ตอนที่ 51 ป้าอู๋ส่งข่าว
ฟางจั๋วหรานเป็นคนล้างจานหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ
พวกผู้ใหญ่เข้ามารวมตัวพูดคุยกันทีละคน ทว่าบรรยากาศกลับไม่ชื่นมื่นอย่างที่ควรจะเป็น
ฟางจั๋วเยวี่ยกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับลูกพี่ลูกน้องคนโต พวกเขาพูดคุยกันอย่างออกรส
ขณะที่หวังหรงกำลังคุยกับฟางซืออวี๋
ฟางถิงที่นั่งถัดจากหลินม่ายมองดูเธอด้วยสายตารังเกียจ และพูดจาดูถูก “แผนการไม่เลวเลยนะ เข้ามาประจบสอพลอคุณปู่คุณย่าแล้วคิดว่าจะยกระดับตัวเองได้ภายชั่วข้ามคืนหรือไง?”
หลินม่ายยิ้มเล็กน้อย “ฉันรู้สึกดีที่ได้อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่น่ะค่ะ ไม่คิดจะโผขึ้นจับกิ่งไม้สูงหรอก”
ฟางถิงที่เห็นเธอวางท่าไม่ละอายแก่ใจก็รู้สึกโกรธจัดราวกับประจำเดือนมาไม่ปกติ และพูดประชดประชัน “เธอก็แค่ฉวยโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ จากคุณปู่คุณย่า แค่เสื้อผ้าสองตัวพวกเราไม่เก็บเอามาต่อล้อต่อเถียงหรอกย่ะ”
“แต่อย่าคิดถึงทรัพย์สมบัติของคุณปู่คุณย่าเชียว ทั้งหมดเป็นของสกุลฟาง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนนอกอย่างเธอ!”
หลินม่ายตอบโต้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันไม่มีความสามารถในด้านนั้น ฉันรู้จักแต่วิธีหาเงินด้วยตัวเอง ไม่เหมือนคุณที่ไม่รู้จักหาเงินด้วยตัวเอง เอาแต่จ้องจะฮุบสมบัติคนของแก่!”
ฟางถิงตกตะลึงจนพูดไม่ออก
หลังจากพวกผู้ใหญ่พูดคุยกันอยู่สักพันหนึ่ง ฟางเว่ยตั๋งกับฟางเว่ยหมินก็กลับไป
ฟางจั๋วหรานต้องไปทำงานในวันพรุ่งนี้ และกลับไปตั้งแต่บ่ายสี่โมง แน่นอนว่าหวังหรงตามเขาไปด้วย
มีเพียงฟางจั๋วเยวี่ยเท่านั้นที่ยังอยู่ที่นี่
งานของเขาไม่ยุ่งมาก ต่อให้อยู่ต่ออีกสักสองวันก็ไม่เป็นไร
เมื่อมีเขาอยู่ด้วย ภายในบ้านก็ไม่เงียบเหงาอีกต่อไป เขาแบกโต้วโต้วขึ้นมาบนไหล่และวิ่งไปรอบ ๆ โต้วโต้วกรีดร้องอย่างมีความสุข ขณะที่คุณปู่คุณย่าฟางวิ่งไล่ตามและก่นด่าเขา หวั่นเกรงว่าโต้วโต้วจะหล่นลงมาบนพื้น
เขาจึงพาโต้วโต้วไปสร้างตุ๊กตาหิมะที่ลานหลังบ้าน
ไม่ว่าหิมะจะตกหนักแค่ไหนในมณฑลหู แต่ก็เป็นแค่กองหิมะปกคลุมอยู่บนพื้นหนึ่งถึงสองนิ้วเท่านั้น ประกอบกับอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้หิมะละลายออกไปกองอยู่ที่ด้านล่าง และมีหิมะอยู่พื้นไม่มากนัก
คนตัวโตกับคนตัวเล็กปั้นหิมะเล่นอยู่ที่ลานหลังบ้าน รวมถึงปั้นตุ๊กตาหิมะที่มีขนาดเท่าโต้วโต้ว
หลินม่ายไม่ปลาบปลื้มอย่างยิ่ง ทว่าโต้วโต้วกลับหัวเราะชอบใจ หล่อนกระโดดโลดเต้น ปรบมือเดินวนรอบตุ๊กตาหิมะ จนมือเล็ก ๆ กลายเป็นสีแดง
ทั้งสองคนเล่นกันสนุกสนาน และกลับเข้าไปในบ้าน
โต้วโต้วกุมหน้าอกขณะหายใจหอบ
คุณย่าฟางเห็นว่าโต้วโต้วเหนื่อยมาก ขนาดรองเท้าผ้าฝ้ายคู่จิ๋วบนเท้าของหล่อนยังเปียกโชก รีบไปหยิบไม้กวาดและหันไปตีฟางจั๋วเยวี่ย “เจ้าคนตัวโตนี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ไปเล่นหิมะบนพื้นเปียก ๆ ได้ยังไง? ไม่กลัวว่าโต้วโต้วจะป่วยเอาหรือ”
ฟางจั๋วเยวี่ยอมยิ้มขณะแอบไปซ่อนตัว
หลังถอดรองเท้าผ้าฝ้ายของโต้วโต้วที่เปียกน้ำออกก็เอาไปผึ่งไว้ที่เตาถ่าน
จากนั้นคุณปู่ฟางจึงอุ้มหล่อนไปผิงไฟ
โต้วโต้วรู้สึกกังวลมากจนน้ำตาแทบไหลเมื่อเห็นฟางจั๋วเยวี่ยถูกตี หล่อนดิ้นไปมาอยู่ในอ้อมแขนของคุณปู่ฟาง และร้องตะโกน “คุณย่า อย่าตีคุณอา!”
คุณปู่ฟางและภรรยาจิตใจหดหู่เล็กน้อยในวันแรกของเทศกาลปีใหม่ ในขณะที่คุณป้าอู๋ก็ไม่ได้ดีมากนัก
ลูกชายทั้งสองคนของนางออกไปตั้งแผงขายเกาลัดในเมือง แต่กลับถูกกลุ่มนักเรียนบีบบังคับให้ปิดแผง อย่าว่าแต่ทำเงินได้เลย พวกเขาสูญเสียเงินมากกว่าอีก
พอนึกได้ว่านังสารเลวหลินม่ายทำเงินได้จำนวนมาก ความโกรธแค้นก็บังเกิดในหัวใจ
เดิมทีวันนี้นางไปอวยพรวันปีใหม่ที่บ้านตระกูลฟาง เพราะต้องการจะเยาะเย้ยนังสารเลวนั้น แต่ยัยแก่ฟางกลับออกหน้ารับแทน
ยิ่งป้าอู๋คิดเรื่องนี้มากเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกโกรธเคืองมากเท่านั้น นางไม่อยากจะกล่ำกลืนความขุ่นเคืองนี้ไว้ หยิบสุราคุณภาพต่ำขึ้นมา และตรงดิ่งไปที่บ้านของอู๋จินกุ้ย
นางเป็นลูกพี่ลูกน้องใกล้ชิดลำดับที่ห้าของอู๋จินกุ้ย เมื่อแต่งงานใหม่อีกครั้ง ก็ไม่อยู่ร่วมกับอู๋จินกุ้ยตั้งแต่นั้นมา
ดังนั้นอู๋จินกุ้ยกับภรรยาจึงประหลาดใจมากเมื่อเห็นนางเข้ามาอวยพรวันปีใหม่พร้อมกับของขวัญอันไร้ค่า ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังต้อนรับนางอย่างอบอุ่น
เหยาชุ่ยฮวายิ้มเยาะและถามว่า “ลมอะไรหอบมาล่ะ ถึงได้แวะมาเยี่ยมกันได้?”
ลูกพี่ลูกน้องผู้ห่างไกลผู้นี้มักมองว่านางแต่งงานเพื่อไต่เต้าขึ้นมา ทำตัวเป็นดั่งบรรพบุรุษดูถูกครอบครัวของนาง อีกฝ่ายคงมีไม่มีความจริงใจให้นางจริง ๆ
ป้าอู๋เอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เธอรู้ไหมว่าลูกสะใภ้ที่พวกเธอขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูลสร้างเงินได้เป็นกอบเป็นกำ?”
สีหน้าของเหยาชุ่ยฮวาเรียบนิ่ง ถามขึ้นด้วยความสับสน “เธอหมายถึงนังสารเลวหลินม่ายน่ะเหรอ?”
ป้าอู๋กลอกตาด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะมีใครอีก? ทำอย่างกับเธอไล่ลูกสะใภ้หลายคนออกจากบ้านงั้นแหละ!”
เหยาชุ่ยฮวาสงสัย “แล้วรู้ได้ยังไงว่านังนั่นทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ?”
ป้าอู๋พูดประชดประชันว่า “ลูกสะใภ้ของเธออยู่กับคู่สามีภรรยาเฒ่าสกุลฟางที่เมืองซื่อเหม่ย พวกเธอไม่ได้ยินข่าวคราวกันเลยหรือไง?”
เหยาชุ่ยฮวาส่ายหน้าด้วยความงุนงง “ไม่มีธุระอะไรแล้วจะเข้าเมืองไปทำไม?”
ป้าอู๋ยิ้มเยาะ “ไม่ไปซื้อของไหว้ปีใหม่ที่ตัวเมืองบ้างหรือไง? ต่อให้บ้านพวกเธอไม่เข้าตัวเมือง แต่คนในหมู่บ้านจะไม่ไปในเมืองกันเลยหรือ?”
“พวกเขาไม่ได้บอกหรือไงว่าลูกสะใภ้ของพวกเธอเป็นยังไงบ้าง? ชาวบ้านพวกนี้ดีจริงเชียว!”
ใบหน้าของเหยาชุ่ยฮวาดูกระอักกระอ่วน
ป้าอู๋พูดปรักปรำครอบครัวของอู๋จินกุ้ยเกินไป ถึงแม้ว่าชาวบ้านละแวกนี้จะเดินทางเข้าไปยังตัวเมือง แต่พวกเขาก็จะกลับมาทันทีที่เสร็จธุระ ใครจะบากบั่นไปตามที่อยู่ของหลินม่าย?
ป้าอู๋อุทาน “พวกเธอคงอยากรู้ว่าฉันรู้ได้ไงว่าลูกสะใภ้พวกเธอทำได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ก็เพราะฉันอาศัยอยู่ในตัวเมืองน่ะสิ จะไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”
ครอบครัวอู๋จินกุ้ยมองหน้ากันด้วยความตกใจ
เหยาชุ่ยฮวาถามว่า “นังสารเลวนั่นหาเงินเป็นกอเป็นกำได้ยังไง?”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเยาะเย้ย “นังนั่นจะไปทำอะไรได้? คงจะนอนกับคนอื่นไปทั่ว?”
หลินม่ายในสายตาของเขาไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย นอกเหนือจากการปลูกผัก ล้างทำความสะอาดและทำอาหาร! สติปัญญาของเธอค่อนข้างต่ำ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะไม่เข้ามาจุ้นจ้านเรื่องของเรากับสุดที่รักเพ่ยเพ่ยราวกับสุนัขหรอก
ป้าอู๋เหลือบมองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม “ทุกคนเขาก็ใช้แรงงานหาเงินกันทั้งนั้นแหละ”
เมื่อเห็นว่าครอบครัวของอู๋จินกุ้ยไม่มีมันสมองมากพอสำหรับเรื่องนี้ ป้าอู๋จึงไม่อยากจะสนทนาด้วยอีกต่อไป
นางลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินจากไป “ฉันแค่เอาข่าวมาส่งให้พวกเธอ ส่วนพวกเธอจะไปตามหาม่ายจื่อเพื่อเรียกร้องเอาค่าชดเชยหรือไม่ นั่นก็เรื่องของพวกเธอแล้ว”
จุดประสงค์ในการเดินทางมาเยี่ยมเยียนครั้งนี้คือการปลุกปั่นให้ครอบครัวอู๋จินกุ้ยไปสร้างปัญหาให้หลินม่าย
นางรู้ดีว่าครอบครัวสกุลหลินได้รับค่าสินสอดทองหมั้นเป็นเงินจำนวนสิบหยวนและผ้าอีกหลายชิ้นจากครอบครัวอู๋จินกุ้ย
แม้ว่าหลินม่ายจะถูกครอบครัวสามีเนรเทศออกจากบ้าน แต่นั่นก็เป็นเพราะเธอมักจะล้มป่วยด้วยโรคเก่าอยู่เสมอ อีกทั้งยังถือมีดทำครัววิ่งไล่ตามพ่อแม่สามีไปทั่วหมู่บ้าน แม่สามีจึงต้องขับไล่เธอออกไป
ไม่อย่างนั้นลูกสะใภ้ที่ถูกตบแต่งด้วยสินสอดทองหมั้นราคาแพงจะถูกขับไล่ออกไปหรือ?
ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้ว่าอู๋จินกุ้ยกับภรรยากำลังคิดเรื่องนี้อยู่
ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่านังสารเลวนั่นทำเงินได้มากมายมหาศาล พวกเขาจะไม่รีบร้อนออกไปเรียกร้องค่าชดเชยเชียวเหรอ? จากนั้นนางก็แค่รอดูการแสดงดี ๆ
หากครอบครัวของนางยังทำเงินไม่ได้ นางก็จะไม่มีวันปล่อยให้นังสารเลวนั่นมีความสุข!
เหยาชุ่ยฮวาคว้าตัวเธอไว้และถมว่า “คุณป้าอย่าเพิ่งรีบไปสิคะ ม่ายจื่อหาเงินได้เท่าไหร่เหรอ?”
ประเด็นนี้จะต้องถามให้ชัดเจน จะได้เรียกค่าชดเชยไม่น้อยเกินไป
“อย่างต่ำก็น่าจะสองพัน” ป้าอู๋ดึงมืออีกฝ่ายออก และปล่อยให้ทั้งครอบครัวตกตะลึงต่อไป
ครอบครัวอู๋จินกุ้ยปิดประตูลงกลอน และเริ่มพูดคุยอย่างตื่นเต้น
อู๋จินกุ้ยไม่อยากจะเชื่อและคิดเสียดายในเวลาเดียวกัน “ไม่น่าเชื่อว่าม่ายจื่อจะมีความสามารถ หาเงินเป็นกอบเป็นกำได้ในเวลานิดเดียว ถ้ารู้แบบนี้แต่แรกฉันคงจะไม่ไล่หล่อนออกจากบ้าน เงินทั้งหมดของหล่อนจะต้องเป็นของเรา”
เหยาชุ่ยฮวาโพล่งขึ้นมาด้วยความมั่นใจ “นังนั่นกับเสี่ยวเจี๋ยนยังไม่หย่ากัน มันยังเป็นลูกสะใภ้ของเราอยู่ และทุกหยวนทุกเหมาจะต้องเป็นของเรา!”
ว่าแล้วนางก็จ้องมองไปที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนอย่างดุร้าย “พรุ่งนี้เข้าไปในเมืองแล้วไปจับตัวนังสารเลวนั่นมา!”
……………………………………………………………………………………………………………………..