ตอนที่ 106 ซอสพริกรสจัดแสนอร่อย
หลินม่ายกำลังมองหาคนช่วยงานที่มีฝีมือโดยไม่ได้สนใจเรื่องระดับการศึกษา
ในยุค 80 มีคนที่ไม่รู้หนังสืออยู่ค่อนข้างมาก การอ่านหนังสือไม่ออกไม่เป็นเรื่องใหญ่ตราบใดที่ทำงานได้ดี
สุดท้ายแล้วหลินม่ายก็เลือกคุณป้าเพิ่มมาสามคน พวกหล่อนมาจากครอบครัวฐานะยากจน แต่ทำงานได้อย่างคล่องแคล่วและรับมือกับงานหนักได้ดี
ในชาติที่แล้วเธอก็มักจะเลือกลูกจ้างที่มีภูมิหลังครอบครัวที่ค่อนข้างลำบากแต่มีความสามารถในการเรียนรู้ได้เร็ว จะได้ช่วยพวกเขาให้มีชีวิตที่ดีขึ้นไปพร้อม ๆ กับการทำงานอย่างตั้งใจและอดทน
สำหรับการเลือกพนักงานที่จะมาช่วยขายของ เธอจะมีมาตรฐานในการเลือกคนที่สูงกว่าตำแหน่งอื่น ๆ อย่างน้อยก็ควรเรียนจบชั้นประถม และดูอัธยาศัยดี
ในบรรดาผู้สมัครทั้งหมด มีคนหนึ่งที่อายุประมาณ 18 หรือ 19 ชื่อวังเสี่ยวลี่ ที่ทำให้หลินม่ายประหลาดใจด้วยวุฒิการศึกษาชั้นมัธยมปลาย
ในยุคนี้แทบจะหาคนจบมัธยมปลายแบบนับหัวได้
หลินม่ายถามตามตรงว่า “ในเมื่อจบม.ปลายมา ทำไมถึงไม่ไปหางานราชการทำล่ะ?”
วังเสี่ยวลี่ยิ้มอย่างขมขื่น “พ่อแม่ฉันเป็นคนซื่อตรงเกินไป ไม่มีทางยอมแน่”
หลินม่ายพิจารณาบุคลิกของอีกฝ่าย เธอเป็นหญิงสาวรูปร่างผอมบางสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เห็นแบบนั้นก็ยอมรับเสี่ยวลี่เข้าทำงาน
เธอจัดแจงมอบหมายงานและแจ้งเวลาเข้างานให้ผู้สมัครแต่ละคนในหน้าที่ต่าง ๆ ตามที่คัดเลือกมา
ป้าสามคนที่มีหน้าที่ทำแผ่นเกี๊ยว ทำซาลาเปา และต้มเกี๊ยว ให้มาเริ่มงานตอนหกโมงเช้า และเลิกงานตอนเก้าโมงครึ่ง
วังเสี่ยวลี่เป็นพนักงานขายมาทำงานตอนหกโมงครึ่งและเลิกงานสิบโมงเช้า ค่าแรงของทุกคนคือ 15 หยวนต่อเดือน
ถือเป็นเงินเดือนจำนวนไม่น้อยเลยถ้าเทียบกับชั่วโมงทำงานเพียงสามชั่วโมงครึ่งต่อวัน
หลังเรียบร้อยเรื่องพนักงานใหม่ หลินม่ายก็รีบกินมื้อกลางวันอย่างเร่งรีบ ฝากให้โจวฉายอวิ๋นขายข้าวผัดเพียงลำพัง ส่วนเธอขับรถแทรกเตอร์ไปที่เมืองซื่อเหม่ยเพื่อซื้อไข่ ข้าวสาร แป้ง และน้ำมัน พร้อมกับถือโอกาสเอาไหเพ่าฉ่ายกลับไปคืนชาวบ้านด้วยเลยทีเดียว
คุณปู่ฟางซื้อไข่เตรียมรอไว้แล้ว เธอสามารถไปขนมันขึ้นรถได้ทันทีที่ไปถึง
ข้าวสาร แป้ง และน้ำมันพืช เป็นสินค้าที่หาได้ทั่วไปในพื้นที่แสนอุดมสมบูรณ์อย่างที่นี่ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว แต่ผลผลิตทางการเกษตรก็ยังมีให้หาซื้อได้อย่างไม่ขาดมือ
เมื่อซื้อข้าวสารและน้ำมันจากคุณยายผู้ยากไร้คนหนึ่งหลินม่ายมักจะเห็นว่ายายทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างกับเธออยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้พูด
เธอจึงเอ่ยถามกับยายอย่างใจดีกว่า “ยายคะ มีอะไรอยากจะคุยกับฉันก็บอกมาตามตรงได้เลยนะ”
หญิงชราจึงเอ่ยอย่างลังเลต่อลูกค้าสาว “ยายมีซอสพริกโหลใหญ่อยากจะขายให้หนู แต่ไม่รู้ว่าหนูอยากจะลองซื้อดูไหม
ชาวบ้านจากหมู่บ้านเดียวกันของหญิงชราเอ่ยขึ้นอีกว่า “เธอน่าจะลองซื้อซอสพริกของคุณแม่เถียนนะ หลานชายของหล่อนกำลังป่วยและต้องหาเงินไปรักษา”
หลินม่ายเริ่มคิดขึ้นว่าชาวเจียงเฉิงมักจะชอบกินอาหารรสจัดกันอยู่แล้ว
ถ้าซื้อซอสพริกจากคุณยายเถียน ในตอนเที่ยง ที่ทำเมนูข้าวผัดไข่ขายก็จะสามารถใช้เอาไปเติมให้คนที่ชอบกินรสจัดจ้านได้ ลูกค้าอาจจะติดใจกลับมากินอีก หญิงสาวเลยตัดสินใจตามคุณยายเถียนไปที่บ้านของเธอ
บ้านที่หญิงชราอาศัยอยู่ค่อนข้างทรุดโทรมมากแล้ว นางใช้กระสอบปุ๋ยคลุมหน้าต่างแทนกระจก จึงทำให้มีแสงสว่างลอดเข้าไปในบ้านได้เพียงเล็กน้อย ภายในบ้านมืดสลัวแม้เป็นเวลากลางวัน
เมื่อหลินม่ายเข้าไปในบ้านก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะปรับสายตาให้เข้ากับความมืดภายในนี้
จากนั้นเธอก็เห็นเด็กชายผอมบางคนหนึ่งนอนป่วยอยู่ในห้องโถงของบ้าน
ดวงตาของเขาดูหม่นหมองและสิ้นหวัง ภาพนั้นทำให้หลินม่ายรู้สึกสะเทือนใจ
เธอหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วถามว่า “นี่คือหลานชายที่ป่วยของยายเหรอคะ”
คุณยายเถียนพยักหน้าตอบอย่างเศร้าใจ
เธอมองไปที่เด็กชายตัวน้อยเพื่อสังเกตอาการ “หลานของยายดูอาการหนักมาก น่าจะต้องรีบไปโรงพยาบาลได้แล้วนะคะ”
คุณยายเถียนเริ่มอึกอักแล้วพูดขึ้นอย่างลำบากใจ “ยาย…ยายไม่มีเงินเลย”
“ลองให้ลูกชายกับลูกสะใภ้ของยายหาวิธี…”
ยังไม่ทันพูดจบประโยคดีคุณยายเถียนก็ร้องไห้ออกมา “ลูกชายกับลูกสะใภ้ของยายเสียไปแล้วทั้งคู่เพราะอุบัติเหตุเมื่อต้นปีก่อน ตอนนี้เหลือกันอยู่แค่สองยายหลาน ต้องดูแลกันเองแล้ว”
หลินม่ายได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มไม่สบายใจ
หลังจากตัดสินใจอยู่สักพักจึงหยิบเอาธนบัตรสิบหยวนออกมาห้าใบส่งให้หญิงชรา เพื่อให้นางพาหลานไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
คุณยายเห็นแบบนั้นก็ตื้นตันใจจนแทบจะคุกเข่าขอบคุณแต่หลินม่ายห้ามไว้เสียก่อน
หญิงชราเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา “ยายพยายามไปขอยืมเงินจากทุกคนที่รู้จัก เพื่อจะพาเขาไปหาหมอ แต่ไม่มีใครกล้าให้เพราะกลัวว่ายายจะไม่มีเงินจ่ายคืน มีแค่หนูนี่แหละที่มีเมตตาให้ยายยืมเงิน ไม่ต้องห่วงนะ ยายเอาหัวเป็นกันเลย ต่อไปจะต้องตอบแทนหนูอย่างแน่นอน”
หลินม่ายรีบโบกมือห้าม “ไม่ถึงกับต้องใช้หัวเป็นประกันหรอกค่ะ แค่ยายเลี้ยงไก่เพิ่มขึ้นมาแล้วคอยเอามาขายให้ฉันทุกปีแล้วค่อย ๆ จ่ายเงินคืนก็พอแล้ว”
ความจริงแล้วหลินม่ายตั้งใจจะมอบเงินห้าสิบหยวนนี้ให้กับคุณยายเถียนไปเลย เพราะเห็นใจในความยากลำบากของสองย่าหลาน
แต่เมื่อคุณยายเถียนต้องการจะหาทางชดใช้ให้เธอ หญิงสาวจึงไม่ปฏิเสธแต่คิดวิธีการในการคืนเงินแบบนี้ขึ้นมาแทน
คุณยายเถียนปาดน้ำตาพลางขอบคุณเธออย่างซาบซึ้ง จากนั้นก็รีบตรงเข้าไปในห้องแล้วหยิบเอาโหลซอสพริกออกมา
มือเหี่ยวย่นเปิดฝาโหลออกตักเอาซอสพริกขึ้นมาใส่ชามแบ่งจำนวนสองช้อนเล็ก ๆ แล้วส่งให้หลินม่ายลองชิม “ลองชิมดูก่อนว่ารสชาติเป็นยังไง ถ้าถูกใจก็ซื้อกลับไปได้เลย แต่ถ้าไม่อร่อยก็ไม่ต้องซื้อนะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหลินม่ายก็แอบมองหญิงชราด้วยความชื่นชม
แม้ชีวิตของนางและหลานชายกำลังลำบาก ต้องพบเจอกับทั้งความยากจนและอาการเจ็บป่วย แต่ก็ไม่ได้เอาเปรียบคนอื่น พยายามจะขายซอสพริกด้วยฝีมือตัวเองจริง ๆ
หญิงสาวลองชิมซอสพริกนั้นแบบเปล่า ๆ อยู่สามคำ รับรสเผ็ดร้อนนั้นด้วยลิ้นตัวเองเต็ม ๆ
ในความคิดของเธอ ซอสพริกนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าซอสพริกเหล่ามาม่า ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในช่วงเวลาหลังจากนี้เลย
อาจจะยังเป็นรองอยู่ตรงที่ไม่ได้มีส่วนผสมพวกเนื้อวัว ถั่วลิสง ถั่วดำ และเครื่องปรุงอื่น ๆ
ซอสพริกของคุณยายเถียนใช้เพียงแค่พริกสดและถั่วเหลืองในการทำ แต่เป็นซอสที่อร่อยกว่าของเหล่ามาม่าเสียอีก เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก
หลินม่ายชิมซอสพริกอีกครั้งอย่างตั้งใจ
ในชาติก่อน เธอเป็นผู้จัดการของฝ่ายของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในเหอหนาน มีความเชี่ยวชาญในการชิมอาหารเป็นอย่างมาก
แต่หลังจากที่ได้ชิมซอสพริกสองครั้งติดกัน ก็ยังไม่แน่ใจว่าทำไมซอสนี้ถึงได้มีรสชาติดีได้ขนาดนี้
แม้ว่าจะเป็นการใช้ถั่วเหลืองที่สดใหม่และมีรสหวาน ซึ่งเป็นถั่วที่ต่างจากถั่วเหลืองหมักซีอิ๊ว แต่เธอก็คิดว่านั่นไม่น่าจะใช่เคล็ดลับที่แท้จริงทั้งหมด
หลินม่ายตัดสินใจเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ยายเถียน ทำไมซอสพริกของยายถึงอร่อยขนาดนี้ ยายมีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่าคะ”
คุณยายเถียนมีท่าทางมึนงงเล็กน้อยแล้วตอบว่า “ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรนะ”
หลินม่ายคิดว่ามันต้องมีเคล็ดลับอะไรซ่อนอยู่แน่ ๆ แต่คุณยายเถียนอาจจะไม่อยากบอกเธอ
แต่นี่เป็นสูตรลับของคนอื่น การที่เจ้าของสูตรจะไม่อยากบอกก็เป็นเรื่องปกติ
หลินม่ายส่งเงินห้าหยวนให้คุณยายแล้วขอซื้อซอสพริกของหญิงชรา “ยายช่วยทำซอสพริกส่งให้ฉันเดือนละสองโหลได้ไหมคะ”
คุณยายเถียนได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออก แต่ไม่ได้รับเงินห้าหยวนนั้น “ซอสนี่โหลหนึ่งหนักแค่ยี่สิบชั่ง ยายขายให้หนูชั่งละ 1 เหมาก็คุ้มแล้ว โถนี้จ่ายให้ยายแค่สองหยวนพอ ไม่ต้องจ่ายแพงขนาดนั้นหรอก”
เมื่อได้ยินราคาซอสพริก หญิงสาวก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ยายจะมาขายซอสในราคาเท่านี้ยังไง ฉันคิดว่าห้าหยวนยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
เธอบังคับให้ยายรับเงินห้าหยวนนั้นไปซึ่งนั่นยิ่งทำให้คุณยายเถียนยิ่งซาบซึ้งใจมากไปกว่าเดิม
กว่าจะออกมาจากบ้านคุณยายเถียนแล้วเดินทางกลับมาที่บ้านคุณย่าฟาง พระอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว คุณย่าฟางเตรียมมื้อเย็นเอาไว้ให้และกำลังรอหลินม่ายอยู่
หญิงสาวรีบไปล้างมือแล้วมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับผู้ใหญ่ทั้งสอง
คุณปู่ฟางเล่าว่าพ่อของโจวฉายอวิ๋นมาหาท่านที่บ้านเพื่อถามข่าวคราวของลูกสาว และค่อนข้างเป็นห่วง อยากจะให้หล่นอกลับไปเยี่ยมบ้างเพื่อความสบายใจ
หลินม่ายพยักหน้าตอบ “พี่ฉายอวิ๋นกำลังจะทำงานครบเดือนในอีกสองสามวันนี้ เอาไว้ฉันจะให้พี่เขาได้หยุดงานกลับไปเยี่ยมครอบครัวซักสองสามวันนะคะ”
ทั้งสามไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันไปมา หลินม่ายขอให้คุณปู่ฟางเป็นธุระหาซื้อไก่และเป็ดให้เธอ เพราะเริ่มจะใกล้วันที่ 1 พฤษภาคมแล้ว เธอวางแผนไว้ว่าจะเอาไก่กับเป็ดไปขายที่ตลาดมืดอีก
และยังคิดไว้ว่าจะอาศัยช่วงวันหยุดยาวมาเอาผลผลิตทางการเกษตรอย่างเป็ดไก่และของอื่น ๆ ไปขายเป็นค่ารถแทรกเตอร์
คุณปู่ฟางก็ตอบรับด้วยความยินดี
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ได้แหล่งวัตถุดิบใหม่แล้ว แถมเป็นการช่วยคนยากไร้ด้วย ประโยชน์สองต่อเลย
ไหหม่า(海馬)