ตอนที่ 112 ถ้าคุณเป็นพ่อหนูก็คงดี
พยาบาลที่แอบชอบฟางจั๋วหรานระงับความอิจฉาไว้ “ศาสตราจารย์ฟาง ผู้หญิงคนนั้นเป็นเป็นใครหรือคะ คุณดีกับหล่อนจัง มอบเชอร์รี่ให้เธอทั้งกล่องเลย”
ฟางจั๋วหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เป็นเพื่อนต่างวัยของปู่กับย่าผมน่ะ ก็เหมือนกับน้องสาวคนหนึ่ง อ่อใช่ เธอเปิดร้านขายขนมอยู่ข้างๆโรงพยาบาลของเรา ชื่อร้านว่าเปาห่าวซือเสี่ยวชือเตี่ยน ฝากพวกคุณอุดหนุนกิจการของหล่อนด้วยนะ”
เมื่อหลินม่ายได้ยินดังนั้น เธอก็ถอนหายใจในใจเงียบๆ และเตือนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าคิดอะไรเกินเลยกับเขา เขาไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นกับเธอ
ฟางจั๋วหรานพูดคุยกับพยาบาลคนนั้นเสร็จ ก็หันมองไปหลินม่ายที่หายไปตรงบันได อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เขาเป็นคนให้เธอนำอาหารมาให้ เพื่อที่จะถามเธอว่ายังขาดวัตถุดิบอะไรในการทำหลูจู่
ยังไม่ทันได้ถามอะไรเธอก็หายไปแล้ว เธอไม่ชอบที่จะคบค้าสมาคมกับเขาขนาดนั้นเลยหรอ?
ช่างเถอะ ไว้มีโอกาสค่อยถาม ไม่รีบ
ครั้นถือเชอร์รี่กลับบ้านแล้ว หลินม่ายก็แบ่งให้โต้วโต้วกับโจวฉายอวิ๋นกิน
เชอร์รี่กล่องนี้หวานอร่อยมาก ขณะกินโจวฉายอวิ๋นก็ขยิบตาให้หลินม่าย “ศาสตราจารย์ฟางดีกับเธอจริงๆ เธอให้เกี๊ยวแก่เขา เขาก็ให้เชอร์รี่แก่เธอ”
หลินม่ายกลอกตา “กินแล้วยังไม่หยุดปากพูดอีกนะ เชอร์รี่นี้ให้ฉันกินคนเดียวหรือไง ตั้งใจเอามาให้โต้วโต้วกินต่างหาก”
โต้วโต้วตบมือ “คุณอาใจดีจัง ถ้าคุณอาเป็นพ่อของหนูก็คงดี! ”
หลินม่ายตีหล่อนเบาๆ “อย่าพูดจาเหลวไหลสิ!”
จู่ๆโต้วโต้วก็ไม่สบอารมณ์
เมื่อพิจารณาถึงการแข่งขันในครั้งนี้ แถมยังเป็นการแข่งขันที่ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้อีก เช้าวันที่สอง หลินม่ายก็ไปซื้อเนื้อที่ตลาดมืดน้อยลง
ตอนแรกเจ้าของร้านค่อนข้างไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นเธอหยิบกระเพาะหมูเพิ่ม ก็รู้สึกดีขึ้นอีกครั้ง
ถึงแม้กระเพาะหมูจะเป็นของดี แต่ก็มีราคาค่อนข้างสูง นอกจากช่วงเทศกาลแล้วปกติก็ขายไม่ค่อยดี หลินม่ายซื้อกระเพาะไปจึงทำให้เขาสบายใจไม่น้อย
หลินม่ายไม่เพียงแต่ซื้อกระเพาะหมู เธอยังซื้อพุทราแดง ฟองเต้าหู้แห้งและถั่วลิสงอีก เพื่อเตรียมที่จะตุ๋นซุปกระเพาะหมูให้ฟางจั๋วหรานกิน
เขาต้องเข้าเวรทั้งคืนคงเหนื่อยแย่ ต้องบำรุงสักหน่อย
หลังจากซื้อของเสร็จแล้ว หลินม่ายก็นั่งรถสามล้อกลับบ้าน และยังเห็นว่ามีร้านขายอาหารเช้าอีกสองร้านอยู่ตรงถนนนั่น
ทั้งสองร้านเพิ่งเริ่มตั้งร้าน ยังมองไม่ออกว่าขายอะไร
แต่หลินม่ายไม่สนว่าพวกเขาจะขายอาหารเช้าเป็นอะไร
ถนนสายนี้เป็นตึกแถว คนขายอาหารเช้าก็เล่ห์เหลี่ยมเยอะ และนับวันคนขายอาหารเช้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
นี่มันอยู่ในความคาดหมายของเธออยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วขนาดนี้
เมื่อกลับถึงบ้าน คุณป้าทั้งสามคนที่ทำงานในครัวมาถึงแล้ว โจวฉายอวิ๋นก็อยู่ด้านใน ทั้งสี่คนดูไม่ค่อยร่าเริง
หลินม่ายเปลี่ยนบรรยากาศ “ฉันไม่ได้ปฏิบัติไม่ดีกับพวกคุณใช่ไหม ทำไมเช้านี้ดูไม่สดใสกันเลยล่ะ?”
โจวฉายอวิ๋นกล่าว “ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ แค่เห็นมีร้านขายอาหารเช้าเพิ่มสองร้าน ในใจเลยรู้สึกหวั่นๆ”
“มันมีอะไรหรอ ใครๆต่างก็ทำธุรกิจได้ อย่าไปคิดมากเลย ถึงเราคิดอยากจะซื้อกิจการทั้งถนน เราก็คงไม่มีปัญญาขนาดนั้นหรอกใช่ไหม”
หลังจากปลอบใจทุกคนแล้ว หลินม่ายก็เริ่มสับเนื้อและสั่งให้โจวฉายอวิ๋นตอนที่ห่อเกี๊ยวเนื้อห่อเสี่ยวหลงเปาสองเข่ง
โจวฉายอวิ๋นถาม “ทำให้ฟางจั๋วหรานหรอ?”
หลินม่ายส่งเสียงตอบไปเสียงหนึ่ง
เดิมทีโจวฉายอวิ๋นคิดจะแกล้งแซวเธอ แต่เมื่อคิดถึงคนที่ปรากฏตัวอยู่ด้านนอก หล่อนก็ยิ้มอย่างมีความหมายและไม่พูดอะไร
หลินม่ายเห็นการแสดงออกทางสายตาของฉายอวิ๋นแล้ว ก็ทำได้เพียงบังคับให้ตัวเองสงบ
แต่ก็ยังพยายามล้างสมองตัวเอง ว่าเธอกับคุณหมอฟางเป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น ไม่ได้คิดเป็นอื่น ฉายอวิ๋นจะคิดอย่างไรก็ปล่อยหล่อนไป
หกโมงครึ่งแล้ว หลินม่ายและวังเสี่ยวลี่เตรียมตัวตั้งร้านที่หน้าทางเข้าร้าน
เมื่อถึงช่วงเวลาที่อาหารเช้าขายดีที่สุด โจวฉายอวิ๋นก็ออกมาดูธุรกิจข้างๆ
เมื่อเห็นว่าไม่มีป้าหูมาตีฆ้องร้องตะโกนซื้อหนึ่งแถมหนึ่งหล่อนก็วางใจ และกลับเข้าไปทำงานในครัว
หลินม่ายรู้สึกโล่งใจเช่นกัน
ขอแค่ร้านข้างๆ ไม่ทำการขายแบบซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเธอ
มีลูกค้าจำนวนมากในชั่วโมงเร่งด่วน หลินม่ายและวังเสี่ยวลี่จึงยุ่งมาก จากนั้นก็ได้ยินลูกค้าคนหนึ่งพูดว่า “หือ? ซาลาเปาเนื้อร้านข้างๆ ราคาแค่หนึ่งเหมา ฉันไปซื้อร้านข้างๆดีกว่า
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น คนส่วนใหญ่ก็รีบตามกันออกไป
ส่วนที่เหลือกำลังรีบร้อน จึงไม่มีเวลาไปต่อแถวร้านข้างๆ
หลินม่ายขมวดคิ้วแล้วมองไปที่ป้ายด้านข้าง ไม่รู้ว่าร้านข้างๆติดป้ายราคาอาหารขนาดใหญ่ที่ประตูตั้งแต่เมื่อใด
นอกจากหมั่นโถวม้วนแล้ว พวกซาลาเปา ข้าวหมาก ข้าวต้มและเกี๊ยว ร้านนั้นก็ขายถูกกว่าร้านเธอห้าเฟิน
ทำแบบนี้แสดงว่าต้องการงัดข้อกับร้านของเธอใช่ไหม?!
เมื่อวังเสี่ยวลี่เห็นรายละเอียดบนป้ายที่ร้านข้างๆ เขียนไว้ จึงถามว่า “ร้านข้างๆ นี่ไม่อยากทำกำไรแล้วเหรอ?”
หลินม่ายรู้สึกว่าป้าหูอายุมากสมองเลอะเลือน ไม่ตั้งใจทำธุรกิจ ได้แต่ทำอะไรไร้สาระไปวันๆ
ซาลาเปาเนื้อหนึ่งลูกขาย 1.5 เหมา ยังได้กำไรแค่ 5-6 เฟินเท่านั้น นางขายถูกกว่าเธอ 5 เฟินแล้วจะไปเอากำไรมาจากไหน
ถึงแม้ว่าร้านของเธอจะตั้งขายอยู่หน้าบ้านไม่เสียค่าเช่าที่ แต่ก็ยังต้องจ่ายเงินเดือนพนักงาน
ทำธุรกิจแบบนี้ สิ้นเดือนจะได้เงินไหม?
ช่างเถอะ เรื่องของคนอื่น อย่าไปใส่ใจเลย
หลินม่ายไปที่ห้องครัวเพื่อแจ้งกับพวกโจวฉายอวิ๋น ให้วันนี้ลดปริมาณการทำลง
โจวฉายอวิ๋นเบิกตากว้างถามว่า “ลดปริมาณลงอีกแล้วหรอ ทำไมล่ะ?”
หลินม่ายจึงเล่าเรื่องทั้งหมด
ใบหน้าของโจวฉายอวิ๋นพลันดำทะมึน “ร้านข้างๆ ทำแบบนี้นี่คิดจะบีบบังคับให้พวกเราปิดกิจการลงใช่ไหม?”
หลินม่ายโบกปัด “อย่ากังวลเกินไปเลย กลัวแค่พวกเขายังไม่ทันได้บีบบังคับ พวกเราก็ทนไม่ไหวซะเอง”
ฟางจั๋วหรานเพิ่งออกเวรก็ตรงไปที่ร้านของหลินม่ายเพื่อกินอาหารเช้า
เมื่อเห็นว่าร้านข้างๆ ขายดีกว่าร้านของหลินม่ายก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลินม่ายเห็นเขาก็ต้อนรับอย่างอบอุ่น และให้โจวฉายอวิ๋นนำซุปกระเพาะหมูใส่ฟองเต้าหู้แห้งกับเสี่ยวหลงเปามาให้
โจวฉายอวิ๋นให้บริการอาหารเช้าแก่ฟางจั๋วหราน และยิ้มให้เขาอย่างมีความหมาย “หลินม่ายทำอาหารเช้านี้ไว้เป็นพิเศษสำหรับคุณเลยล่ะค่ะ แม้แต่โต้วโต้วก็ยังไม่ได้กิน”
ความรู้สึกแปลกๆ แทรกซึมอยู่ภายในใจฟางจั๋วหราน
โต้วโต้ววิ่งมาด้วยสองเท้าน้อยๆ ร้องเรียกอย่างมีความสุข “คุณอาคะ คุณอา!”
ฟางจั๋วหรานอุ้มหล่อนขึ้นแล้วถามอย่างอ่อนโยน “หนูกินข้าวเช้าหรือยัง?”
“กินแล้วค่ะ” โต้วโต้วจ้องมองไปที่ซุปกระเพาะหมูกับเสี่ยวหลงเปาตรงหน้าเขาอย่างตาเป็นประกาย แล้วพูดอย่างเขินอายว่า “แต่อยากกินอันนี้ด้วยค่ะ”
ฟางจั๋วหรานยิ้มแล้วให้เสี่ยวหลงเปากับหล่อนหนึ่งลูก รอหล่อนกินเสร็จแล้วจึงป้อนซุปกระเพาะหมูให้
โต้วโต้วไม่โลภ หล่อนกินแค่เสี่ยวหลงเปาหนึ่งลูกกับซุปกระเพาะหมูไม่กี่คำ
ฟางจั๋วหรานจึงถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมไม่กินแล้วล่ะ?”
โต้วโต้วตบที่พุงน้อยๆ ของ หล่อน “ท้องหนูเก็บไม่ไหวแล้วค่ะ”
หล่อนโอบรอบคอของฟางจั๋วหรานแล้วจ้องมองมาที่เขาอย่างตั้งใจ
ฟางจั๋วหรานยัดเสี่ยวหลงเปาเข้าปากตัวเอง แล้วยิ้มถามว่า “ทำไมมองฉันแบบนั้นล่ะ?”
เสี่ยวโต้วโต้วถอนหายใจเบาๆ “ถ้าคุณเป็นพ่อของหนูก็คงจะดีมากเลย!”
หล่อนพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง “แม่ของหนูทั้งสวยและทำอาหารเก่ง คุณอาแต่งงานกับแม่หนูนะคะ”
ฟางจั๋วหรานเขี่ยจมูกน้อยๆ ของหล่อน “หนูรู้เหรอว่าการแต่งงานคืออะไร?”
โต้วโต้วเกาศีรษะน้อยๆ ด้วยความไม่เข้าใจว่าการ “แต่งงาน” หมายความว่าอย่างไร
หล่อนได้ยินมาจากเด็กคนอื่น ว่าถ้าอยากจะเป็นพ่อต้องแต่งงานกับแม่ก่อน
ที่หน้าประตูร้านมีเด็กมาชวนโต้วโต้วไปเล่น เด็กน้อยตอบตกลงแล้วรีบลงจากตัวฟางจั๋วหรานไปเล่นกับเพื่อนๆ
หลังจากฟางจั๋วหรานกินอาหารเช้าเสร็จ เขาเห็นว่าหลินม่ายไม่ค่อยยุ่งจึงเรียกเธอออกมานอกบ้าน “เมื่อวานได้ยินคุณบอกว่าทำหลูจู่แล้วขาดวัตถุดิบหลายอย่าง บอกผม ผมจะวานคนไปซื้อให้”
หลินม่ายรีบปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันค่อยไปตะเวนหาในตลาดมืดได้”
ฟางจั๋วหรานมองเธออย่างอ่อนโยน “ผมรู้ว่าคุณกลัวว่าผมจะลำบาก ไม่หรอกนะ ผมรู้จักคนเยอะ แค่ทักทายพวกเขาก็ได้แล้ว”
หลินม่ายยังคงปฏิเสธ
ฟางจั๋วหรานมองไปที่ร้านข้างๆแล้วกล่าวว่า “คุณยอมให้กิจการตัวเองถูกคู่แข่งแซงได้เหรอ?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขายตัดราคาก็ขายไป เดี๋ยวระยะยาวอุ้มทุนไม่ไหวก็แพ้ไปเอง
โต้วโต้วชิปแรงมากนะคะ ยกตำแหน่งกัปตันเรือให้เลย
ไหหม่า(海馬)