ตอนที่ 68 ขายเกี๊ยววันแรก
หลินม่ายสวนกลับทันควัน “ในเวลาห่างกันไม่ถึงสองชั่วโมง ลูกชายของคุณรังแกโต้วโต้วของฉันถึงสองครั้ง ฉันอุตส่าห์เตือนเขาดี ๆ แล้ว แต่เขาไม่ฟัง พอเป็นแบบนี้ฉันถึงต้องบอกให้พ่อของเขารับทราบไงคะ! ขนาดลูกชายคุณถูกสามีของคุณทุบตี คุณยังรู้สึกแย่แบบนี้ แล้วการที่โต้วโต้วของฉันถูกลูกชายคุณตีจนหลังฟกช้ำดำเขียวจะไม่ให้ฉันรู้สึกแย่ได้ยังไง? ฉันไม่เรียกร้องค่ารักษาพยาบาลจากครอบครัวคุณให้ขายขี้หน้าชาวบ้านก็ดีเท่าไหร่แล้ว คุณกลับโทษว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของฉัน หรือเป็นเพราะคุณอ้วนเกินไปกันแน่ หน้าของคุณถึงได้หนากว่าคนอื่น?”
ชาวบ้านได้ยินแบบนั้นต่างก็หัวเราะออกมาทันที
ในสายตาของคนในหมู่บ้าน ทุกคนเห็นว่าหลินม่ายมีจิตใจดี ทุกครั้งที่เจอกันก็มักจะส่งยิ้มทักทายอยู่เสมอ
แม่ต้าเป่าก็พลอยคิดไปว่าเธอคงไม่มีพิษมีภัยอะไร จึงนึกว่าตัวเองจะจิกกัดได้ตามใจชอบ ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะสวนกลับอย่างฉะฉาน จนหล่อนสรรหาคำพูดมาแก้ตัวไม่ได้
เมื่อไปถึงท่าเรือ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเปิดร้าน
ก่อนหน้านี้ หลินม่ายถือเป็นคนแรกที่ริเริ่มตั้งแผงขายของที่ท่าเรือ ดังนั้นเธอจึงได้ทำเลที่ตั้งร้านในตำแหน่งที่ดีที่สุด
แต่เพราะเธอไม่ได้มาตั้งแผงขายอาหารที่ท่าเรือมากว่าครึ่งเดือนแล้ว ดังนั้นที่ที่เคยเป็นของเธอจึงถูกคนอื่นฉวยโอกาสครอบครองแทน ซึ่งคนคนนั้นก็คือแม่ต้าเป่า
แม่ต้าเป่าชายตามองหลินม่ายราวกับต้องการเยาะเย้ย พอเห็นว่าตัวเองเป็นผู้ชนะในการเลือกที่ตั้งร้าน กลิ่นปากที่ติดค้างอยู่ภายในใจก็จางหายไป
ความจริงแล้วการจับจองพื้นที่ขายของก็มีกฎเกณฑ์อยู่บ้าง เช่น ตราบใดที่คนคนหนึ่งตั้งร้านทุกวัน ตามหลักแล้วก็จะไม่มีใครมายึดพื้นที่ของเขา
แต่ถ้าคนคนนั้นไม่ยอมมาตั้งแผงขายของเป็นเวลานาน ถ้ามีใครสักคนเข้ามายึดพื้นที่ค้าขายแทนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หลินม่ายลองคิดดูแล้ว ต่อให้เธอเสียเวลาโต้แย้งกับแม่ต้าเป่าเรื่องนี้ อีกฝ่ายก็คงไม่คิดจะหลีกให้อยู่ดี ดังนั้นเธอจึงเงียบเสีย
หลินม่ายกับโต้วโต้วช่วยกันจัดร้าน โดยตั้งแผงขายของอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านของแม่ต้าเป่า หลังจากจัดวางเตาถ่านทั้งสองเตาเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มทำการรีดแป้งสำหรับห่อเกี๊ยวลงบนโต๊ะทันที
ด้วยความชำนาญ ภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที เธอก็รีดแผ่นแป้งสำหรับห่อเกี๊ยวได้เป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นจึงทำการห่อเกี๊ยวอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่เธอกำลังง่วนอยู่กับงานตรงหน้า พ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ ก็กำลังวุ่นวายกับงานของตัวเอง จึงไม่มีใครสนใจใคร
เร็ว ๆ นี้เรือข้ามฟากลำแรกจวนจะเข้ามาเทียบท่าแล้ว ทุกคนต่างก็ต้องการค้าขายให้กับผู้โดยสารกลุ่มนี้กันทั้งนั้น
ตอนนี้ยังเป็นเวลาไม่ถึงหกโมงครึ่ง ตามถนนจึงยังไม่มีผู้คนเดินผ่านพลุกพล่าน ผู้โดยสารกลุ่มแรกที่ลงจากเรือเลยถือเป็นลูกค้ารายแรกที่จะได้ประเดิมอุดหนุนร้านค้าแผงลอยของพวกเขา
ถ้าอยากให้ร้านของตัวเองขายดีก็ต้องตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อม จะมัวชักช้าเสียเวลาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจเป็นการปล่อยให้ลูกค้าหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย ลูกค้าเหล่านี้ไม่มีเวลารอคอย สาเหตุที่พวกเขาขึ้นเรือข้ามฟากลำแรกก็เพราะมีธุระเร่งรีบ ตราบใดที่ร้านค้าไม่มีความพร้อม พวกเขาก็พร้อมจะจากไปซื้อของจากร้านอื่นทุกเมื่อ
พ่อค้าแม่ขายที่ขายอาหารประเภทของทอดเริ่มทอดของไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว บรรยากาศโดยรอบจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของน้ำมันร้อน ๆ
ร้านอื่นที่ขายโจ๊กก็ปรุงสำเร็จมาจากที่บ้าน พอยกมาตั้งแผงขายก็เหลือแค่อุ่นให้ร้อน กลิ่นหอมของข้าวจึงลอยกรุ่นไปทั่วบริเวณไม่แพ้กัน
ส่วนร้านที่ขายบะหมี่แห้ง ถึงแม้คนขายไม่จำเป็นต้องปรุงอาหารสำเร็จมาจากที่บ้าน แต่เขาก็เตรียมตักเครื่องปรุงรสลงในชามเปล่าหลายใบรอไว้ ทันทีลูกค้ามาถึง เขาก็แค่ลวกเส้นบะหมี่ แล้วเติมน้ำซุปลงในชามที่มีเครื่องปรุง เท่านี้ก็จะช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก
ตอนที่หลินม่ายและลูกสาวออกจากบ้านมา พวกเธอยังไม่ทันได้กินอะไรรองท้องเลย
หลินม่ายที่ได้กลิ่นหอมของอาหารหลายหลายประเภทซึ่งอบอวลอยู่ในอากาศยังพออดทนต่อความหิวได้ แต่โต้วโต้วที่ยังเด็กไม่อาจทนได้แบบเธอ ยิ่งได้กลิ่นก็ยิ่งรู้สึกน้ำลายสอ เอาแต่มองไปทางตู้จวน ลูกสะใภ้ของคุณป้าจางที่เปิดร้านขายปาท่องโก๋
พอเห็นแบบนั้น หลินม่ายจึงควักเงินห้าเฟินให้กับโต้วโต้ว แล้วให้หล่อนเดินไปซื้อปาท่องโก๋จากร้านของตู้จวนด้วยตัวเอง
ตู้จวนนึกเอ็นดูเกินกว่าจะรับเงินจากโต้วโต้ว จึงยื่นปาท่องโก๋ที่เพิ่งทอดร้อน ๆ ให้หล่อน แล้วหันไปพูดกับหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “ปาท่องโก๋แค่ไม่กี่ชิ้น ฉันไม่ขาดทุนหรอกจ้ะ ไม่ต้องจ่ายเงินให้ฉันหรอก”
หลินม่ายตอบกลับในขณะที่ตัวเองกำลังยุ่งอยู่กับงานตรงหน้า “ฉันเปล่ากลัวว่าพี่จะขาดทุนหรอก ที่ฉันจ่ายเงินก็เพราะไม่อยากเอาเปรียบใคร”
เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้น ตู้จวนก็ไม่เกรงใจอีก ยอมรับเงินที่โต้วโต้วยื่นให้แต่โดยดี
พอโต้วโต้วได้ปาท่องโก๋มาแล้ว หล่อนกลับไม่ได้กินทันที แต่ยื่นให้ผู้เป็นแม่กินก่อน
หลินม่ายสั่นศีรษะ “ลูกเก็บไว้กินเถอะ แม่ยังไม่หิว”
ถึงอย่างนั้นโต้วโต้วก็ยังยืนกรานให้เธอกัดสักคำหนึ่ง ไม่อย่างนั้นตัวเองก็จะไม่ยอมกิน
หลินม่ายไม่มีทางอื่นนอกจากยอมกัดปาท่องโก๋ในมือของโต้วโต้วกินไปคำหนึ่ง รสชาติของมันสดใหม่และหอมหวานจริง ๆ
ตู้จวนเห็นแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ “โต้วโต้วของเธอนี่ช่างรู้ความจริง ๆ เชียว!”
หลินม่ายตอบกลับยิ้ม ๆ “เพราะอย่างนี้ไงล่ะ หล่อนถึงได้เป็นแก้วตาดวงใจตัวน้อยของฉัน”
ยิ่งโต้วโต้วได้รับคำชมจากผู้ใหญ่ รอยยิ้มก็ยิ่งเบ่งบานมากขึ้น
ก่อนที่เรือข้ามฟากลำแรกจะเข้ามาจอดเทียบท่า หลินม่ายอาศัยช่วงที่ยังว่างทำเกี๊ยวสองสามตัวให้โต้วโต้ว หวังว่าถ้าเธอได้กินอาหารในขณะที่ยังร้อนจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นบ้าง
หลังหกโมงครึ่ง เรือข้ามฟากลำแรกก็แล่นเข้ามาจอดเทียบท่า ท่าเรือที่เคยเงียบเหงาและหนาวเย็น ในที่สุดก็มีเสียงคึกคักดังมาจากบรรดาผู้โดยสารกลุ่มแรก
พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยต่างพากันตะโกนเรียกลูกค้าทันที
หลินม่ายไม่คาดคิดเลยว่าการแข่งขันทางธุรกิจจะดุเดือดขนาดนี้ เธอจำได้ว่าชีวิตของตัวเองในภพชาติก่อนไม่เห็นต้องตะเบ็งเสียงเรียกลูกค้าแข่งกับใครเลย
โต้วโต้วกินปาท่องโก๋กับเกี๊ยวจนหมด หลังจากนั้นก็เอาชามไปล้างในถังน้ำที่เตรียมมาด้วย
พอเห็นว่าพ่อค้าคนอื่น ๆ เริ่มส่งเสียงตะโกนเรียกลูกค้า หล่อนก็รีบมายืนอยู่ข้างแผงลอยของตัวเอง ทดลองตะโกนเรียกลูกค้าบ้างว่า “ร้านนี้มีเกี๊ยวขายค่ะ! เกี๊ยวอร่อย ๆ ทุกคนสนใจซื้อกันไหมคะ?”
ลูกค้าบางคนได้ยินเสียงเชื้อเชิญลูกค้าอันนุ่มนิ่มน่าเอ็นดูของหล่อน ก็เดินเข้ามาถามด้วยรอยยิ้ม “ร้านหนูขายเกี๊ยวเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!” เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าอย่างแรง พูดต่อเสียงดัง “เกี๊ยวฝีมือแม่หนูอร่อยมากเลยนะคะ!”
ลูกค้าได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของหล่อนก็สนใจอยากกินเกี๊ยว ไม่นานก็เร่เข้ามายืนล้อมหน้าร้าน
ที่จริงพวกเขาอาจไม่ได้อยากกินเกี๊ยวเป็นพิเศษ แต่เพราะเห็นแก่ความน่ารักน่าเอ็นดูของหล่อน จึงนึกอยากช่วยอุดหนุนกิจการของครอบครัวหล่อนสักหน่อย
เดิมทีในบรรดาแผงลอยขายอาหารหลายสิบร้าน ส่วนใหญ่นิยมขายอาหารเช้าเป็นหลัก มีแค่ร้านของแม่ต้าเป่าแค่ร้านเดียวที่ขายเกี๊ยว
เหตุผลที่หล่อนตัดสินใจตั้งแผงขายเกี๊ยว ก็เพราะหล่อนไม่ต้องการมีคู่แข่ง ซึ่งธุรกิจดังกล่าวก็ทำมาค้าคล่องมาโดยตลอด ใครจะคิดว่าจู่ ๆ หลินม่ายก็ตัดสินใจเปลี่ยนมาขายเกี๊ยวเหมือนกัน
ทันทีที่โต้วโต้วตะโกนเรียกลูกค้า ลูกค้าหลายคนได้ยินก็พากันผละออกไปจากร้านของหล่อน ทำให้สีหน้าของหล่อนม่วงคล้ำราวกับตับหมู
ลูกค้าเหล่านั้นเริ่มถามไถ่หลินม่ายว่าเกี๊ยวร้านเธอขายอย่างไร
หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ชามละสองเหมาห้าเฟินค่ะ ไม่ต้องจ่ายคูปองอาหาร ให้เกี๊ยวชามละสิบหกตัว แต่ถ้าคุณเอาชามกับตะเกียบมาเอง ฉันแถมให้อีกสองตัวเป็นสิบแปดตัว”
เนื่องจากยุคสมัยมียังไม่มีนวัตกรรมประเภทจานชามแบบใช้แล้วทิ้ง
เป็นไปไม่ได้ที่แผงลอยขายอาหารอย่างร้านของหลินม่ายจะมีเวลาล้างทำความสะอาดชามทุกใบและตะเกียบทุกคู่บนโต๊ะอาหาร ถังน้ำสะอาดที่เธอเตรียมมาด้วยก็มีไม่เพียงพอ ถ้าล้างซ้ำ ๆ แปบเดียวน้ำก็สกปรก
เพื่อลดปัญหาการแพร่กระจายของเชื้อโรค เธอจึงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขายโดยเสนอส่วนลดให้ลูกค้าเป็นการเพิ่มเกี๊ยวให้สองตัว สนับสนุนให้ลูกค้าที่มาอุดหนุนพกชามกับตะเกียบของตัวเองมาด้วย
ถึงแม้วันนี้จะยังไม่มีใครเตรียมชามกับตะเกียบของตัวเองมา แต่เธอเชื่อว่าวันพรุ่งนี้ต้องมีแน่
อีกทั้งราคาเกี๊ยวที่เธอขายก็ไม่ได้ต่างจากร้านอื่น ๆ มากนัก
เมื่อลูกค้าหลายคนเห็นว่าเกี๊ยวของร้านหลินม่ายถูกห่อด้วยแป้งบางเฉียบ แถมยังมีไส้เยอะมาก พอเปรียบเทียบราคากับขนาดของเกี๊ยวแล้วพบว่าไม่แพงเลย ดังนั้นพวกเขาจึงต่อคิวซื้อเกี๊ยวจากเธอคนละหนึ่งชามอย่างเอร็ดอร่อย
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีลูกค้าบางคนที่ไม่สนใจ และเดินเลยไปที่แผงลอยของแม่ต้าเป่าเพื่อซื้อเกี๊ยว เหตุผลหลักนั่นก็เพราะพวกเขาไม่ชอบเกี๊ยวร้านหลินม่ายที่ไม่มีน้ำซุปให้
โต้วโต้วรู้งานดีมาก พอเห็นว่าลูกค้ากินเกี๊ยวร้านหล่อนจนหมดชามก็วิ่งไปรับชามเปล่าจากมือพวกเขา แล้วนำมาล้างที่ถังน้ำสะอาดทันที
ลูกค้าหลายคนนึกเอ็นดูในความน่ารักและขยันทำงานของหล่อน จึงพากันไปซื้อเกี๊ยวที่ร้านของหลินม่ายเพราะอยากอุดหนุนเด็กหญิงตัวน้อย
ถึงเกี๊ยวร้านหลินม่ายจะไม่มีน้ำซุปไว้ซดแกล้มในวันนี้ แต่เธอปรุงรสไส้เกี๊ยวได้อร่อยมาก แป้งที่ห่อตัวเกี๊ยวไว้ก็มีผิวสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น ลูกค้าต่างชื่นชมฝีมือของเธอไม่หยุดปาก
ท่ามกลางคลื่นผู้โดยสารระลอกแรก เธอสามารถขายเกี๊ยวได้มากกว่าสิบชาม เบียดร้านของแม่ต้าเป่าจนตกขอบในคราวเดียว
แม่ต้าเป่าโกรธมากถึงขั้นชี้ต้นหม่อนแต่ด่าต้นเจดีย์(1)
หลินม่ายเองก็รู้ว่าคำด่ากระทบกระเทียบของแม่ต้าเป่าชี้เป้ามาทางตัวเอง แต่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยชื่อเธอออกมาตรง ๆ เสียหน่อย ถ้าเธอร้อนตัวไถหน้าเข้าไปรับอาจกลายเป็นคนที่ไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์มากพอ จึงทำเป็นไม่สนใจ
สิ่งที่สำคัญมากกว่าสำหรับเธอในตอนนี้คือการค้าขาย เลยไม่อยากต่อปากต่อคำกับแม่ต้าเป่าให้เสียเวลา
ในไม่ช้า เรือข้ามฟากลำที่สองก็แล่นเข้ามาจอดเทียบท่า ตามมาด้วยคลื่นผู้โดยสารระลอกที่สอง
เรือข้ามฟากลำนี้มีผู้โดยสารจำนวนมากกว่าครั้งก่อนหน้า อาจเป็นเพราะเวลาล่วงเข้าสู่เจ็ดโมงเช้าแล้ว
เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขายดังขึ้นอีกครั้ง
โต้วโต้วเริ่มตะโกนเชื้อเชิญลูกค้าอยู่หน้าแผงลอยของตัวเอง แน่นอนว่าเสียงเล็ก ๆ ของหล่อนสามารถดึงดูดลูกค้าจำนวนมากได้อีกเช่นเคย
หลังจากคลื่นลูกค้าจำนวนมหาศาลรอบนี้ผ่านพ้นไป หลินม่ายสามารถขายเกี๊ยวได้ทั้งสิ้นรวมสามสิบสองชาม
สีหน้าของแม่ต้าเป่าบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม หล่อนเริ่มทุบหม้อและชามในร้านเสียงดังด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
หลินม่ายเห็นแบบนั้นก็นึกสมเพช คนขี้แพ้ก็แบบนี้แหละ พอทำอะไรไม่ได้ก็เอาแต่ฟาดงวงฟาดงา
………………………………………………………………………………………………………………
ชี้ต้นหม่อนแต่ด่าต้นเจดีย์ เป็นสำนวนที่มีความหมายเดียวกันกับตีวัวกระทบคราด พยายามเหน็บแนมหรือรังควานคนหนึ่งเพื่อให้กระทบถึงอีกคนที่ตัวเองโกรธ แต่ทำอะไรโดยตรงไม่ได้
สารจากผู้แปล
อย่ามาสู้กับม่ายจื่อนะ นอกจากปากแจ๋วแล้วฝีมือการขายก็ขั้นเซียนด้วย
ไหหม่า(海馬)