ตอนที่ 26 อยากสู่ขอเธอมาเป็นภรรยาไหม
เวลาล่วงเลยมาถึงสี่โมงกว่า หลินม่ายแบกโต้วโต้วพลางผิวปากตลอดทางมาขึ้นรถไฟให้ทันเที่ยวหกโมงเย็น
สุดท้ายก็ขึ้นรถไฟในช่วงสองสามนาทีสุดท้าย และกลับถึงบ้านของคุณย่าฟางและคุณปู่ฟางในเวลาหนึ่งทุ่มเศษ
ถ้าสองแม่ลูกหลินม่ายยังไม่กลับบ้าน คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางจะไม่กินมื้อค่ำเด็ดขาด เมื่อพวกหล่อนกลับมาถึง คุณย่าฟางก็รีบตั้งสำรับมื้อเย็นทันที
หลินม่ายตำหนิด้วยความละอายใจ “คุณปู่คุณย่านี่จริง ๆ เลย ครั้งที่แล้วที่พวกหนูกลับบ้านดึกก็พูดกับพวกท่านทั้งสองแล้วนะ ว่าทำอาหารเสร็จไม่ต้องรอพวกหนู กินกันก่อนเลย ทำไมยังรอพวกหนูอีกละคะ?”
ผู้เฒ่าทั้งสองจัดเตรียมตะเกียบและชามข้าวเรียบร้อย คุณย่าฟางยิ้มตาหยีพลางเอ่ยว่า “กินข้าวด้วยกันคึกคักกว่า”
และถามอีกว่า “ทำไมวันนี้ถึงกลับดึกล่ะ ขายไม่ดีเหรอ?”
หลินม่ายส่ายหน้า “เปล่าจ้ะ มีคนหวังร้ายคิดแย่งธุรกิจของหนู เลยตั้งใจจะเปลี่ยนทำเลร้าน เสียเวลาหาสถานที่ และซื้อบ้าน ทำให้กลับดึกแบบนี้ค่ะ”
คุณปู่ฟางถึงกับหน้าหงิกลงทันที “ใครกันหวังร้ายคิดแย่งธุรกิจของเธอ? บอกฉันมา ฉันจะออกหน้าแทนเธอเอง!”
หลินม่ายยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ศาสตราจารย์ฟางออกหน้าแทนหนูแล้ว”
ต่อให้ฟางจั๋วหรานไม่ช่วยเธอ เธอก็ไม่มีทางให้คุณปู่ฟางเป็นกังวลแทนเธอแน่นอน เธอรับมือเองได้
คุณปู่ฟางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “แต่นั่นก็ทำให้เธอต้องเปลี่ยนที่ขาย!”
“คนย้ายที่อยู่เพื่อความอยู่รอด ต้นไม้ย้ายถิ่นฐานเท่ากับตาย หนูอยากให้ธุรกิจเจริญก้าวหน้ามากกว่านี้”
คุณปู่ฟางจึงไม่พูดอะไรต่อ
คุณย่าฟางจัดเตรียมอาหารค่ำพลางเอ่ยอย่างผิดหวัง “ไปซื้อบ้านในเมืองแล้ว หมายความว่าจะย้ายออกไปเร็ว ๆ นี้ใช่ไหม?”
หลินม่ายพยักหน้า แล้วหันกลับมาเอ่ยกับคุณปู่ฟาง “รบกวนคุณปู่ฟางช่วยเช่ารถแทรกเตอร์ให้หนูสักคันนะคะ หนูต้องการขนเกาลัดหนึ่งหมื่นชั่งเข้าเมือง ต่อไปหนูจะได้ไม่ต้องไปกลับทุกวันอีกแล้ว”
แรกเริ่มสุดเธอตั้งใจจะขนเกาลัดแค่หนึ่งถึงสองพันชั่งเข้าเมืองไปก่อน แต่พอซื้อบ้านที่ใหญ่มากพอ เลยอยากขนเกาลัดให้หมดในคราวเดียว จะได้ประหยัดเวลาด้วย
คุณปู่ฟางตอบรับด้วยน้ำเสียงมีความสุข
คุณย่าฟางเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เอาเกาลัดไปตั้งมากมายขนาดนั้น จะขายหมดก่อนปีใหม่เหรอ?”
“ก่อนปีใหม่ขายไม่หมด ค่อยขายต่อหลังปีใหม่ต่อค่ะ”
จากประสบการณ์เมื่อครั้งอดีตชาติของหลินม่ายพบว่าเมื่อถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ ผู้คนในเมืองเอกประจำมณฑลต่างก็ยื้อแย่งกันบริโภคจนแทบไม่พอขาย
วันหยุดแค่เจ็ดวัน ขายอะไรก็ได้เงินทั้งนั้น ไม่แน่ว่าเกาลัดหมื่นชั่งอาจจะขายหมดเกลี้ยงก่อนถึงวันที่สิบห้ากลางเดือนก็ได้
คุณปู่ฟางเอ่ยถามหลังจากคิดได้ “เธอซื้อบ้านในเมืองแล้วเหรอ? แล้วเธอเอาเงินมากมายจากที่ไหนไปซื้อบ้าน?”
หลินม่ายทำการอธิบาย “ไม่มีเงินหรอกค่ะ หนูยังไม่ได้ซื้ออย่างเป็นทางการ แค่ทำสัญญาซื้อขายกับเจ้าของไว้ก่อนเท่านั้น”
คุณปู่ฟางตอบ ‘อือ’ หนึ่งเสียง แล้วเอ่ยถามว่า “บ้านหลังนั้นอยู่ที่ไหน เท่าไหร่?”
“แถวท่าเรือเยวี่ยฮั่นที่ใกล้กับท่าเรือข้ามฟากฮั่นโขวค่ะ ราคาแปดร้อยหยวน”
คุณย่าฟางเบิกตากว้าง “แปดร้อยหยวน? แพงมาก!”
หลินม่ายยิ้ม “ไม่แพงเลยค่ะ กว่าคนงานหนี่งคนจะได้เงินก้อนนี้ต้องไม่กินไม่ดื่มเลนเป็นเวลาสามปีนะคะ”
ในช่วงสิบปีสุดท้ายเมื่อครั้งอดีตชาติของเธอ คนงานคนหนึ่งยอมไม่กินไม่ดื่มเป็นเวลาสามสิบปีถึงจะซื้อบ้านที่มีพื้นที่ไม่เกินหนึ่งร้อยตารางเมตรหนึ่งหลังได้
คุณย่าฟางพึมพำออกมา “เด็กคนนี้ ใครเล่าจะยอมไม่กินไม่ดื่ม”
นี่คือหลักความเป็นจริง แม้คนงานในเมืองจะมีเงินเดือน แต่แค่พอประทังชีวิตคนในครอบครัวเท่านั้น จะเก็บเงินมันไม่ใช่เรื่องง่าย
จึงพูดได้ว่า ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน การซื้อบ้านสักหลังเป็นเรื่องที่ยากมาก
หลังกินมื้อค่ำเสร็จ หลินม่ายได้บอกกล่าวคุณย่าฟาง ว่าจะออกไปหาหลี่เถียหนิว ตั้งใจจะเชิญเขามาเป็นผู้ช่วยคั่วเกาลัดด้วยกัน จะได้หาเงินได้เพิ่มขึ้น
คุณย่าฟางถึงกับแย้งเธอ “เธอพาหลี่เถียหนิวไปขายเกาลัดในเมืองแบบนี้ ดู….ไม่ค่อยงามมั้ง”
“คุณย่ากลัวว่าเราจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านเรื่องที่ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันใช่ไหมคะ? ง่ายจะตายไป แค่พาภรรยาของเขาไปด้วยก็จบเรื่องแล้ว”
เธอและหลี่เถียหนิวมีหน้าที่ขายเกาลัด และกะเทาะเปลือกเกาลัด จากนั้นก็ให้ภรรยาของเถียหนิวนำไปขาย เท่ากับว่าหล่อนก็มีงานทำไปในตัว
เวลานี้ เกาลัดที่เธอขายส่วนใหญ่ล้วนเป็นเกาลัดที่ผ่านการกะเทาะเปลือกโดยคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางอยู่ที่บ้าน
การขนเกาลัดไปขายท่าเรือเยวี่ยฮั่น คุณปู่และคุณย่าฟางคงจะตามไปช่วยกะเทาะเปลือกเกาลัดให้เธอไม่ได้
คุณย่าฟางมองเธอและเอ่ยว่า “ภรรยาของเถียหนิวตายไปหลายปีแล้ว”
หลินม่ายอึ้งงันอยู่ที่เดิม เธอไม่เคยรู้เรื่องความรักของหลี่เถียหนิวมาก่อน เลยไม่รู้ว่าเขาเป็นพ่อม่าย
คุณปู่ฟางโบกมือไปมา “ถึงไม่มีภรรยา แต่เธอก็พาแม่และลูกสาวของเถียหนิวไปในเมืองด้วยกันได้ แบบนี้คนนอกจะได้ไม่เอาไปนินทาด้วย”
หลินม่ายมาเยือนในเวลากลางคืน ทำเอาสองแม่ลูกเถียหนิวพากันประหลาดใจ แต่ก็ยังกล่าวทักทายเธออย่างกระตือรือร้น ทั้งยังหาผ้ามาเช็ดเก้าอี้เชื้อเชิญเธอนั่ง ชงชารินชาให้อีกด้วย
หลินม่ายรีบขวางไว้ “คุณป้า พี่ใหญ่หลี่ พวกคุณไม่ต้องวุ่นวายขนาดนี้ก็ได้ค่ะ ฉันแค่อยากมาคุยเรื่องบางอย่าง เดี๋ยวก็กลับแล้ว”
แม่เฒ่าเถียหนิวยื่นชาแก้วหนึ่งให้เธอ “เรื่องอะไร”
“ฉันอยากพาพี่เถียหนิวไปคั่วเกาลัดขายในเมืองหลวงค่ะ มีอาหารเลี้ยงสามมื้อ วันละห้าหยวน ไม่รู้ว่าพี่เถียหนิวจะยอมไปไหม”
ไม่เพียงแต่เถียหนิว แม้แต่แม่ของเขาก็ยังตะลึงงันไปด้วย วันละห้าหยวน ทำสิบวันก็ได้เงินแล้วห้าสิบหยวน
ชาวบ้านผู้ซื่อสัตย์ที่ไหนบ้างจะทำงานหาเงินได้ถึงห้าสิบหยวนขนาดนี้!
แม่เถียหนิวชิงพูดขึ้นว่า “เอาสิ ทำไมจะไม่เอาล่ะ!”
เถียหนิวพยักหน้าหงึกหงักด้วยความตื่นเต้นอยู่ด้านข้าง
หลินม่ายเห็นพวกเขาตอบรับ จึงพูดต่อว่า “บางเรื่องฉันต้องขอชี้แจงล่วงหน้า พี่เถียหนิวเป็นลูกจ้างของฉัน เขาจะได้รับเป็นเงินเดือน ถ้าฉันขาดทุน เงินเดือนของพี่เถียหนิวจะยังเท่าเดิมไม่มีทางลดลงสักสตางค์แดงเดียว ดังนั้นฉันหวังว่าตอนที่ฉันทำงานหาเงิน พี่เถียหนิวจะไม่มีอารมณ์หงุดหงิด คิดว่าฉันเป็นเจ้านาย เขาเป็นแค่ลูกจ้าง”
แม่เถียหนิวชิงแสดงความคิดเห็นก่อน “จะเป็นไปได้ยังไงเล่า? แม่หนูแบกรับความเสี่ยงไว้ทั้งหมดแล้ว เรื่องนี้เราเข้าใจได้”
หลินม่ายจึงพอใจมาก จากนั้นก็เอ่ยกับแม่เถียหนิวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณป้า คุณป้าก็ต้องไปกับเราด้วยนะคะ ไปกะเทาะเปลือกเกาลัด ฉันมีอาหารให้คุณป้าสามมื้อต่อหนึ่งวัน และฉันจะให้ค่าแรงคุณป้าด้วย วันละห้าหยวน คุณป้าจะไปไหมคะ?”
แม่เถียหนิวตบหน้าขาเสียงดังเพี๊ยะ พลางเอ่ยด้วยความดีใจ “ไปสิ! ไปแน่นอนสิจ๊ะ!”
เถียหนิวเอ่ยถามอย่างสงสัย “ถ้าแม่ตามไปด้วย แล้วใครจะดูแลนิวนิวล่ะครับ แล้วใครจะป้อนอาหารให้หมูและไก่ในบ้านล่ะ?”
แม่เถียหนิวหันไปมองลูกชายแสนโง่เขลาของตัวเองอย่างหมดปัญญา “เราจะพานิวนิวไปด้วย แล้วเรียกลูกสาวคนโตของพี่สาวแกมาดูแลบ้านให้สักสิบวันถึงครึ่งเดือน แค่นี้ก็มีคนป้อนอาหารหมูและไก่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
หลินม่ายวางแก้วชาในมือลง “งั้นก็ตามนี้นะคะ พี่ใหญ่หลี่ พรุ่งนี้ช่วยคุณปู่ฟางรับซื้อเกาลัดด้วยนะคะ ไม่ว่าจะรับซื้อเกาลัดได้เท่าไหร่ บ่ายสามโมงจะต้องขนเกาลัดกองหนึ่งเข้าเมือง ส่วนที่เหลือไว้ขนหลังจากนี้สักสองสามวัน”
สองแม่ลูกเถียหนิวตอบรับสั้น ๆ จากนั้นก็ส่งเธอกลับ
สองแม่ลูกยืนส่งหลินม่ายอยู่หน้าประตู
สายตาของแม่เถียหนิวยังจับจ้องอยู่บนบั้นท้ายของหลินม่ายหลายนาที
ได้ยินมาว่าเธอเพิ่งจะอายุแค่สิบเจ็ดปีเอง ยังไม่สิบแปดเสียด้วยซ้ำ แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ได้กินของดีมีของบำรุงให้กิน หน้าอกและบั้นท้ายถึงได้เจ้าเนื้อยิ่งนัก ถึงตอนนั้นคงคลอดลูกง่าย
คิดได้ตรงนี้ แม่เถียหนิวก็ตีหลี่เถียหนิวด้วยความกระตือรือร้น “เจ้าลูกชายตัวดี แกว่าเสี่ยวหลินเป็นไง?”
เถียหนิวงุนงงเล็กน้อย “หล่อนเป็นไงเหรอครับ? ก็ใช้ได้นะสิ”
แม่เถียหนิวกดเสียงต่ำ แล้วยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของเขา “อยากสู่ขอหล่อนมาเป็นภรรยาไหม?”
หลี่เถียหนิวมองผู้เป็นแม่อย่างไม่อยากจะเชื่อ “แม่! ผมอายุสามสิบเอ็ดแล้วนะ เสี่ยวหลินเพิ่งจะสิบเจ็ด! อายุห่างกันมากขนาดนี้ เสี่ยวหลินจะมาเป็นภรรยาของผมได้ยังไง? แม่อย่าริอ่านจับคู่มั่วซั่วเชียวนะครับ”
แม่เถียหนิวยกมือเขกกบาลของเขาอย่างแรง “แก่นี่มันโง่สมชื่อจริง หล่อนสิบเจ็ดแล้วยังไง แต่งงานมาครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ใช่เด็กสาวบริสุทธิ์วัยแรกแย้มเสียหน่อย หรือแกยังกลัวว่าหล่อนจะรังเกียจที่แกแก่เกินไป!”
หลี่เถียหนิวพึมพำ “ต่อให้หล่อนไม่รังเกียจอายุของผม แต่หล่อนมีความสามารถขนาดนั้น ไม่มีทางมาตกหลุมรักผมหรอก”
แม่เถียหนิวกลอกตาใส่เขาแวบหนึ่ง “ไม่ลองจะรู้ได้ไง”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ตั้งแต่มีลูกบุญธรรมก็ฮอตขึ้นเรื่อย ๆ เลยน้าม่ายจื่อ มีแต่ผู้ทุกวัยมารุมล้อม
ไหหม่า(海馬)