ตอนที่ 73 กล่องอาหารกลางวันเฉพาะกิจ
โต้วโต้วลูบพุงป่อง ๆ ของตัวเอง “หนูกินแล้วค่ะ อิ่มมาก ๆ เลยด้วย”
ว่าแล้วก็ใช้นิ้วก้อยชี้ไปที่หลินม่าย “แต่แม่หนูน่าจะยังไม่อิ่ม เมื่อเช้านี้เธอกินเกี๊ยวรองท้องไปไม่กี่ตัวเองค่ะ หนูอยากซื้อข้าวให้แม่ แต่หนูยังเด็กเกินไป คุณลุงช่วยเลี้ยงข้าวแม่หนูหน่อยได้ไหมคะ?”
สีหน้าหลินม่ายที่เพิ่งจะกลับมาเป็นปกติเริ่มซับสีแดงเรื่ออีกครั้ง เธอแกล้งทำเป็นโกรธขณะหันไปตำหนิโต้วโต้ว “อย่าพูดจาไร้สาระ!”
โต้วโต้วกะพริบตาปริบ สูดน้ำมูกครั้งหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “หนูไม่ได้พูดไร้สาระซะหน่อย”
ฟางจั๋วหรานหัวเราะอีกครั้ง “เด็กไม่พูดโกหกหรอกคุณ อย่าตำหนิหล่อนจริงจังนักเลย”
เขาขมวดคิ้วแล้วถามต่อ “ว่าแต่คุณพาลูกสาวมาขายของด้วยทำไมหรือ? อากาศหนาวเย็นอย่างนี้เดี๋ยวหล่อนจะเจ็บป่วยไม่สบายเอาได้”
หลินม่ายตอบอย่างช่วยไม่ได้ “ตอนแรกฉันก็ปล่อยให้โต้วโต้วนอนอยู่ที่บ้านนั่นแหละค่ะ แต่คืนก่อนมีโจรบุกขึ้นบ้าน โต้วโต้วคงกลัวจนไม่กล้าอยู่บ้านคนเดียว ก็เลยวิ่งออกมาหาฉันที่นี่”
ฟางจั๋วหรานตักเกี๊ยวเข้าปากอีกคำหนึ่ง “คุณอยู่ที่บ้านกันแค่สองแม่ลูกไม่ปลอดภัยหรอก ควรหาสุนัขมาเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านสักตัว”
หลินม่ายตอบกลับในขณะที่สองมือยังคงสาละวนทำงาน “ไม่รู้ว่าใครสักคนในหมู่บ้านมีลูกสุนัขเพิ่งคลอดหรือเปล่า ไว้ฉันกลับไปแล้วจะลองถามพวกเขาดูค่ะ”
พอลูกค้าคนหนึ่งเห็นว่าเกี๊ยวในชามของหลินม่ายมีมากกว่าเกี๊ยวในชามของตัวเอง ก็ถามหลินม่ายด้วยความไม่พอใจ “ผมจ่ายเงินซื้อเกี๊ยวร้านคุณนะ แต่ทำไมถึงให้เขาเยอะกว่าล่ะ?”
หลินม่ายตอบกลับ “เพราะเขาเป็นคนรู้จักของฉันไงคะ แต่คุณไม่ใช่”
ลูกค้าได้รับคำตอบแบบนั้นก็เดินจากไปพร้อมชามเกี๊ยวของตัวเองด้วยความโกรธ
ฟางจั๋วหรานกินเกี๊ยวจนหมดชามแล้ว ก็จัดการวางชามใบนั้นลงในถังน้ำสะอาด หันไปแนะนำหลินม่ายว่า “คุณทำเกี๊ยวอร่อยมาก แต่ถ้าไส้เกี๊ยวทำจากเนื้อส่วนขาหลัง คงอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก”
พูดจบเขาก็หันไปบอกลาโต้วโต้วแล้วเดินจากไป
หลินม่ายเหลือบมองตามแผ่นหลังของเขาไป คุณเป็นอาจารย์หมอ คุณมีเงินใช้จ่าย แม้แต่การแต่งตัวยังเนี้ยบไร้ที่ติ คุณมีสิทธิ์เลือกกินอาหารดี ๆ จะกินเนื้อสัตว์ทั้งทียังเลือกส่วนที่มีไขมันน้อยที่สุด
แต่คนธรรมดาทั่วไปที่ต้องใช้แรงงานต้องการไขมันเป็นหลัก เพราะแบบนี้เธอถึงเลือกเนื้อขาหน้าเป็นวัตถุดิบสำหรับทำไส้เกี๊ยว
ร้านของแม่ต้าเป่าเงียบเหงา ดังนั้นหล่อนจึงเอาแต่จ้องจับผิดหลินม่าย
พอเห็นว่าหญิงสาวมองตามแผ่นหลังของฟางจั๋วหรานอย่างไม่วางตา ปากที่เคยสงบเงียบก็พูดเหน็บแนมชาวบ้านอีกครั้ง “มองอะไร มีอะไรให้มองกัน จุ๊ ๆๆ อย่าได้คิดจะจับเขาเลย คนอย่างเธอไม่คู่ควรพอหรอก”
หลินม่ายหันไปมองหล่อนพร้อมขมวดคิ้ว “ถ้าคุณคิดว่าตัวเองคู่ควรพอ งั้นก็ลองจับเขาดูสิ!”
คำพูดของเธอทำให้บรรดาผู้ค้ารายย่อยหลายคนต่างหัวเราะออกมา แม่ต้าเป่าโกรธมากแต่ทำอะไรไม่ได้
จังหวะนั้นสายตาหลินม่ายเผอิญเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง พอเพ่งสายตามองก็พบว่าเป็นธนบัตรใบละห้าสิบเหมา สอดอยู่ระหว่างขวดเครื่องปรุงหน้าร้าน
เธอรู้ดีว่าธนบัตรใบนี้เป็นของฟางจั๋วหราน เขาคงแอบเสียบไว้โดยอาศัยจังหวะช่วงที่เธอไม่ทันสังเกต
ถึงวันนี้เธอจะห่อเกี๊ยวไว้ในปริมาณที่มากกว่าเมื่อวาน แต่กลับขายดีจนหมดเกลี้ยงทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงแปดโมงครึ่ง
พ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ เห็นหลินม่ายปิดแผงและลากรถเข็นกลับบ้านไปพร้อมกับโต้วโต้ว ต่างก็รู้สึกอิจฉากันถ้วนหน้า เพราะตอนนี้พวกเขายังขายของไม่หมดด้วยซ้ำ…
หลังจากสองแม่ลูกเก็บร้านและเดินออกไปได้สักระยะหนึ่ง ก็บังเอิญสวนทางกับพ่อต้าเป่าอีกครั้ง
ขณะนี้เป็นเวลาแปดโมงครึ่งแล้ว เขาต้องออกไปช่วยภรรยาปิดแผงและขนของกลับบ้าน
ถ้าปล่อยให้ล่าช้าจนเจ้าหน้าที่เทศกิจมาขับไล่ ลำพังภรรยาของเขาคงเก็บข้าวของหนีไม่ทันแน่ เกิดหล่อนถูกเจ้าหน้าที่เทศกิจจับตัวไป คนที่ลำบากใจที่สุดคงหนีไม่พ้นเขา
ไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียว ญาติของพ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ ก็ออกจากบ้านมาช่วยคนของตัวเองปิดแผงเช่นเดียวกัน
นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่เทศกิจกลับมาปฏิบัติงานตามปกติหลังวันหยุดยาว พวกเขาก็ไม่สามารถปิดแผงด้วยตัวคนเดียวได้อีก ต้องออกมาช่วยเหลือกันเพื่อให้ทันเวลา
พ่อต้าเป่าพยักหน้าทักทายหลินม่าย “ขายหมดแล้วสินะ”
หลินม่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จากนี้ไปเราไม่ต้องคุยกันดีกว่า ฉันไม่อยากมีปัญหากับเมียคุณ”
พ่อต้าเป่ารู้สึกกระดากอายขึ้นมาทันที
เมื่อสองแม่ลูกเดินห่างออกมาไกลแล้ว ใครบางคนกลับร้องตะโกนเสียงดัง “เจ้าหน้าที่เทศกิจมาแล้ว!”
หลินม่ายหันขวับกลับไปมอง เห็นว่าผู้ค้าแผงลอยทั้งหลายต่างรีบร้อนเก็บข้าวของกันอย่างลนลานเพื่อหลบหนี
เธอจำได้ว่าชีวิตในชาติก่อนหน้าของตัวเองต้องทำงานหาเงินอย่างหนัก
ครั้งหนึ่งในระหว่างที่กำลังปิดแผงหนีเจ้าหน้าที่เทศกิจ น้ำซุปร้อน ๆ กลับหกกระเซ็นราดแขนข้างหนึ่งจนผิวหนังพุพองเพราะความร้อน ความเจ็บปวดแสบร้อนทำให้เธอแทบจะเป็นลม
แต่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับไม่เห็นใจสงสารเธอเลยแม้แต่นิด แถมยังบอกด้วยว่าหลินม่ายสำออยไปเอง
แตกต่างจากหลินเพ่ย ต่อให้หล่อนเสแสร้งว่าเป็นไข้หวัด เขากลับทุกข์ร้อนทรมานจนแทบจะตายแทนได้
เวลานั้นหลินม่ายที่ยังรักเขาอย่างสุดหัวใจเคยถามเขาว่า ถ้าเธอตายไป เขาจะรู้สึกเสียใจบ้างหรือเปล่า
เธอยังจดจำคำพูดของผู้ชายขี้ขลาดคนนั้นได้เป็นอย่างดี ‘เธอก็แค่ผู้หญิงจนตรอกคนหนึ่ง ชีวิตไร้ค่าไร้ราคา ไม่ควรค่าให้ฉันรู้สึกสงสารหรือเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว!’
หลินม่ายตายแล้วเกิดใหม่มาสองครั้งสองคราแล้ว เธอไม่หลงเหลือความผูกพันใด ๆ กับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนอีกต่อไป นับประสาอะไรกับภาพความทรงจำอันเลวร้ายพวกนั้น
เธอเจ็บช้ำเพราะเขามามากเกินพอ หลังจากตกอยู่ในสภาวะจำยอมมาตลอดทั้งชีวิต ในที่สุดเธอก็สลัดหลุดจากเขาได้เสียที
หลังจากกลับมาถึงบ้าน หลินม่ายพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อนวดแป้ง เตรียมไว้ทำซาลาเปาไส้กากหมูสำหรับมื้อเที่ยง
หลังจากเสร็จงาน หลินม่ายก็เดินออกจากบ้านไปถามไถ่ชาวบ้านคนอื่น ๆ ในละแวกนั้นว่าบ้านของใครมีลูกสุนัขเพิ่งคลอดบ้าง
ผลสรุปก็คือไม่มีบ้านไหนมีลูกสุนัขเลย
ถึงอย่างนั้นก็มีครอบครัวหนึ่งซึ่งเลี้ยงสุนัขตัวเมียที่กำลังตั้งท้อง พวกเขาสัญญาว่าถ้ามันคลอดเมื่อไหร่จะแบ่งลูกของมันให้ทันที
ทันทีที่กลับมา ลุงฉีก็ขนผักที่เธอสั่งไว้เมื่อวานมาส่งถึงหน้าบ้านพอดี
หลินม่ายสังเกตผักที่เขาเอามาส่ง ไม่ว่าจะเป็นต้นหอม กะหล่ำดอก หรือขึ้นฉ่ายล้วนสดใหม่คุณภาพดี ดังนั้นเธอจึงสั่งผักกับเขาล่วงหน้าให้เอามาส่งในวันถัดไปเหมือนเดิม
ลุงฉีรับเงินค่าผักล่วงหน้าครบแล้วก็เดินจากไปอย่างมีความสุข
ได้รับเงินทั้งทีจะไม่ให้ร่าเริงได้อย่างไร
ตอนเที่ยง หลินม่ายจัดการนึ่งซาลาเปาไส้กากหมูและทำซาลาเปาไส้ขึ้นฉ่ายเพิ่มด้วย ซึ่งโต้วโต้วก็ยังคงเจริญอาหารตามเคย
หลังมื้ออาหารกลางวัน หลินม่ายงีบหลับ ก่อนจะตื่นมาถักเสื้อไหมพรมอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ออกจากบ้านไปซื้อเนื้อหมูและกระดูกหมู
คราวนี้เธอเดินเลยไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อกล่องใส่อาหาร
กล่องใส่อาหารกลางวันที่ว่านี้ เธอตั้งใจซื้อไว้สำหรับฟางจั๋วหรานโดยเฉพาะ คิดเผื่อไว้ถ้าวันต่อ ๆ ไปเขามาซื้อเกี๊ยวที่ร้านเธออีกก็จะยกกล่องอาหารใบนี้ให้เขาใช้คนเดียว
วันรุ่งขึ้น ฟางจั๋วหรานมาอุดหนุนเกี๊ยวร้านเธออีกตามเคย แต่วันนี้เขาไม่ได้มามือเปล่า ยังอุ้มกล่องกระดาษลังใบหนึ่งมาด้วย
เสียงเห่าเล็ก ๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากกล่องใบนั้น
โต้วโต้วถามด้วยความตื่นเต้น “คุณอา มีหมาน้อยอยู่ในกล่องใช่ไหมคะ?”
“ใช่” ฟางจั๋วหรานลดตัวลงนั่งยอง ๆ วางกล่องกระดาษลังลงบนพื้น
เขาแง้มเปิดฝากล่องครึ่งหนึ่งให้เธอเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน “อาไปขอลูกหมาป่า(1)มาจากใครคนหนึ่ง หนูจะได้เลี้ยงมันไว้เฝ้าบ้าน ให้มันคอยปกป้องดูแลหนูกับแม่”
โต้วโต้วอุ้มหมาป่าน้อยออกมาจากกล่องลังอย่างมีความสุข แล้วเอาแต่เดินวนไปมาด้วยความตื่นเต้น
หลินม่ายหยิบกล่องอาหารกลางวันที่เตรียมไว้สำหรับฟางจั๋วหรานโดยเฉพาะออกมา ตักเกี๊ยวใส่กล่องจนเต็ม ก่อนจะยื่นให้เขา
“ที่จริงฉันจองลูกสุนัขไว้กับคนในหมู่บ้านแล้วค่ะ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นธุระหาลูกหมาป่าให้ก็ได้ แต่ก็ขอบคุณมากนะคะ”
สายตาของฟางจั๋วหรานตกไปที่กล่องอาหารกลางวันสภาพใหม่เอี่ยมตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปรับแล้วตักเกี๊ยวกิน “ถ้าจองลูกสุนัขจากคนอื่น อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่ามันจะคลอด แต่ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่รอไม่ได้นะคุณ อีกอย่าง หมาบ้านพวกนั้นเทียบกันกับหมาป่าไม่ได้หรอก หมาป่ามีความจงรักภักดีต่อเจ้าของและดุร้ายมากกว่า”
“ฉันรู้ค่ะ แต่ฉันแค่ละอายใจที่ต้องติดหนี้บุญคุณจากคุณอยู่บ่อยครั้ง”
ฟางจั๋วหรานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมหาลูกหมาป่าตัวนั้นมาให้โต้วโต้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณเลย เพราะฉะนั้นคุณจะติดหนี้บุญคุณผมได้ยังไง”
หลินม่ายได้แต่ยิ้ม
หลังจากกินเกี๊ยวเสร็จ ฟางจั๋วหรานตั้งใจว่าจะหาจังหวะสอดธนบัตรใบละห้าสิบเหมาทิ้งไว้ให้เธอเหมือนเมื่อวาน แต่ครั้งนี้เขาถูกหลินม่ายจับได้เสียก่อน
“ดูคุณสิ เมื่อวานนี้ฉันอุตส่าห์ทำเกี๊ยวให้คุณกินเป็นการขอบคุณ แต่คุณก็ยังหาทางทิ้งเงินไว้ให้ฉันจนได้ วันนี้คุณจะใช้ลูกไม้เดิม ๆ ไม่ได้แล้วนะคะ!”
ฟางจั๋วหรานยิ้ม ตอบกลับว่า “ผมเป็นผู้ชาย จะมาขอเกี๊ยวร้านคุณกินฟรี ๆ ได้ยังไง คุณรับเงินจากผมไปเถอะ ไม่อย่างนั้นครั้งต่อไปผมคงไม่กล้ามาช่วยอุดหนุนอีก”
หลินม่ายยังคงแบ่งรับแบ่งสู้ “อย่างน้อยก็ขอให้ฉันได้เลี้ยงเกี๊ยวคุณสักครึ่งเดือน หลังจากนั้นค่อยคิดเงินก็แล้วกัน คุณช่วยชีวิตโต้วโต้วไว้ไม่ให้เธอถูกรังแก วันนี้ยังหาลูกสุนัขมาให้พวกเราอีก ขอให้เราได้ทำบางอย่างเป็นการตอบแทนเถอะค่ะ”
ฟางจั๋วหรานหัวเราะ “ช่วยชีวิตโต้วโต้วงั้นเหรอ? ผมว่าคุณพูดเกินจริงไปหน่อย ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่คุณว่า หลังจากนี้ผมจะมากินเกี๊ยวที่ร้านคุณเป็นเวลาครึ่งเดือน”
หลังจากบอกลาโต้วโต้วแล้ว เขาก็เดินจากไปเพื่อต่อรถประจำทาง
โต้วโต้ววิ่งตามหลังเขาไปพร้อมถามว่า “พรุ่งนี้คุณอาจะมากินเกี๊ยวที่ร้านอีกไหมคะ?”
ฟางจั๋วหรานหันกลับมาตอบเธอว่า “มาสิ!”
แม่ต้าเป่าขดริมฝีปากอย่างนึกรังเกียจ “จิ้งจอกตัวใหญ่สั่งสอนจิ้งจอกตัวเล็กให้เจริญรอยตามซะแล้ว”
……………………………………………………………………………………………………………….
ลูกหมาป่าในที่นี้อาจไม่ได้หมายถึงหมาป่าที่อยู่ในป่าจริง ๆ แต่เป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่อย่างสุนัขตำรวจ
สารจากผู้แปล
พี่หมอเร่งทำคะแนนเยอะนะคะตอนนี้ มาช่วยทุกอย่างเลยตั้งแต่ซื้อเกี๊ยวกับหาลูกหมามาให้เลี้ยง
อิจฉาละสินังแม่ต้าเป่า ไม่ได้รับความอ่อนโยนแบบนี้จากสามีที่บ้านล่ะสิ
ไหหม่า(海馬)