลินม่ายก็เห็นว่าผู้ชายห่วยแตกคนนี้ยังไม่ย้ายเธอออกมาจากทะเบียนบ้าน
ตกดึกวันนี้ ทั้งสองคนต่างอยู่ในห้อง
หลินม่ายจึงรีบไถ่ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลอกฉันเหรอ นี่ผ่านไปตั้งกี่วันแล้ว นายยังไม่ย้ายฉันออกจากทะเบียนบ้านอีก!”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนแสดงสีหน้าเหมือนทองไม่รู้ร้อน “ฉันไม่เชื่อเธอหรอก ฉันกลัวว่าถ้าฉันย้ายเธออกไป เธอจะกลับไปฟ้องพี่สาวของเธอ รอให้พี่สาวของเธอเรียนจบมัธยมปลายปีที่สามก่อน แล้วฉันจะย้ายเธอออกแน่นอน เธอวางใจได้เลย”
หลินม่ายยิ้มเยาะเย็นเยียบ “จะผัดวันประกันพรุ่งกับฉันใช่ไหม เชื่อไหมว่าพรุ่งนี้ฉันไปฟ้องร้องหญิงผู้เป็นที่รักของนายได้เลยนะ!”
“ไปสิ ถ้าเธอกล้าฟ้องร้องพี่สาวของเธอ ฉันจะขังเธอไว้ตลอดไป ให้ทรมานอยู่กับฉันไปชั่วชีวิตเลย!”
หลังจากครุ่นคิดมาหลายวัน อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็เจอจุดอ่อนของหลินม่าย นั้นก็คือเรื่องที่เธออยากย้ายออกจากทะเบียนบ้านให้ห่างจากสกุลอู่และสกุลหลิน
เขาคว้าเรื่องนี้กลับมาข่มขู่เธอโดยสมบูรณ์ ตราบใดที่เธอไม่เชื่อฟัง เขาจะไม่ย้ายเธอออกแน่นอน ดูสิว่าเธอจะกล้าสร้างปัญหาไหม!
จบเห่แน่เธอ!
หลินม่ายมีสีหน้าเคร่งเครียด “คิดจะขู่ฉันเหรอ? ถ้านายไม่เสียใจภายหลังก็ลองดู!” พูดจบ ก็นอนลงบนเตียง
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยิ้มเยาะเย้ยหยัน เขาไม่เชื่อว่าเธอจะทำอะไรได้!
เช้าตรู่วันที่สอง หลินม่ายให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนบังคับแม่ของเขาทำไข่ตุ๋นให้เธอ
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยิ้มเยาะเย็นเยียบหนึ่งเสียง “เธอไปกินขี้เถอะ!” จากนั้นก็เดินออกจาห้องไป
ไม่เพียงแต่ไม่ให้แม่เขาตุ๋นไข่ให้เธอกินแล้วเท่านั้น ยังพูดกับแม่ของเขาอีกว่านับแต่นี้ไปต้องนึ่งมันเทศให้หลินม่ายกินสามมื้อทุกวัน
เหยาชุ่ยฮวารู้สึกปลื้มใจหลังจากอมทุกข์มานาน มองลูกชายคนโตของตัวเองอย่างชื่นชม “แกเก่งมาก! ที่เอาเมียแกอยู่หมัด!”
ตอนกินมื้อเช้า หลินม่ายเห็นทุกคนในบ้านสกุลอู๋กินข้าวขาว มีแค่เธอที่กินมันเทศอยู่คนเดียว
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนชำเลืองตามองเธอด้วยแววตาเยาะเย้ย
หลินม่ายไม่พูดพร่ำทำเพลงและคว่ำโต๊ะ ทำให้ถ้วยชามและตะเกียบระเนระนาดบนพื้น
พ่ออู๋และแม่อู๋แทบจะคลั่ง ชี้หน้าด่าหลินม่ายสาดเสียเทเสีย เกือบจะคว้าไม้มาฟาดเธอให้ตายตรงนั้น
หลินม่ายไม่ปริปากโวยวายสักแอะ นอกจากหมุนตัวแล้ววิ่งออกไปข้างนอก
หลังจากวิ่งออกจากลานบ้าน ก็ร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมกับร่างที่ทรุดไปกับพื้น น้ำลายฟูมปาก ท่าทางเหมือนจะตายได้ทุกเมื่อ
ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยต่างวิ่งเข้ามารุมล้อมหลินม่ายไว้
ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมียเสี่ยวเจี๋ยนเป็นมันโรคลมชักเหรอเนี่ย?”
หญิงชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจว่า “แบบนั้นตายได้นะ? รีบไปเรียกหมอเท้าเปล่ามาดูอาการเร็วเข้า”
เด็กหนุ่มที่แลดูอ่อนเยาว์และแข็งแรงสองคนต่างก็วิ่งไปตามหมอเท้าเปล่าทันที
ชาวบ้านในชนบทแห่งนี้เรียกลมบ้าหมูว่าโรคลมชัก
แม้จะบอกว่าอาการป่วยนี้ร้ายแรงมาก แต่เวลาไม่มีอาการก็เหมือนคนปกติทั่วไป ทว่าเมื่ออาการกำเริบกลับเหมือนคนใกล้ตาย
เมื่อปีก่อน หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านของพวกเขาออกไป 5 ลี้ มีชายคนหนึ่งมีอาการโรคลมชักกำเริบ ไม่ถึง 10 นาทีเขาก็สิ้นใจ
ดังนั้นชาวบ้านเหล่านี้ถึงได้ลนลานแบบนี้
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนและคนอื่น ๆ พร้อมใจกันวิ่งออกมา เมื่อเห็นหลินม่ายที่นอนชักดิ้นชักงอน้ำลายฟูมปากอยู่บนพื้น พ่ออู๋และแม่อู๋ก็เบิกตากว้าง นังแพศยาคนนี้อาการกำเริบงั้นเหรอ?
สองสามีภรรยาสกุลอู๋จำได้ว่าก่อนหน้านั้นพี่สาวของนังแพศยาคนนี้แอบวิ่งมาบอกพวกเขาว่านังแพศยาคนนี้เป็นโรคลมชัก
มีแค่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเท่านั้นที่มองหลินม่ายด้วยแววตาเย็นเยียบสีหน้าเคร่งขรึม ในสายตาของชาวบ้าน ท่าทางนั้นช่างอำมหิตยิ่งนัก
………………………………………………………………………………………………………………………..
*หมอเท้าเปล่า คือ เกษตรกรที่ได้รับการฝึกการแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐานขั้นต่ำและทำงานในหมู่บ้านชนบทในประเทศจีน
สารจากผู้แปล
เล่นใหญ่รัชดาลัยมากม่ายจื่อ ไปเป็นนักแสดงได้เลย
หลัวชั่วนี่คิดจะต่อต้านสินะ ดูถูกหลินม่ายการละครกันเกินไปแล้ว ไม่ว่าจะทางไหนม่ายจื่อก็หาทางกลับมาเหนือกว่าได้อยู่ดี
ไหหม่า(海馬)