ตอนที่ 56 ฉันพูดผิดตรงไหน!
ซุนกุ้ยเซียงตากมันเทศไว้ที่ลานบ้านเพื่อไม่ให้มันเน่าเสีย
ครอบครัวของพวกเขาใช้มันเทศพวกนี้บรรเทาความหิวโหยในฤดูใบไม้ผลิ เพราะฉะนั้นจะปล่อยให้มันเทศเน่าเสียไม่ได้
เมื่อได้ยินเสียงเอ้อโก่วร้องตะโกนว่าเขามีเงินห้าเฟิน นางก็ลุกขึ้นยืนและยึดเงินห้าเฟินเอาไว้
ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบหลานชายทั้งสองคน นางกับสามีเป็นประเภทเห็นผู้ชายดีกว่าผู้หญิงอย่างสุดขั้ว จะไม่ชอบหลานชายได้อย่างไร
ทว่านางไม่อาจทนต่อความยากจนข้นแค้นของครอบครัวได้ เงินจำนวนห้าเฟินนำไปซื้อเกลือได้ตั้งหนึ่งชั่ง นางจะปล่อยให้เด็กสองขวบเอาไปซื้อลูกแก้วได้อย่างไร
เอ้อโก่วที่ถูกปล้นเงินถึงกับร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น
เติ้งซิ่วจือโกรธจัดจนสีหน้ากลายเป็นดำทะมึน “แม่! มาขโมยเงินหลานได้ยังไงคะ?!”
“บ้านเรามีเงินจะไม่พอใช้อยู่แล้ว เธอเองก็รู้ดีนี่”
ซุนกุ้ยเซียงโต้กลับด้วยความขุ่นเคือง และรีบเดินออกไปข้างนอก
หลานชายพูดว่านังสารเลวนั่นกลับมาแล้ว ทำให้นางนึกอยากจะออกไปดู
ขณะเดียวกันต้าโก่วก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับเงินห้าเฟินในกำมือ ร้องตะโกนอย่างต่อเนื่องว่าคุณน้าเป็นคนให้เงินเขาไปซื้อลูกแก้ว
ซุนกุ้ยเซียงรีบแย่งเงินในมือของเขามาและพูดหลอกล่อ “ย่าจะเอาเงินไปซื้อขนมให้กินนะ”
ต้าโก๋วร้องไห้ออกมาเสียงดังทันที
เติ้งซิ่วจือโกรธมากว่าเดิม “ต่อให้ไม่มีเงินแม่ก็ไม่ควรไปขโมยเงินหลาน ถ้าไม่ได้เงินจำนวนนี้มาบ้านเราจะตายกันหรือไงคะ?”
หลินม่ายที่เดินตามหลังเข้ามาส่งยิ้มให้เติ้งซิ่วจือ “วันปีใหม่ทั้งทีพี่สะใภ้ก็พูดถึงเรื่องคอขาดบาดตายเลยเหรอ อัปมงคลซะไม่มี!”
เติ้งซิ่วจือจ้องเขม็งไปที่ซุนกุ้ยเซียง “ก็แม่ไปขโมยเงินที่เธอให้ต้าโก่วกับเอ้อโก่ว แล้วมาบอกว่าบ้านเราไม่มีเงินพอใช้ ฉันถึงได้พูดแบบนั้น”
หลินม่ายยิ้มเยาะ “เงินในมือของต้าโก่วกับเอ้อโก่วรวมกันแล้วยังได้นิดเดียว เศษเงินแค่นี้จะเปลี่ยนสถานะทางครอบครัวได้เหรอคะ?”
“ถ้าอยากจะเปลี่ยนสถานะของครอบครัวจริง ๆ ก็ไม่ควรเอาเงินค่าสินสอดฉันไปส่งหลินเพ่ยเรียนต่อ”
คำพูดดังกล่าวผุดขึ้นมาในก้นบึ้งหัวใจของเติ้งซิ่วจือ จนรู้สึกเกลียดซุนกุ้ยเซียงมากขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกว่านางลำเอียงเกินไป อีกทั้งสมองยังป่วยหนัก ไม่คิดขอโทษหลานชาย แต่กลับยอมประเคนทุกอย่างในมือให้หลินเพ่ย
ยังคิดหวังว่าหลินเพ่ยจะมอบเงินค่าเลี้ยงดูยามแก่เฒ่าอีกเหรอ?
ซุนกุ้ยเซียงยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นหลินม่ายเดินเข้ามา คว้าไม้กวาดขึ้นไล่ฟาดเธอ “กล้ายั่วโมโหฉันเหรอนังตัวดี ฉันจะตีแกให้ตายซะ!”
หลินม่ายหันหลังและวิ่งหนีออกจากบ้าน
จากนั้นก็เป็นเหตุการณ์แม่ตีลูกสาวซ่อน ชาวบ้านที่มองดูความสนุกต่างรีบแยกพวกเธอออกจากกัน
หลินม่ายพูดกับซุนกุ้ยเซียงท่ามกลางชาวบ้านหลายคน “ฉันยั่วโมโหที่ไหน? ฉันพูดความจริงทั้งนั้น! อย่าไปเชื่อภาพเพ้อฝันที่หลินเพ่ยวาดให้นักเลย คิดว่าพี่จะมีอนาคตที่สดใสหลังจากเรียนจบมอปลายหรือไง ถึงหล่อนจะให้สัญญา แต่หล่อนจะให้ท่านสักกี่ครึ่งเฟินเชียว? ตอนนี้หล่อนยังต้องพึ่งพาท่านอยู่ ถึงได้ไม่เคยทำตัวอกตัญญูใส่หน้า และเกลี้ยกล่อมพวกท่านด้วยคำพูดหวาน ๆ แต่เมื่อเริ่มมีอนาคตขึ้น พวกท่านจะมีค่าอะไรสำหรับหล่อนอีก?”
หลินม่ายพูดเรียบเฉย แต่แล้วเสียงหวานแสนจะออดอ้อนก็ดังขึ้นอย่างข้างหลัง “ม่ายจื่อ เธอ เธอพูดแบบนั้นกับฉันได้ยังไง?”
หลินม่ายหันกลับไปเห็นหลินเพ่ยที่มีสีหน้าดูไม่ค่อยสู้ดีนัก หล่อนมีผิวขาวเนียนละเอียดสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยความผิดหวัง มีน้ำตาคลอเบ้า ภาพลักษณ์เช่นนี้ช่างน่าดูน่าสงสารยิ่งนัก
ทว่าปัญหาคือหลินม่ายที่เกิดใหม่ไม่ใช่อู๋เสี่ยวเจี๋ยน ไม่มีวันคล้อยตามหล่อน เธอยกมือขึ้นตบอีกฝ่ายทันที
ฝ่ามือของหลินม่ายที่ผ่านการทำงานมาตลอดทั้งปีนั้นแข็งแกร่งมาก หลังจากตบไปหนึ่งฉาด แก้มอันบอบบางและเนียนใสของหลินเพ่ยก็กลายเป็นสีแดงบวมช้ำประจักษ์ต่อทุกสายตา
หล่อนลืมที่จะร้องไห้ไปชั่วขณะ เนื่องจากทุกอย่างเกิดเร็วอย่างกะทันหัน ทำให้หล่อนตกอยู่ในสภาพมึนงง
ไม่เพียงแค่หล่อน ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็มึนงงเช่นกัน
หลินม่ายที่เชื่อฟังคำพูดของหล่อนมาโดยตลอด…ตบหน้าหล่อน! นี่มันต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่
หลินม่ายพูดขึ้นตามตรง “ฉันพูดผิดตรงไหน? เธอวาดภาพเพ้อฝันใหญ่โตให้ครอบครัวไม่ใช่หรือไง? เคยจ่ายอะไรเล็กน้อยให้ครอบครัวบ้าง? แสร้งทำเป็นไม่ได้รับความเป็นธรรม ในครอบครัวนี้ไม่มีใครได้รับความเป็นธรรมไปมากกว่าเธอแล้ว!”
ในที่สุดหลินเพ่ยก็หายจากอาการช็อก กลับมามีสติอีกครั้ง ขณะที่ซุนกุ้ยเซียงผละตัวออกจากการรัดกุมของชาวบ้าน เร่งรุดจะไปตีหลินม่ายอย่างโหดเหี้ยม “แม่! แม่คะ! อย่าตีน้อง ไม่ต้องไปดุน้อง หนูจะคุยกับน้องเอง”
ซุนกุ้ยเซียงไม่สามารถรักษาสีหน้าเอาไว้ได้ และพูดตะคอก “แกจะไปคุยอะไรกับมันอีก ฆ่ามันซะก็จบเรื่อง!”
โชคดีที่ชาวบ้านต่างพากันฉุดรั้งนางเอาไว้และพูดเกลี้ยกล่อม “คุณย่าต้าโก่ว ลูกสาวคุณก็แต่งงานออกเรือนไปแล้ว หล่อนกลับมาบ้านก็ถือว่าเป็นแขก เจ้าบ้านจะไปไล่ตีแขกได้ยังไง คุณปล่อยให้ลูกสาวคุยกันดี ๆ กับม่ายจื่อไปเถอะ”
แม้ซุนกุ้ยเซียงอยากจะทุบตีหลินม่ายสุดใจ แต่ชาวบ้านกลับยึดนางไว้แน่นจนไม่สามารถหลุดพ้นได้
นางทำได้เพียงสาปแช่งหลินม่าย พ่นคำหยาบทุกชนิดออกมา จนผู้คนต่างพากันขมวดคิ้ว
ในชนบทไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่ทุบตีลูก แต่ผู้หญิงน้อยคนนักที่จะชี้นิ้วใส่ลูกสาวตนเองและก่นด่าว่าเป็นโสเภณี ชั้นต่ำ เร่ขายตัว
ใครที่ไหนด่าทอลูกสาวตนเองแบบนี้กัน นี่มันด่าทอคนเป็นศัตรูกันชัด ๆ!
หลินเพ่ยเริ่มแสดงละครท่ามกลางเสียงด่าทอของผู้เป็นแม่
เธอเริ่มทำตัวเป็นหญิงชาเขียว(1)เรียกร้องความสนใจเหมือนกับจื่อเวยในละครเรื่ององค์หญิงกำมะลอ บีบน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย
สายตาของหล่อนดูเศร้าสร้อย กำมือทุบหน้าอก และเค้นเสียงออกมาว่า “ม่ายจื่อ พี่รู้ว่าเธอโกรธที่พี่เอาสินสอดเธอมาเรียนต่อมัธยมปลาย แต่พี่คงเรียนหนังสือต่อไม่ได้ถ้าไม่มีเงิน!”
หลินม่ายจ้องมองหล่อนอย่างเย็นชา “ผลการเรียนเธอทุเรศมาก แล้วฉันที่อยากเรียนต่อมัธยมปลายล่ะทำไมถึงไปเรียนต่อไม่ได้?!”
ถ้าฉันได้เรียนต่อมัธยมปลาย ผลการเรียนฉันจะต้องดีมากแน่ ๆ อีกอย่างการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย!
ไม่เหมือนเธอที่อ่านหนังสือกินแรงไปวัน ๆ เกรงว่าเธอจะไม่ได้รับใบประกาศนียบัตรระดับมัธยมปลายด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับสอบเข้ามหาลัย
ถ้าเธอนึกถึงครอบครัวจริง ๆ เธอก็ไม่ควรเข้าเรียนมัธยมปลายตั้งแต่แรก ปล่อยให้ฉันไปเรียนแทน!
“เธอจงใจหลอกลวงฉันแล้วเรียนต่อมัธยมปลายแทน เธอบอกว่าเธอไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว แต่เธอกำลังวาดฝันจอมปลอมให้ครอบครัวอยู่!”
ชาวบ้านต่างพากันพยักหน้าหลังจากได้ยินเรื่องดังกล่าว และรู้สึกว่าสิ่งที่หลินม่ายพูดสมเหตุสมผล
แม้ว่าหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาจะเต็มใจลงทุนเพื่อลูกสาว แต่พวกเขาก็ควรลงทุนให้หลินม่ายที่มีความพรสวรรค์ในการเรียนรู้มากกว่าหลินเพ่ยที่โง่เขลาราวกับเอาวัวมาหัดอ่านหนังสือ
ซุนกุ้ยเซียงที่ถูกชาวบ้านลากออกไปโกรธจัด และทำได้เพียงเต้นเร่าๆ ตะโกนใส่หลินม่าย “แกมันนางแพศยา รู้จักแต่เอาตัวรอดคนเดียว หัดมีคุณธรรมซะบ้าง คิดจะให้เราเอาเงินลงทุนให้แกงั้นเหรอ ฝันไปซะเถอะ!”
หลินม่ายพูดเยาะเย้ย “ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีคุณธรรม แต่ฉันกับพวกคุณไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน เพราะงั้นพวกคุณถึงได้ไม่อยากลงทุนอะไรกับฉันไง”
ดวงตาของซุนกุ้ยเซียงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “แก แกพูดบ้าอะไร! ทำไมเราจะไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน? ที่ฉันกับพ่อแกไม่ชอบแก ก็เพราะว่าแกเกิดมาเอาเปรียบพ่อแม่ เอาแต่ความฉิบหายมาสู่ครอบครัวเรา!”
แม้นางจะพูดต่อหน้าชาวบ้านเสมอว่าทำไมตนถึงไม่ชอบหลินม่าย แต่หลินม่ายกลับมองเห็นความตื่นตระหนกในสายตาของนาง
ในเมื่อมีเหตุผลที่จะไม่ชอบเธอ แต่ทำไมจะต้องตื่นตระหนกด้วย?
เป็นไปได้ไหมว่านางบังเอิญหลุดปากบอกความจริงบางอย่างออกไป หรือว่าเธอจะไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริงของพ่อแม่บ้านนี้?
ถ้าไม่ใช่ ทำไมพวกเขาถึงรับเธอมาเลี้ยง? พวกเขาทั้งสองไม่มีแม้แต่ความเมตตา และทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง
หลินม่ายจงใจเลิกคิ้ว และพูดต่อ “ความจริงคืออะไร คุณรู้ ฉันรู้ สามีของคุณก็รู้!”
………………………………………………………………………………………………………………………..
เป็นคำแสลงในอินเตอร์เน็ต หมายถึงผู้หญิงที่แสร้งทำเป็นใสซื่อไร้เดียงสาแต่จริงๆ ทำตัวไร้ยางอาย
สารจากผู้แปล
นางแก่หน้าไม่อาย แย่งเงินเด็กหน้าด้าน ๆ
ก็ว่าอยู่ว่าพ่อแม่คู่นี้น่าจะไม่ใช่ครอบครัวจริงๆ ของม่ายจื่อ ดูทำแต่ละอย่างกับม่ายจื่อสิ
ไหหม่า(海馬)