ตอนที่ 104 แผนการของป้าหู
โต้วโต้วเริ่มพูดอีกครั้ง “บ้านเราไม่ได้มีแค่ทีวีเครื่องใหม่ แต่ยังมีคากิตุ๋นกับไข่ต้มดองให้กินด้วย บ้านนายไม่เห็นจะมีเลย”
เจ้าลูกหมีได้ยินแบบนั้นก็วิ่งร้องไห้กลับบ้านด้วยความเจ็บใจ
พอไปถึงบ้านตัวเองก็ตะโกนออกไปว่า “ย่าโกหก! ไหนบอกว่าบ้านข้าง ๆ เป็นพวกยาจกน่าสงสาร พวกเขาไม่เห็นจะเป็นแบบนั้นเลย พวกเขามีทั้งทีวีเครื่องใหม่ ยังมีคากิ มีไข่ต้มดอง ผมก็อยากกินคากิกับไข่ต้มดองบ้าง”
ป้าหูได้ยินแบบนั้นก็ตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ครอบครัวนั้นไม่ได้เป็นพวกยาจกน่าสงสารตรงไหน คิดว่าแม่ของโต้วโต้วซื้อทีวีเครื่องนั้นมาหรือไง พ่อบุญทุ่มนั่นต่างหากที่เป็นคนซื้อมา”
หยางหยางไม่เข้าใจจึงเริ่มถามขึ้นมา “พ่อบุญทุ่มคืออะไรครับ?”
“ก็คนที่เลี้ยงดูแม่ของเด็กนั่นไง คากิ ไข่ต้มดองพวกนั้นก็มาจากพ่อบุญทุ่มคนนั้นทั้งนั้นแหละ”
แม่ของหยางหยางที่ฟังอยู่เริ่มทนไม่ไหวจึงท้วงขึ้นมา “แม่ ทำไมไปพูดถึงคนอื่นแบบนั้นคะ?”
ป้าหูกลับไม่ได้หยุด “ฉันไม่ได้พูดเพ้อเจ้อ แม่นั่นก็แค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มาบอกว่าไม่มีสามี แล้วคนไม่มีสามีจะไปมีลูกได้ยังไง ฉันเห็นกับตาว่าผู้ชายหล่อ ๆ คนนั้นมาช่วยแม่นั่นขายซาลาเปาตอนเช้า แถมเอาทีวีเครื่องใหม่มาให้ด้วยตอนบ่าย ถ้าไม่ได้มีอะไรกัน จะซื้อทีวีตั้งแพงให้ทำไมล่ะ?”
แม่ของหยางหยางได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะหล่อนเองก็เห็นว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ
ย่าของหยางหยางที่กำลังกินอาหารเริ่มมองไปที่สมาชิกครอบครัวรอบ ๆ มีลูกชาย ลูกสะใภ้ และลูกสาวคนเล็กที่กำลังจะแต่งงาน อย่างมีแผนการบางอย่าง “วันนี้ฉันนั่งคิดดูอยู่แล้วเห็นว่าร้านซาลาเปาข้าง ๆ ก็ดูจะขายดี ถ้าเราเปิดบ้างก็ต้องขายดีเหมือนกัน”
สมัยก่อนการปฏิวัติ ครอบครัวของหล่อนก็เคยขายของกินเล่นพวกซาลาเปา หมั่นโถว แบบนี้มาก่อน ถ้าขายอย่างอื่นอาจจะไม่ได้มีความรู้มากนัก แต่ถ้าเป็นซาลาเปา อย่างไรก็ทำได้ดีแน่
หล่อนติดต่อกับช่างทำซึ้งไม้ไผ่คนเดียวกับที่ทำให้หลินม่ายเพื่อให้ทำซึ้งให้ตัวเองด้วย
ลูกสาวคนเล็กไม่ได้สนใจสิ่งที่ป้าหูพูด ส่วนลูกชายกับลูกสะใภ้ก็มองหน้ากันไปมาอย่างไม่แน่ใจ
หลังจากกินข้าวได้สองสามคำ ลูกชายก็เริ่มแสดงความเห็นบ้าง “ลองดูต่อไปอีกหน่อยดีไหมครับ ถ้าบ้านข้าง ๆ ขายดีจริง เราจะเปิดหลังจากนี้ก็ยังไม่สายนะแม่”
คู่สามีภรรยามีอาชีพรับจ้าง ถ้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจแม้จะเพียงกิจการเล็ก ๆ ก็จะต้องออกจากงาน ถือว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงพอสมควร
ป้าหูพยักหน้าตามลูกชาย “ก็ได้ ปล่อยให้พวกนั้นนำหน้าไปก่อนละกัน”
หลังอาหารเย็น ยังมีคากิ น้ำซุปมันเยิ้ม และข้าวผัดน้ำมันหมูเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก
หลินม่ายไม่ได้ทิ้งของเหลือพวกนี้ไปเปล่า ๆ เธอเอาข้าวผัดที่เหลือแช่ลงไปในน้ำมันและคากิที่เหลือให้อาหวง เจ้าหมาเห็นแบบนั้นก็กระดิกหางด้วยความยินดี
แต่โจวฉายอวิ๋นกลับรู้สึกว่านั่นจะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป “อาหวงเป็นแค่หมา แต่ก็ยังเอาของดี ๆ ให้มันกินด้วยเหรอเนี่ย
กับข้าวที่เหลือพวกนี้เก็บไว้กินต่อพรุ่งนี้ยังได้เลย
หลินม่ายหันมาตอบว่า “ช่วงนี้อากาศร้อน ถ้าเก็บอาหารข้ามคืนมันจะเสียเอาได้ กินไปก็คงท้องเสีย ไม่ต้องเก็บไว้หรอก”
หลังจากเก็บจานชามมาล้างเสร็จเรียบร้อย โจวฉายอวิ๋นก็เอาข้าวเหนียวออกมานึ่ง แล้วทิ้งให้เย็นเพื่อใช้ทำข้าวหมาก
หลินม่ายตรวจดูเพ่าฉ่ายก็พบว่าเริ่มเหลือไม่มากแล้ว น่าจะมีให้ใช้อีกไม่เกินสี่ห้าวันจึงวางแผนที่จะกลับไปที่บ้านในชนบทอีกครั้งเพื่อซื้อเพ่าฉ่ายเพิ่ม
โจวฉายอวิ๋นกล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้องซื้อเพิ่มแล้วก็ได้ เอาไหพวกนี้คืนชาวบ้านไปดีกว่า เดี๋ยวฉันจะดองเพ่าฉ่ายให้เอง พูดแล้วจะหาว่าคุย ฉันทำผักดองอร่อยนะ”
ความจริงแล้วหลินม่ายก็เคยทดลองดองเพ่าฉ่ายเองอยู่เหมือนกัน แต่พอลองทำดูแล้วก็พบว่ารสชาติยังใช้ไม่ได้ ยังเปรี้ยวไม่พอและไม่กรอบเท่าที่ควร เลยยังต้องซื้อจากชาวบ้านอยู่
ในเมื่อโจวฉายอวิ๋นมั่นใจในฝีมือการทำเพ่าฉ่ายก็ควรจะลองดูซักครั้ง เพราะการที่ต้องคอยขนไหเพ่าฉ่ายไปกลับชนบทก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะวุ่นวายพอสมควร
…
ฟางจั๋วหรานใช้เวลาก่อนนอนไปกับการอ่านหนังสือ จนกระทั่งสี่ทุ่ม ชายหนุ่มก็เริ่มเข้านอน
เขาเป็นคนนอนหลับได้ง่าย ปกติจะผล็อยหลับหลังศีรษะถึงหมอนแล้วสิบห้านาที
แต่คืนนี้ชายหนุ่มกลับเอาแต่พลิกตัวไปมา นอนไม่หลับโดยไม่ทราบสาเหตุ เอาแต่คิดถึงคำพูดของโจวฉายอวิ๋นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลินม่ายเป็นเด็กดีที่เจอเรื่องเลวร้ายมามากมาย
คนดี ๆ แบบนี้ควรได้รับความเมตตาจากสวรรค์บ้าง น่าจะมีผู้ชายดี ๆ ซักคนมาทำให้เธอมีความสุข แต่ว่า…ผู้ชายคนนั้นจะเป็นเขาได้จริงเหรอ?…
…
หลังจากที่ได้นอนพักอย่างเต็มที่เป็นเวลาหนึ่งคืน อาการไข้ของโต้วโต้วก็เริ่มดีขึ้นจนเกือบจะหายเป็นปกติ
เมื่อฟางจั๋วหรานมาถึงที่ร้านเพื่อกินอาหารเช้า ก็มีโต้วโต้วมาคอยบริการอย่างเต็มที่
คุณหมอฟางได้รับบริการอาหารเช้ามื้อใหญ่เป็นซาลาเปา ไข่ต้มดองซี้อิ๊ว และข้าวหมากชามโต
คนเป็นอารีบเดินเข้าไปรับชามข้าวหมากมาจากมือเด็กน้อยก่อนที่เธอจะเริ่มต้นถือมันมาเสิร์ฟให้เขา เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยให้โต้วโต้วถือมาเองจะถูกของร้อนลวกเอาได้
เด็กน้อยพิงตัวกับโต๊ะ มองดูเขากินข้าวหมาก แล้วถามด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “คุณอาคะ ข้าวหมากที่แม่ทำหวานอร่อยมากใช่ไหมคะ”
ฟางจั๋วหรานเอื้อมมือไปเกาจมูกเล็ก ๆ ของเด็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “ใช่ หวานอร่อยมาก”
“ถ้างั้นคุณอาก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บ้านของเราสิคะ จะได้มีข้าวหมากอร่อย ๆ ให้กินตอนไหนก็ได้”
ชายหนุ่มได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มตาม แล้วเผลอหันมองไปที่ร่างเล็ก ๆ ของหลินม่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ
หญิงสาวกำลังทำงานหลายอย่างทั้งขายซาลาเปา ไข่ต้ม ข้าวหมาก ทั้ง ๆ ที่มีมืออยู่แค่สองมือ แต่ก็ไม่ได้ดูเร่งร้อน การขยับตัวเป็นธรรมชาติอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นภาพที่น่าทึ่งจริง ๆ
หลังจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย ฟางจั๋วหรานก็ออกไปทำงาน
ประมาณ 10 โมงเช้า ซาลาเปาและข้าวหมากก็ถูกขายจนหมด ถึงจะยังเหลือไข่ต้มอยู่บ้างแต่หลินม่ายก็เลือกที่จะจบการขายอาหารมื้อเช้าลง
เธอให้โจวฉายอวิ๋นหุงข้าวหม้อใหญ่หลายหม้อ พักให้เย็น แล้วนำมาเตรียมขายข้าวผัดไข่สำหรับตอนเที่ยง
หญิงสาวถีบสามล้อไปที่บ้านลุงฉี ซื้อกะหล่ำปลีและหัวไชเท้าหลายสิบชั่ง พร้อมกับไหขนาดใหญ่สองใบที่สามารถดองเพ่าฉ่ายได้ครั้งละ 50 ชั่ง เพื่อให้โจวฉายอวิ๋นได้ดองผักเหล่านี้
เธอกลับมาถึงบ้านตอน 11 โมง จากนั้นสองสาวก็เริ่มช่วยกันตั้งแผงขายข้าวผัดไข่ที่หน้าร้าน
แม้ทั้งคู่จะมีห้องครัวที่พร้อมสำหรับการทำข้าวผัดไข่อย่างสะดวกสบาย แต่ในเมื่อร้านของเธอเพิ่งจะเริ่มขายข้าวผัดไข่ และไม่มีป้ายบอก ก็ควรจะตั้งเตาผัดหน้าร้านเพื่อให้ลูกค้ารู้ว่าที่นี่มีข้าวผัดขายด้วย
หลังจากเริ่มตั้งเตาได้ไม่นานก็เริ่มมีลูกค้าเข้ามาถามด้วยความสนใจ “ขายอะไรเนี่ยแม่ค้า”
หลินม่ายรีบตอบว่า “ข้าวผัดไข่ ผัดด้วยน้ำมันหมูค่ะ”
ลูกค้าหนุ่มจึงถามราคา
หญิงสาวชูสามนิ้วพร้อมคำตอบ “ชามละ 3 เหมาค่ะ”
แม้เธอจะเคยขายเมนูเดียวกันนี้ที่ท่าเรือในราคาเพียง 2 เหมา 5 เฟิน แต่เพราะตอนนี้มีเรื่องต้นทุนค่าเช่าร้านเพิ่มเข้ามา ราคาของอาหารจึงเพิ่มขึ้นด้วย
แต่ข้าวผัดไข่ราคา 3 เหมา ก็ยังถือว่ายอมรับได้สำหรับลูกค้าทั้งหลาย
ไม่นานนัก กระทะของแม่ค้าทั้งสองก็เริ่มจะไม่ว่าง ร้านอาหารเริ่มเต็มไปด้วยลูกค้าที่มารอซื้อข้าวผัดไข่เมนูใหม่
ยังไม่ทันจะบ่ายสอง ข้าวสวยหม้อใหญ่หลายใบก็หมดไป ทำเอาโจวฉายอวิ๋นรู้สึกประสบความสำเร็จในการทำอาหารขึ้นมา
มีลูกค้าหลายคนเอ่ยชมในรสชาติของอาหารที่หล่อนทำ
กลิ่นข้าวผัดของหลินม่ายหอมหวนจนโต้วโต้วเองก็ไม่สามารถอดทนได้ เธอจึงต้องทำข้าวผัดให้เด็กน้อยกินก่อนจนพุงป่อง
หลังจากการขายอาหารมื้อเที่ยงจบลง โจวฉายอวิ๋นก็ทำมื้อเที่ยงสำหรับตัวเองและหลินม่ายเพื่อกินกันแค่สองคน
มีผัดกวางตุ้งฮ่องเต้ มันฝรั่งเส้นผัด ปลาตะเพียนตัวเล็กตุ๋น อย่างละจาน
โจวฉายอวิ๋นเริ่มคีบปลาตะเพียนลงในชามข้าวก็เริ่มเอ่ยอย่างสงสัย “ทำไมอาจารย์ฟางถึงไม่ได้มากินข้าวกลางวันที่นี่ล่ะ ฉันอุตส่าห์เตรียมปลาตะเพียนเอาไว้รอเชียว
หลินม่ายที่กินอยู่ก็ตอบคำถามนั้น “ให้เขากินที่โรงอาหารของโรงพยาบาลจะไม่สะดวกกว่าเหรอ ทำไมต้องมากินข้าวเที่ยงถึงที่นี่? แถมที่โรงอาหารก็น่าจะมีของกินให้เลือกเยอะกว่ากับข้าวสองสามอย่างของเรานะ”
โจวฉายอวิ๋นเงียบไปหลังจากได้ยินแบบนั้น
หล่อนต้องการจะใช้อาหารเป็นข้ออ้างในการชวนฟางจั๋วหรานมาที่ร้าน เพื่อให้เขากับหลินม่ายได้เจอกันมากกว่าเดิม และอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น
อยากจะให้ทั้งสองสานสัมพันธ์กันสักที
หลังมื้อกลางวัน หลินม่ายไปหานายช่างจางที่ไซต์ก่อสร้างเพื่อให้เขาช่วยทำป้ายให้ด้วยไม้กระดานสี่เหลี่ยม
เธอขอให้เขาช่วยทาสีแดงและเขียนคำว่า “เปาห่าวชือ เสี่ยวชือเตี้ยน” ลงบนป้ายนั้น หลังจากสีแห้งก็เอาป้ายกลับมาบ้านด้วยรถสามล้อ
หลินม่ายยืมบันไดจากนายช่างจางมาด้วยเพราะคิดขึ้นได้ว่าบันไดที่มีอยู่คงสูงไม่พอที่จะแขวนป้ายได้
ในตอนแรกโจวฉายอวิ๋นจะเป็นคนปีนขึ้นไปแขวนป้ายให้ แต่เพราะบันไดที่ยืมมาแข็งแรงไม่พอ หลินม่ายกลัวว่ามันจะรับน้ำหนักของโจวฉายอวิ๋นไม่ไหว จึงอาสาจะขึ้นไปแขวนเอง
แม้ว่าโจวฉายอวิ๋นจะตัวผอมมาก แต่พอเทียบกันแล้วก็ยังมีรูปร่างใหญ่และน้ำหนักตัวมากกว่าหลินม่ายอยู่
เจ้าของร้านสาวจึงปีนขึ้นไปบนบันไดเพื่อแขวนป้ายโดยมีโจวฉายอวิ๋นคอยช่วย และมีโต้วโต้วกับอาหวงเล่นอยู่แถวนั้น
ในตอนนั้นเองก็มีวัยรุ่นบ้าบิ่นปั่นจักรยานตรงเข้ามาหาโต้วโต้ว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มันเห็นเขาประสบความสำเร็จไม่ได้เลยต้องก็อปเขาใช่ไหมป้าหู
พี่หมอมีคนชงเยอะนะคะ เมื่อไหร่พี่จะสมปรารถนาหนอ
ไหหม่า(海馬)