ตอนที่ 103 อวดทีวีใหม่
ผู้อำนวยการหลิวเป็นคนจัดการเรื่องใบอนุญาตให้กับหลินม่ายด้วยตัวเอง ทำให้เธอจัดการเอกสารทุกอย่างเสร็จภายใน 4 ชั่วโมง
หลังจากออกจากสำนักงานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ หลินม่ายรีบบอกให้เขากลับบ้านเพื่อพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ฟางจั๋วหรานมีงานต้องทำต่ออีก
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หญิงสาวก็ส่งใบอนุญาตให้โจวฉายอวิ๋นดู ก่อนที่จะเก็บมันไว้ที่ตู้ชั้นบน แล้วถีบสามล้อออกไปซื้อข้าวเหนียว หัวเชื้อหมักเหล้า และอุปกรณ์ต่าง ๆ
ข้าวเหนียวและหัวเชื้อหมักเหล้าสามารถหาซื้อได้ที่ตลาดมืดเท่านั้น ส่วนพวกอุปกรณ์อย่างชาม ตะเกียบ สามารถซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป
ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมา มีสินค้าบางรายการที่ไม่ต้องใช้คูปองในการซื้อ
หญิงสาวถีบสามล้อกลับมาที่บ้าน ได้ยินเสียงจอแจมาจากหน้าบ้านของตัวเอง
ยังไม่ทันที่เธอจะมีเวลาเอาของที่ซื้อมาไปเก็บ ก็ต้องเดินไปที่ครัวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอพบว่าที่ร้านเต็มไปด้วย ป้า ๆ น้า ๆ มายืนล้อมโจวฉายอวิ๋นอยู่ ไม่แน่ใจว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่
หลินม่ายเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
มองปราดเดียวก็รู้ว่าป้า ๆ น้า ๆ พวกนี้ไม่ใช่ลูกค้า แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามาทำอะไรกัน
ป้าคนหนึ่งเห็นหลินม่ายก็รีบพูดขึ้นมา “นายหญิงกลับมาแล้ว!”
พวกหล่อนเลิกสนใจโจวฉายอวิ๋นแล้วพากันเฮโลเข้ามาหาหลินม่ายแล้วพูดขึ้นว่า “เสี่ยวหลิน ฉันได้ยินมาว่าเธออยากได้คนมาทำงานเพิ่ม ฉันอยากทำงานที่นี่”
“ฉันก็อยากทำงานที่เหมือนกัน ฉันรีดแป้งเกี๊ยวได้สวยมากนะ”
“ฉันคิดบัญชีเร็วมาก ขายซาลาเปาก็เก่งด้วย”
หลินม่ายเริ่มถามอย่างแปลกใจ “พวกคุณรู้จักฉันได้ยังไงกัน”
โจวฉายอวิ๋นรีบตอบ “คุณป้าทุกคนเป็นเพื่อบ้านที่อยู่ซอยเดียวกับเรา”
หลินม่ายไม่รู้จักพวกเขา แต่วันที่เธอและครอบครัวย้ายเข้ามา เพื่อนบ้านเหล่านี้พากันมาดูจึงทำให้หลินม่ายเป็นที่รู้จักไปโดยปริยาย
หญิงสาวยิ้มแล้วพูดว่า “พวกคุณตามมาจากใบประกาศที่ประตูนี่เอง แต่ในใบสมัครเขียนไว้ว่าเป็นมะรืนนี้ ไม่ใช่วันนี้นี่คะ”
เหล่าป้า ๆ ไม่พอใจเท่าไร กลอกตาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟังว่า “โธ่ นี่แค่ธุรกิจเล็ก ๆ เอง ไม่เห็นต้องมากพิธีไปเลย ไหน ๆ ก็มาวันนี้แล้ว ทำไมไม่คัดเลือกวันนี้ไปเลยล่ะ”
ป้าหลายคนเริ่มเอ็ดขึ้น “พวกเราเพื่อนบ้านกันคนกันเองทั้งนั้น เหมือนที่เขาว่า ญาติห่าง ๆ ยังไม่สู้เพื่อบ้านใกล้ชิด ไหน ๆ เราก็มาถึงที่นี่แล้ววันนี้ มันจะไปเสียหายอะไรถ้ารับสมัครตอนนี้เลย หรือว่าไม่อยากชวนให้พวกเรามาที่นี่งั้นเหรอ มันจะไม่เล่นตัวไปหน่อยแล้วน่า”
โจวฉายอวิ๋นที่ฟังอยู่ก็เริ่มโมโหขึ้นมาแต่ไม่ได้พูดออกไป ยัยป้าพวกนี้นี่ มาพล่ามอะไรกันที่นี่
พูดจาดูถูกกันแบบนี้แล้วยังจะกล้ามาสมัครงานอีกงั้นเหรอ มีความอายเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า
หลินม่ายยังคงตอบพวกหล่อนด้วยรอยยิ้มว่า “ก็เพราะว่าเป็นเพื่อนบ้านกันนี่แหละค่ะ ฉันก็เลยเกรงใจที่ชวนพวกคุณมา”
น้าคนหนึ่งเอ่ยต่อ “ไม่เห็นจะต้องเกรงใจกันเลย แค่จ่ายเงินเดือนมาก็พอแล้วน่า”
หลินม่ายยังคงยิ้มอย่างเป็นมิตร “ที่ใบสมัครฉันประกาศรับแค่ผู้ชายสี่คน แต่พวกคุณมากันหลายคนมาก ฉันเลยไม่แน่ใจว่าจะรับใครดี เพราะว่าฉันรับได้แค่จำนวนน้อย ถ้าฉันชวนแค่บางคนก็จะกลายเป็นเรื่องขุ่นเคืองใจต่อกันอีก ก็เลยเลือกไม่ชวนใครเลยดีกว่าเพื่อความสบายใจ”
โจวฉายอวิ๋นมองหลินม่ายอย่างชื่นชม นั่นเป็นการตอบคำถามที่ดีมาก ๆ
ป้า ๆ น้า ๆ เงียบไป ถ้าขอให้หลินม่ายรับตัวเองเข้าทำงานก็เท่ากับเป็นการทำให้คนที่เหลือไม่พอใจอย่างนั้นสิ
หลังจากที่กลุ่มป้า ๆ เหล่านั้นกลับบ้านไป หลินม่ายที่เห็นว่ามีของเหลือให้ขายอยู่แค่ไม่กี่อย่างจึงชวนโจวฉายอวิ๋นไปเตรียมอาหารเย็น
อาหารเย็นวันนี้เตรียมอย่างง่าย ๆ ด้วยอาหารที่เหลือจากตอนเที่ยง
แต่เพราะมื้อเที่ยงมีแต่กับข้าว ไม่ได้เตรียมข้าวสวยเอาไว้ โจวฉายอวิ๋นจึงทำข้าวผัดไข่ที่ผัดด้วยน้ำมันหมูเพิ่มขึ้นมา
การทำข้าวผัดไข่ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะอะไรมากมายนัก หลินม่ายสอนคนเป็นพี่เพียงไม่นานก็ทำข้าวผัดไข่สำเร็จอย่างรวดเร็ว แถมยังมีรสชาติอร่อยเป็นที่น่าพอใจอีกต่างหาก
เมื่ออาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย หลินม่ายก็เดินไปที่บันไดแล้วเรียกโต้วโต้วให้ลงมากินข้าว คนเป็นแม่เรียกลูกสาวอยู่สองครั้งติดต่อกันแต่ได้รับตอบกลับมาเพียงความเงียบจากชั้นบน
โจวฉายอวิ๋นที่ถือจานสองใบเดินออกมาจากครัวก็เริ่มขมวดคิ้วแล้วตั้งข้อสังเกตว่า “วันนี้โต้วโต้วแปลก ๆ นะทำไมนอนนานจัง”
หลินม่ายรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจึงเดินขึ้นไปที่ชั้นบน
หญิงสาวเข้าไปในห้องนอนก็เห็นว่าโต้วโต้วยังหลับอยู่
เธอรีบเอื้อมมือไปอังหน้าผากลูกเพื่อตรวจดูว่าตัวร้อนหรือเปล่า ก็พบว่าโต้วโต้วตัวร้อนเล็กน้อย น่าจะมีไข้ต่ำ ๆ
ร่ากายของเด็กน้อยมีปัญหาอยู่บ่อย ๆ และยังเป็นไข้ในวันอากาศร้อนได้อีก
เธอยังให้ลูกกินยาที่หมอสั่งตอนป่วยคราวก่อนไม่ครบดีเลยด้วยซ้ำ
หลินม่ายหยิบเอายาที่มีอยู่ออกมา เทน้ำอุ่นลงในแก้ว แล้วปลุกโต้วโต้วขึ้นมากินยา
เด็กน้อยตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง พิงแขนของแม่แล้วกินยาทั้งที่ยังไม่ตื่นดี
เธอพาลูกลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อไปกินข้าวด้วยกันที่ชั้นล่าง
เมื่อเด็กน้อยเดินผ่านห้องนั่งเล่นก็มองเห็นโทรทัศน์เครื่องใหม่ที่ถูกตั้งเอาไว้
อาการอ่อนเพลียเพราะไม่สบายของหล่อนดูสดใสขึ้นมาทันทีที่เห็นทีวีเครื่องนั้น “แม่ซื้อทีวีมาเหรอคะ?”
หลินม่ายคิดได้ว่าเธอต้องจ่ายอาหารเช้าให้ฟางจั๋วหรานเป็นค่าทีวีเครื่องนี้ ดังนั้นก็นับได้ว่าเธอเป็นคนซื้อมา จึงได้พยักหน้าตอบลูกสาวไป
เด็กน้อยรีบกอดต้นขาของเธออย่างมีความสุขแล้วพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “แม่น่ารักที่สุดเลย”
คนเป็นแม่ตบก้นลูกสาวแล้วพูดว่า “เลิกชมแม่แล้วลงไปกินข้าวกันดีกว่า”
โต้วโต้วชี้ไปที่ทีวีแล้วบอกว่า “แม่คะ เอาทีวีลงไปข้างล่างหน่อยสิ หนูอยากดูทีวีไปกินข้าวไปด้วย”
“อยู่ข้างบนก็กินข้าวไปดูไปได้ ทำไมถึงอยากเอาลงไปดูข้างล่างล่ะ”
หลินม่ายกลัวว่าถ้าเอาทีวีไว้ชั้นล่างจะทำให้มีคนเข้ามาวุ่นวายจนเกิดปัญหาหรือเสียหายได้ เลยตั้งใจวางโทรทัศน์เครื่องนี้ไว้ที่ชั้นบน
เจ้าหนูน้อยยังคงชี้ไปที่ทีวีแล้วเล่าต่อว่า “หนูอยากให้หยางหยางเห็น ว่าบ้านเราก็มีทีวีเหมือนกัน”
แม้จะเป็นเพียงแค่เด็กน้อย แต่ก็รู้สึกอึดอัดใจที่ถูกหัวเราะเยาะได้เช่นกัน คำตอบนั้นทำให้หลินม่ายเลิกคิ้วด้วยความเข้าใจ
แม้ว่าจะฟังดูเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่ได้เกินขอบเขตมากไปนัก หลินม่ายจึงพยักหน้าตกลง
“แต่แม่จะให้เอาไปดูชั้นล่างแค่วันนี้นะ พรุ่งนี้ต้องเอากลับมาวางชั้นบนเหมือนเดิมเข้าใจไหม”
“ทำไมล่ะคะ” เจ้าตัวเล็กถามต่ออย่างไม่เข้าใจ
หลินม่ายตอบลูกลูกสาว “วางไว้ที่ชั้นล่าง คนโน้นมาย้าย คนนี้มาจับ ย้ายไปย้ายมาเดี๋ยวพังไวกันพอดี”
เด็กน้อยพยักหน้าแล้วรับคำ “ได้ค่ะ”
แม่ลูกจึงพากันยกทีวีลงไปชั้นล่าง
ส่วนโจวฉายอวิ๋นจัดโต๊ะรอสำหรับมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว
หลินม่ายวางทีวีไว้ที่หน้าโต๊ะกินข้าว แล้วทั้งสามก็เริ่มกินมื้อเย็นด้วยกัน
โต้วโต้วได้กลิ่นหอมของน้ำมันหมูที่ใช้ผัดข้าวผัดไข่ก็เริ่มน้ำลายสอ มือเล็ก ๆ ตบเข้าเข้าหากันแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ได้กินข้าวผัดไข่น้ำมันหมูแล้ว!”
ในตอนนั้นเองที่หยางหยาง เด็กชายข้างบ้านวิ่งมาที่ประตูร้านพร้อมกับชามข้าวของตัวเองเพื่อมาโอ้อวดกับโต้วโต้ว “ฉันจะไปเปิดทีวีดูแล้ว ยัยบ้าอย่างเธออย่ามายุ่งเชียวนะ ถ้ามาวุ่นวายฉันจะตีเธอแน่”
โต้วโต้วรีบตอบกลับอย่างโมโห “ใครจะไปอยากสนใจทีวีเจ๊งกะบ๊งแบบนั้นกันล่ะ แม่ฉันซื้อทีวีให้ใหม่แล้ว ถ้ายังกล้ามาดูถูกกันอีกฉันจะให้อาหวงไปกัดเลย”
อาหวงที่กำลังกินข้าวผัดเป็นอาหารเย็นได้ยินแบบนั้นก็เริ่มเห่าและแยกเขี้ยวใส่หยางหยางราวกับว่าเข้าใจเรื่องที่เด็กทั้งสองเถียงกัน ท่าทางเหมือนจะตรงเข้าไปกัดหยางหยางเมื่อไรก็ได้
หยางหยางเถียงอย่างไม่เชื่อ “อย่ามาโม้น่า ย่าฉันบอกว่าบ้านเธอจนจะตาย จะซื้อทีวีได้ไง ซอยนี้มีแค่บ้านฉันกับบ้านของเสี่ยวพ่างเท่านั้นที่มีทีวี”
เด็กชายไปยืนอยู่ที่มุมตู้ บังโทรทัศน์เครื่องใหม่อยู่พอดีจึงไม่ทันได้มองเห็น
หลินม่ายเดินไปเสียบปลั๊กทีวีแล้วเปิดเครื่อง ก่อนจะกลับมานั่งกินข้าวอย่างเงียบ ๆ
โต้วโต้วชี้ไปที่ทีวีอย่างเยาะเย้ย แล้วพูดเกทับหยางหยางบ้าง “ดูซะ ทีวีใหม่ เครื่องใหญ่กว่าที่บ้านนายอีก แถมไม่มีหิมะตกในทีวีด้วย ไม่เหมือนทีวีเจ๊งกะบ๊งของบ้านนายที่ดูก็ไม่ชัดมีแต่เกล็ดหิมะเต็มไปหมด”
คราวนี้หยางหยางจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปอย่างเจ็บใจ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เด็กอะนะ ขอแค่ได้อวดของใหม่แก้แค้นก็นับว่าสบายใจแล้ว
ไหหม่า(海馬)