ตอนที่ 53 เธอคือลูกสะใภ้บ้านฉัน!
ขณะเดียวกันฟางจั๋วเยวี่ยเดินเข้ามา ด้วยความสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร เขาจึงก้มมองอู๋เสี่ยวเจี๋ยนกับแม่ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จะสาดโคลนใส่หัวคุณปู่คุณย่าผมหรือไง เดี๋ยวผมไปเอาเทปมาบันทึกเสียงพวกคุณก่อน จะได้ฟ้องพวกคุณในข้อหาใส่ร้าย และจับพวกคุณเข้าคุกเข้าตารางสักสองสามปี! อย่าได้คิดว่าการพูดโกหกมีโทษเบานักสิ!”
เหยาชุ่ยฮวากับลูกชายต่างตกตะลึง
พวกเขาคิดว่าตนเป็นคนจนและไม่มีอะไรจะต้องสูญเสีย ไม่ว่าพวกเขาจะออกมาสร้างปัญหาอย่างไร ผู้เฒ่าทั้งสองจากตระกูลฟางก็จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอยู่ดี
นอกจากนี้หลินม่ายยังเป็นคนนอกสำหรับครอบครัวของสองเฒ่า พวกเขาคงไม่สละชื่อเสียงเพื่อมาปกป้องเธอ
เมื่อใดก็ตามที่นังสารเลวนั่นไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสองเฒ่าจากตระกูลฟาง พวกเขาก็จะทุบตีหล่อนให้เชื่อฟังได้ไม่ใช่หรือ?
พวกเขามีแผนการจะพาเธอกลับบ้านและขังเธอเอาไว้ในห้องจนกว่าเธอจะตั้งครรภ์ลูกของอู๋เสี่ยวเจี้ยน จากนั้นจึงจะสั่งให้เธอออกไปหาเงิน
พวกเขาจะจับลูกของเธอเป็นตัวประกัน เมื่อใดที่เธอไม่เชื่อฟังพวกเขา! พวกเขาก็จะทำร้ายลูกของเธอ!
แต่กลับคาดไม่ถึงว่าสองเฒ่าจากตระกูลฟางจะดูออกว่าพวกเขากำลังโจมตีหลินม่าย นอกจากจะไม่หวาดกลัวผลกระทบที่มีต่อชื่อเสียงแล้ว ยังคอยปกป้องเธออีก ในขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะส่งพวกเขาเข้าคุก
เหยาชุ่ยฮวารีบเปลี่ยนสีหน้า และแสร้งทำตัวน่าสงสาร “ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นนะคะ แค่อยากจะมาพาลูกสะใภ้กลับบ้าน”
ฟางจั๋วเยวี่ยพูดตอบอย่างเย่อหยิ่ง “เราไม่ให้พวกคุณพาหล่อนกลับไป พวกคุณกลับไปซะ!”
เหยาชุ่ยฮวาไม่ต้องการจากไป นั่งลงที่หน้าประตูบ้านตระกูลฟาง “ถ้าวันนี้ลูกสะใภ้ไม่กลับไปกับเรา ฉันก็จะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
นางรีบงัดความสามารถในการแสดงออกมา และใช้อีกน้ำเสียงข่มขู่หลินม่าย
วันนี้อากาศดีมาก แสงอาทิตย์สาดส่อง เพื่อนบ้านหลายคนออกมานั่งรับไอแดดอยู่ที่หน้าประตูบ้านและพูดคุยกัน
ความสนใจของทุกคนพุ่งเป้าไปที่การเคลื่อนไหวหน้าประตูบ้านตระกูลฟาง และหยุดพูดคุยชั่วขณะ จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลินม่ายพยักหน้าให้เหยาชุ่ยฮวา น้ำเสียงของเธอเรียบนิ่งมาก “ก็ได้ งั้นคุณก็นั่งตรงนี้ต่อไป อย่าไปไหนล่ะ ถ้าลุกขึ้นเมื่อไหร่ฉันจะถือว่าคุณเป็นเดรัจฉาน”
จากนั้นเธอหันไปพูดกับสองเฒ่าตระกูลฟาง “คุณปู่คุณย่าคะ ฉันไปสถานีตำรวจก่อน แล้วจะรีบกลับมานะคะ”
คุณปู่ฟางรีบก้าวไปข้างหน้า “ปู่จะไปด้วย”
หากมีเขาไปด้วย ไม่ว่าหลินม่ายจะไปร้องเรียนเรื่องอะไรที่สถานีตำรวจ ทางสถานีจะต้องช่วยเธอจัดการอย่างรวดเร็วเป็นแน่
ทว่าหลินม่ายกลับส่ายหน้าพลางยิ้มให้ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปคนเดียวได้”
คุณปู่ฟางรู้ว่าเธอต้องการปกป้องพวกเขาสองเฒ่า และไม่ต้องการให้พวกเขาถูกโยงเข้ามามีส่วนร่วม
แม้ว่าสองแม่ลูกอู๋เสี่ยวเจี้ยนจะไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย แต่เพื่อเห็นแก่ความสบายใจของหลินม่าย เขาจึงไม่ได้ตามเธอไปด้วย
หลินม่ายเดินไปข้างหน้า ขณะที่อู๋เสี่ยวเจี้ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามไป
คุณปู่กลัวว่าหลินม่ายจะเสียเปรียบ และกำลังจะสั่งให้ฟางจั๋วเยวี่ยตามไปปกป้องเธอ แต่กับได้ยินหลินม่ายตะโกนเสียงดังลั่น
“เพื่อนบ้านทุกคนคะ คนที่นั่งอยู่หน้าบ้านคุณปู่คุณย่าฟางคือเหยาชุ่ยฮวาจากบ้านตระกูลอู๋ และตอนนี้คนที่อยู่ด้านหลังฉันคือลูกชายของหล่อนอู๋เสี่ยวเจี้ยนค่ะ”
“คนหนึ่งอ้างตนว่าเป็นแม่สามีของฉัน ส่วนอีกคนอ้างตนว่าเป็นสามีฉัน อยากจะพาฉันกลับไปที่บ้าน”
“ฉันที่อยู่ตรงหน้าทุกคนอยากจะชี้แจงว่าตัวฉันกับอู๋เสี่ยวเจี้ยนไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และก็ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริง ๆ เพราะฉะนั้นเขาไม่ใช่สามีของฉัน และหล่อนก็ไม่ใช่แม่สามีฉันเหมือนกัน”
เมื่อเหยาชุ่ยฮวาผู้ซึ่งทำตัวแพ้แล้วพาลนั่งอยู่ด้านประตูบ้านตระกูลฟางได้ยินเช่นนั้น นางก็รีบลุกขึ้นมาจากพื้น พุ่งเข้าหาหลินม่ายราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ ร้องตะคอกอย่างโกรธเคือง
“ที่ฉันไม่ได้พูดถึงทะเบียนสมรสเพราะเธอยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ ยังไม่ได้ลองใช้ชีวิตอยู่กินกันฉันสามีภรรยา ตอนนี้เธอกลับบ้านไปใช้ชีวิตเป็นคู่สามีภรรยาซะ ทั่วทั้งหมู่บ้านเขาก็รู้กันหมดว่าเธอแต่งงานเข้าบ้านเรา หรือว่าเธอจะปฏิเสธล่ะ? อย่าได้แม้แต่จะคิดเชียว!”
หลินม่ายหยุดเดิน ขมวดคิ้วและมองดูสีหน้าของนางที่เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดน่ากลัว “ฉันก็แค่สงสัยว่าพวกคุณไล่ฉันออกจากบ้านไม่ใช่เหรอ พวกคุณเกลียดฉันมากนี่ แล้วจะมาตามฉันกลับไปบ้านทำไม?”
เหยาชุ่ยฮวาไม่สามารถพูดออกไปได้ว่าพวกเขาต้องการเงินที่เธอหามา และใช้เธอเป็นเครื่องมือหาเงินให้ครอบครัว
เพียงแต่บอกว่าเธอเป็นลูกสะใภ้ของพวกเขาที่ได้รับสินสอดทองหมั้นราคาสูง และต้องการให้เธอกลับไปสืบทายาท
เหยาชุ่ยฮวาหันไปร้องไห้กับเพื่อนบ้าน น้ำมูกน้ำตาไหลอาบย้อย “ไหนจะค่าสินสอดสิบหยวน ผ้าฝ้ายทั้งห้าผืนซื้อจากสหกรณ์การตลาดของทางรัฐอย่างดี ทำไมเราจะต้องขับไล่ลูกสะใภ้ค่าตัวแพงคนนี้ด้วย?”
เพื่อนบ้านผู้สูงอายุหลายคนต่างมองดูเหยาชุ่ยฮวาด้วยความเห็นอกเห็นใจ พวกเขาสูญเสียทรัพย์สินไปจำนวนมาก ไม่มีทางที่จะขับไล่ลูกสะใภ้เด็ดขาด
ทว่าหลินม่ายกลับหนักแน่นพอ “ผ้าฝ้ายที่คุณซื้อมาเป็นสินสอดไม่ได้มีประโยชน์อะไร…”
เธอถูกเหยาชุ่ยฮวาขัดจังหวะก่อนจะพูดจบ “ผ้าฝ้ายจะมีประโยชน์อะไรกับเธอหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องของบ้านเธอ ครอบครัวเรารับรู้แต่ว่าเธอแต่งงานเข้ามาโดยมีผ้าฝ้ายเป็นสินสอด!”
เพื่อนบ้านหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย
หลินม่ายยังคงสงบนิ่ง “ที่คุณพูดมันก็ถูก แต่มันไม่ได้เป็นไปตามหลักกฎหมาย”
เหยาชุ่ยฮวารู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นผู้คนรอบข้างมีความคิดเห็นแบบเดียวกันกับนาง “ครอบครัวเราใช้เงินกับผ้าฝ้ายมาเป็นสินสอดสู่ขอเธอมาเป็นลูกสะใภ้ ทำไมจะไม่เป็นไปตามหลักกฎหมาย?”
หลินม่ายยิ้มเยาะ “ถ้าเป็นไปตามที่คุณพูด มันคือธุรกิจซื้อขายลูกสะใภ้ ผู้ขายกับผู้ซื้อก็ควรจะถูกจับเข้าคุกไม่ใช่เหรอ?”
เหยาชุ่ยฮวากลอกตาและพูดตอบ “เธอเป็นลูกสะใภ้ที่เราซื้อมาจากพวกค้ามนุษย์หรือไง?”
“ก็ไม่ใช่นี่ พ่อแม่เธอเป็นคนตอบรับค่าสินสอดทั้งหมดและให้เธอแต่งงานกับเสี่ยวเจี้ยน แล้วคำว่าธุรกิจซื้อขายลูกสะใภ้ควรจะออกมาจากปากเธอเหรอ?”
เพื่อนบ้านพยักหน้า
หลินม่ายเลิกคิ้วและถาม “พวกคุณตกลงกับพ่อแม่ฉัน แล้วฉันตกลงหรือยังล่ะ? ถ้าฉันไม่ได้พยักหน้าหรือตอบตกลง การแต่งงานครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะ!”
เหยาชุ่ยฮวาเบิกตากว้างด้วยความโกรธจัด “ครอบครัวเธอกล้าดียังไงมาขุดหลุมขโมยเงินจากครอบครัวฉัน!”
เพื่อนบ้านเริ่มกระซิบกระซาบโดยบอกว่าครอบครัวของหลินม่ายโหดเหี้ยม และให้ลูกสาวฉ้อโกงค่าสินสอด
หลินม่ายส่ายหัวและยิ้ม “ฉันไม่ได้มีส่วนฉ้อโกงสินสอดกับทรัพย์สินของครอบครัวคุณสักหน่อย อย่าเหมารวมกันสิ”
“ฉันก็เป็นเหยื่อเหมือนกับครอบครัวคุณ คุณถูกโกงเงิน ส่วนฉันถูกหลอกให้แต่งงานเข้าครอบครัวคุณ”
“ในเมื่อนายเองก็เป็นเหยื่อ ทำไมนายไม่ไปโรงพักกับฉันล่ะ บอกให้ตำรวจเข้าไปจับกุมพ่อแม่พี่สาวที่ไร้ยางอายของฉัน เอาไหมล่ะ?”
อู๋เสี่ยวเจี้ยนรู้สึกกังวลเมื่อได้ยินว่าหลินเพ่ยมีส่วนเกี่ยวข้อง “แล้วมันเกี่ยวกับพี่สาวเธอตรงไหน?”
หลินม่ายมองดูเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน “ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ ก็หล่อนเป็นผู้รับผลประโยชน์ทั้งหมด!”
เมื่อพูดจบ เธอก็แสยะยิ้ม “เกือบลืมไปเลยว่าพี่สาวฉันสนิทกับนาย นายกับพี่เลยรวมหัวหลอกกันเอาทรัพย์สินทองหมั้นและผ้าฝ้ายของครอบครัวตัวเองไปให้พี่ แต่ยังไงซะนายก็คงจะปกป้องหล่อนอยู่ดี!”
ก่อนหน้านี้เพื่อนบ้านในเมืองซื่อเหม่ยไม่ได้ตระหนักถึงละครน้ำเน่า พวกเขาจึงตกตะลึงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
หลินม่ายหันไปถามเหยาชุ่ยฮวาอีกครั้ง “ลูกชายคนโตของคุณมีส่วนร่วมในการฉ้อโกงเงินสินสอดและผ้าฝ้ายด้วย คุณจะไปแจ้งความกับฉันไหมล่ะ แต่ฉันคิดว่าคุณคงไม่ทำ”
เธอยิ้มเยาะ “ถ้าไม่ไปก็ไม่เป็นไร เพราะฉันจะไปแจ้งตำรวจเอง”
“และเพื่อเห็นแก่ความทุกข์ทรมานของครอบครัวคุณ ฉันจะเปิดทางให้พวกเขาแล้วกัน ให้พี่สาวฉันเข้าไปเป็นลูกสะใภ้บ้านคุณซะสิ”
“เดิมทีพี่สาวฉันกับลูกชายคุณก็รักกันมากนี่ ให้หล่อนย้ายเข้าบ้านคุณซะ พี่สาวกับลูกชายคุณที่รักกันอยู่จะได้แต่งงานกันสักที คงจะดีไม่น้อย!”
เมื่อพูดจบ เธอก็เดินไปสถานีตำรวจ
เพื่อนบ้านหลายคนตามหลังไปด้วยเพื่อรอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก
ละครน้ำเน่าในชีวิตจริงน่าติดตามเสียยิ่งกว่าละครในโทรทัศน์ อย่าให้พลาดแม้แต่ก้าวเดียว
เหยาชุ่ยฮวาและลูกชายชำเลืองมอง กัดฟันกรอด และเดินตามไป
พวกเขาต้องตามไปพลิกแพลงสถานการณ์เพราะกลัวว่าตำรวจจะฟังความข้างเดียวจากหลินม่าย จนทำให้พวกเขาเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียงให้เปลืองน้ำลายหรอก แจ้งความตำรวจส่งคนพวกนี้เข้าไปกินข้าวแดงในคุกให้เข็ดเลย
ไหหม่า(海馬)