ตอนที่ 25 เซ็นสัญญาซื้อบ้าน
เฉียนอ้ายกั๋วแนะนำต่อ “ถึงบ้านหลังนี้จะดูเก่าไปบ้าง แต่ตัวบ้านถูกก่อขึ้นด้วยอิฐ อยู่ไปอีกสักหนึ่งร้อยแปดสิบปีก็ไม่มีปัญหาครับ”
หลินม่ายไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนตอนนี้ เธอกวาดตามองดูห้องนั้นทีห้องนี้ที
เฉียนอ้ายกั๋วคอยเดินตามหลังพลางเอ่ยว่า “ของใช้พวกนี้ผมไม่เอาแล้ว ต่อให้มันจะเก่าทรุดโทรมไปบ้าง แต่ก็ยังพอถูไถไปได้อีกแปดถึงสิบปีเชียวครับ”
หลินม่ายเปิดประตูตู้ตัวหนึ่ง แม้จะเกิดเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ไม่หยุด แต่มันก็เป็นไปตามที่เฉียนอ้ายกั๋วบอกไว้ คือยังใช้งานได้
แต่การที่บอกว่ายังใช้ได้ถึงแปดหรือสิบปีมันก็เกินจริงไปหน่อย ใช้ได้แค่สามถึงห้าปีก็โละออกมาเป็นฟืนไม้ได้แล้ว ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ของใช้ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้คุณภาพดีอะไรนัก วันเวลาผันผ่านก็คงจะผุพังไปด้วยตัวมันเอง
สุดท้ายก็เดินเข้ามาสำรวจในห้องครัว ของใช้ในครัวครบถ้วนสมบูรณ์ แต่มันก็เก่าทรุดโทรมมากเหมือนกัน
เฉียนอ้ายกั๋วชี้ไปยังของใช้ในครัวเหล่านั้นพลางเอ่ยว่า “ของพวกนี้ผมให้พวกคุณไปเลยฟรี ๆ”
หลินม่ายจึงเอ่ยปากออกไป “ตกลงคุณจะขายบ้านหลังนี้เท่าไหร่คะ?”
ดวงตาของเฉียนอ้ายกั๋วเปล่งประกายระยิบ
แม้เขาจะต้องใช้พลังในการอธิบายไปครึ่งค่อนวัน แต่ก็ไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก เพราะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
แต่เมื่อแม่สาวน้อยตัวคล้ำคนนี้ได้ถามถึงราคา ก็แสดงว่าอย่างน้อยก็มีเจตนาจะซื้อบ้าง
เขาครุ่นคิดอยู่ในใจหลายตลบ กระทั่งเอ่ยว่า “หนึ่งพันสองร้อยหยวน”
บ้านหลังนี้เขาตั้งราคาเริ่มต้นที่หนึ่งพันสามร้อยหยวน แต่แม่สาวน้อยตัวคล้ำคนนี้ไม่มีเงินแน่นอน เขาจึงกลัวว่าราคาหนึ่งพันสามร้อยหยวนจะสร้างความตกใจให้กับเธอ
หลินม่ายเข้าใจราคาที่สมน้ำสมเนื้อของบ้านหลังนี้ดี บ้านมือสองที่เธอซื้อไว้ในเมืองเจียงเฉิงเมื่อครั้งอดีตชาติก็อยู่ในละแวกนี้
ตอนนั้นน่าจะตรงกับปี 1986 ซึ่งบ้านมือสองที่คล้ายกับบ้านหลังนี้ถูกขายไปในราคาสองพันหยวนเลยทีเดียว
ตอนนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ของปี 1982 การที่บ้านหลังนี้ถูกขายในราคาหนึ่งพันสองร้อยหยวนก็ถือว่าไม่แพงแล้ว
ทำเลนี้ในสมัยนี้ ต่อให้อยู่ในหมู่บ้านก็อาจต้องยอมเสียเงินจำนวนหนึ่งพันสามร้อยถึงหนึ่งพันสี่ร้อยหยวนถึงจะสามารถซื้อบ้านแบบนี้ได้
ประกอบกับของใช้ภายในบ้านและหม้อกระทะครบพร้อมสมบูรณ์ต่างถูกแถมมากับตัวบ้าน เพียงกระเป๋าใบเดียวก็เข้าอาศัยได้เลย เงื่อนไขเหล่านี้ทำให้หลินม่ายอยากซื้อบ้านหลังนี้
ตอนนี้เธอมีเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยไม่ถึงแปดร้อยหยวน เงินที่จะซื้อบ้านจึงยังไม่เพียงพอ
สมัยนี้ยังไม่มีการกู้เงินจากธนาคาร ดังนั้นจึงไม่สามารถกู้ได้
ยืมเงินซื้อบ้าน? จะให้ไปยืมจากที่ไหน?
แต่บ้านที่มีราคาถูกแบบนี้ไม่ได้จะหาเจอกันง่าย ๆ ไม่ซื้อคงเสียดายแย่
หลินม่ายจึงต่อรองราคากับเฉียนอ้ายกั๋ว “แปดร้อยหยวนค่ะ จะขายไม่ขาย?”
เฉียนอ้ายกั๋วโกรธจนพูดไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “เธอคงไม่เห็นทำเลตรงนี้ของฉันสินะ อยู่ติดกับท่าเรือและถนนที่สร้างเสร็จแล้ว ตัวบ้านก็อยู่ริมถนน เดินทางสะดวก เปิดด้วยราคาที่ไม่สูงนัก เธอยังจะให้ฉันลดให้อีกตั้งสี่ร้อยหยวน เธอใจดำเกินไปแล้ว!”
“แต่บ้านหลังนี้เก่าแก่มากแล้วนะคะ ไม่มีใครกล้าซื้อหรอก”
คำว่าเก่าแก่ในภาษาถิ่นเจียงเฉิงจะใช้เรียกอาวุโสที่ล่วงลับ
หลินม่ายเห็นเขาไม่มีท่าทางจะขับไล่เธอ จึงรู้ทันทีว่าบ้านของเขาขายออกยาก ไม่อย่างนั้นคงจะพ่นคำหยาบคายขับไล่เธอไปนานแล้ว
เมืองเจียงเฉิงมีวัฒนธรรมของท่าเรือ ใครพูดจาไม่เข้าหูเพียงคำเดียวก็จะถูกคนเจียงเฉิงด่ากราดทันที ยิ่งต่อรองราคาก็ยิ่งโดนด่าจนขวัญกระเจิง ทั้งยังนำพาบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรมารุมด่าอีกด้วย
สาเหตุที่ขายบ้านไม่ได้ นั่นก็เพราะหลินม่ายพูดจี้ใจดำออกมา
สมัยนี้ น้อยมากที่จะมีใครซื้อบ้านในราคาหนึ่งพันหยวน
ยอมเสียเงินซื้อบ้านไปตั้งมากมาย คงไม่มีใครอยากได้บ้านที่เก่าทรุดโทรมแบบนี้แน่นอน
ต่อให้จะไม่ใช่บ้านผีสิง แต่อยู่แล้วก็อึดอัดไม่น้อย
ไม่อย่างนั้นหลินม่ายคงไม่รับราคานั้น จนเฉียนอ้ายกั๋วขับไล่ไปนานแล้ว
เฉียนอ้ายกั๋วเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “สาเหตุที่ขายบ้านหลังนี้ไม่ออกเพราะความคร่ำครึนี่แหละ เสนอราคาไปแค่หนึ่งพันสองร้อยหยวน จะมาฉวยโอกาสเอาเปรียบโดยการยอมจ่ายแค่แปดร้อยหยวนไม่ได้เด็ดขาด!”
หลินม่ายเอ่ยด้วยความลำบากใจ “ฉันมีเงินแค่แปดร้อยหยวน”
เฉียนอ้ายกั๋วเป็นใบ้ไปชั่วขณะ สีหน้าอ่อนโยนลง แล้วเอ่ยว่า “มีอย่างที่ไหนจะซื้อบ้านแต่ไม่ยืมเงิน เธอแค่ไปขอยืมเงินเพื่อนสนิทสักสองสามร้อยหยวนก็จบแล้ว”
หลินม่ายเอ่ยด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “แปดร้อยหยวนก้อนนี้เป็นเงินสดที่ฉันคาดการณ์ว่าจะยืมมาได้มากที่สุดแล้ว”
คำพูดนี้ของเธอทำเอาเฉียนอ้ายกั๋วจุกจนพูดไม่ออก “แต่ราคานี้มันต่ำเกินไป…”
หลินม่ายทอดถอนใจ “งั้นก็ช่างเถอะ ฉันไปหาหมู่บ้านอื่นก็ได้ ให้มันรู้ไปว่าจะไม่มีบ้านในราคาแปดร้อยหยวนเลยสักหลัง”
หมู่บ้านซานหยางอยู่ติดกับท่าเรือเยวี่ยฮั่นและถนนเส้นหลัก ดังนั้นราคาบ้านจึงสูงขึ้นหน่อย
ส่วนสถานีตี้เจี่ยวอยู่ห่างจากหมู่บ้านซานหยางยี่สิบสถานี ที่นั่นเป็นหมู่บ้านกลางเมืองที่มีขนาดใหญ่ อย่าว่าแต่จะซื้อบ้านก่ออิฐในราคาแปดร้อยหยวนเลย เกรงว่าแค่เจ็ดร้อยหยวนก็ซื้อได้แล้ว
เฉียนอ้ายกั๋วกระวนกระวายใจอยู่เล็กน้อย กลัวว่าจะปล่อยให้หลินม่ายหลุดมือไป จึงรีบเอ่ยว่า “เงินแค่แปดร้อยหยวนพอจะซื้อบ้านได้อยู่หรอก แต่จะมีทำเลตั้งอยู่ที่ไหนเท่านั้น!”
หลินม่ายทำเอาเขาจุกพูดไม่ออกอีกครั้ง “ฉันซื้อบ้านเพื่ออยู่ ทำเลไม่สำคัญ แค่อยู่ในฮั่นโขวก็พอแล้ว”
เฉียนอ้ายกั๋วเป็นใบ้อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะฉันแยกบ้านออกมาอยู่เป็นการส่วนตัว เพิ่มความสะดวกต่อการทำงานและไปเรียน ฉันคงไม่ขายบ้านที่ตัวเองอยู่หรอก ราคาแปดร้อยหยวนมันต่ำเกินไปจริง ๆ เธอเพิ่มให้ฉันสักสองร้อยหยวน เป็นอันตกลงกัน ดีไหม?”
หลินม่ายไม่รีบคุยเรื่องราคา แต่กลับประจบประแจงเฉียนอ้ายกั๋วชั่วขณะหนึ่ง “เป็นคนงานก็ดี มีอาชีพที่มั่นคง ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้า และไม่ต้องกังวลเรื่องที่อยู่ ไม่เหมือนชาวบ้านชนบทอย่างเรา จะมาปักหลักในเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเสียเงินซื้อบ้าน”
“นี่แหละชีวิจจริง”แม้ว่าเฉียนอ้ายกั๋วจะถูกยกยอปอปั้นจนอิ่มอกอิ่มใจไปบ้าง แต่เหตุผลก็ยังคงชัดเจน “ทุกอย่างในเมืองต้องใช้เงินทั้งนั้น รายจ่ายมากมาย ไม่เหมือนในหมู่บ้าน กินสิ่งที่ปลูกเอง ต้นทุนชีวิตต่ำ ประหยัดเงินได้ไม่น้อย”
ทั้งสองคนสวนกันไปมา ต่างฝ่ายต่างไม่เชื่อกันและกัน
หลินม่ายต้องรีบกลับเมือง ไม่มีเวลาเสวนาพาทีกับเขามากนัก ต่อรองราคาแค่ครั้งเดียว แปดร้อยห้าสิบหยวน ถามเขาว่าจะขายหรือไม่ขาย ถ้าไม่ขายเธอก็กลับ
เฉียนอ้ายกั๋วเอ่ยด้วยสีหน้าหม่นหมองใจ “เพิ่มอีกห้าสิบหยวนสิ สักเก้าร้อยหยวน ฉันมีน้องชายอีกตั้งสามคน เก้าร้อยหยวนยังพอแบ่งกันได้”
หลินม่ายเกิดความลังเลอยู่นานมาก ในที่สุดก็ตอบตกลง
แต่เธอขอเสนอเงื่อนไข รออีกสองเดือนค่อยจ่ายเงิน
เฉียอ้ายกั๋วโกรธจนเกือบหงายหลังเงิบ “อีกสองเดือนกว่าเธอจะจ่ายเงิน แต่เธอรีบมาต่อรองราคากับฉันตอนนี้เนี่ยนะ!”
เขาคิดว่าขายบ้านได้ก็จะได้เงินเลย แล้วทำการแบ่งเงินกับน้องชาย ฉลองปีใหม่ด้วยกัน คาดไม่ถึงว่าหลินม่ายจะใช้กลยุทธ์นี้
หลินม่ายพยายามกลั้นอารมณ์ “พี่ใหญ่อย่าเพิ่งใจร้อนสิ ฟังฉันพูดให้จบก่อน ตอนนี้ฉันจะให้เงินสดหนึ่งร้อยหยวนเป็นค่ามัดจำบ้าน ถ้าถึงวันที่สิบห้าเดือนสามปีหน้าฉันยังไม่จ่ายเงิน บ้านและเงินมัดจำจะตกเป็นของพี่ทันที พี่ไม่ขาดทุนแน่นอน ถ้าในระยะเวลานี้ถ้ามีคนมาเสนอราคาอยากซื้อบ้านของพี่ พี่ก็แค่คืนเงินค่ามัดจำให้ฉันก็จบเรื่อง พี่ไม่ต้องเสี่ยงเลยแม้แต่นิดเดียว”
สาเหตุที่เธอเสนอคำตอบนี้ นั้นเพราะตัดใจเอาเงินที่มีซื้อบ้านไม่ได้
เธอยังต้องใช้เงินที่มีรับซื้อเกาลัดมาขายในเมืองอยู่
เฉียนอ้ายกั๋วได้ยินก็หวั่นใจ บ้านของเขาขายออกยากมาก ให้แม่สาวน้อยตัวคล้ำคนนี้มัดจำไว้สักหน่อยก็ดี จะได้มีทางหนีทีไล่
เขาจึงพาหลินม่ายไปยังส่วนกลางของหมู่บ้าน เพื่อทำข้อตกลงซื้อขายกับผู้ใหญ่บ้าน หลินม่ายจ่ายเงินค่ามัดจำ ทั้งสองฝ่ายเซ็นชื่อประทับรอยนิ้วมือ บวกกับตราประทับของสมาชิกในหมู่บ้านเป็นอันเสร็จสิ้น
หลินม่ายต้องการกุญแจบ้านจากเฉียนอ้ายกั๋ว
เฉียนอ้ายกั๋วไม่สบอารมณ์กับการกลั่นแกล้งของเธอ จ่ายเงินไม่ครบทีหนึ่งยังต้องให้กุญแจบ้านกับเธออีก
เขายื่นกุญแจบ้านให้เธอหนึ่งชุด แต่เหลือไว้ที่ตัวเองอีกหนึ่งชุด กลัวว่าในสองเดือนนี้จะมีคนมาขอดูบ้าน เขาจะได้มีกุญแจพาคนเหล่านั้นเข้าไปดูในบ้าน
หลินม่ายกลับไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ แต่ขอร้องว่าทุกครั้งที่เข้ามาดูบ้านจะต้องมีผู้นำมาด้วย ป้องกันของใช้เสียหาย
เฉียนอ้ายกั๋วตอบรับ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ม่ายจื่อซื้อบ้านจนได้ค่ะ นับถือกลยุทธ์การต่อรองราคาเลย
ต้องขออภัยด้วยนะคะที่มาช้า วันนี้ติดธุระกะทันหันทำให้ตอนที่ 26 มาไม่ทันค่ะ
ไหหม่า(海馬)