ตอนที่ 124 คุณอาช่วยปกป้องแม่ได้ไหมคะ
หลังจากถูกหลินม่านผลัก ป้าหูก็เดือดดาลขึ้นมาทันทีแล้วฟาดมือตบหลินม่ายอย่างไม่หยุดคิด “ยัยเด็กนี่ กล้าดียังไงมาผลักผู้ใหญ่ ป้าอย่างฉันจะตีแกให้ตาย!”
ฟางจั๋วหรานที่มักจะเอาตัวอยู่เหนือเรื่องวุ่นวายโดยเฉพาะกับคนอันธพาล พอเห็นว่าป้าหูทำร้ายร่างกายหลินม่ายเขาก็ควันออกหูทันที
ชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูงกว่า 180 ซม. มองเหตุการณ์ด้วยความโมโห การทำร้ายผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างหลินม่ายก็ไม่ต่างอะไรจากการทำร้ายเขาเช่นกัน
คุณหมอหนุ่มยั้งอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่ ลืมความสุขุมที่เคยถือไว้ไปชั่วขณะ ยกมือขึ้นมาตบหญิงชราเข้าที่แก้มไปเสียหนึ่งฉาด
เสียงตบดังฉาดหนึ่ง แก้มซีกซ้ายของป้าหูบวมเป่งขึ้นทันตา
ฝูงชนที่มุงดูอยู่โดยเฉพาะสาว ๆ ไม่ได้รู้สึกสงสารหล่อนแม้แต่น้อย ซ้ำยังปรบมือให้ฟางจั๋วหรานอีกด้วย
“คนแบบนี้สมควรโดนตบซักฉาด ไม่อย่างนั้นก็คงไปเล่นละครขู่เอาเงินคนอื่น!”
แต่หลินม่ายกลับคร่ำครวญในใจ จบเห่แล้ว แบบนี้ก็เข้าทางยัยป้านี่น่ะสิ มีหวังโดนกัดไม่ปล่อยแน่!
ที่เธอเอาตัวเข้ามาปกป้องเขาเพราะอย่างน้อยเธอกับป้าหูก็ยังเป็นผู้หญิงด้วยกัน
ถ้ามีเรื่องลงไม้ลงมือกันจริง ๆ ก็เท่ากับว่าต่างฝ่ายต่างทะเลาะวิวาทกันเอง มีความผิดพอ ๆ กันทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน
แต่ถ้าเป็นการวิวาทระหว่างชายหญิง ผู้ชายที่แรงมากกว่ามักจะต้องเป็นฝ่ายผิด
หลินม่ายเริ่มคิดวิธีรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างตกประหม่าอยู่ในใจเมื่อได้ยินฟางจั๋วหรานพูดขึ้นอีกว่า “ถ้าคุณยังไม่หยุดอีก ผมจะสงเคราะห์ให้คุณได้ไปนอนโรงพยาบาลสมใจแน่!”
ดวงตาของเขาในตอนนี้น่ากลัวมาก โทสะที่พยายามข่มไว้ใกล้ปะทุ และทุกคำพูดของเขาก็ทำเอาคนฟังหนาวเยือกถึงกระดูก
ป้าหูไม่มีอะไรจะเสีย หล่อนคิดแค่ว่าจะต้องทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โต แล้วจัดการทั้งหลินม่ายและฟางจั๋วหรานไปเลยพร้อมกันทั้งสองคน
หญิงชราเริ่มแผนสกปรกอีกครั้ง รีบสาวเท้าตรงไปที่ฟางจั๋วหรานด้วยสีหน้าเศร้าโศก
ด้วยความคิดที่ว่าจะไปล้มลงที่ตัวชายหนุ่ม ทำเป็นล้มกระแทกบาดเจ็บเพราะถูกเขาทำร้ายอย่างสมเหตุสมผล ดึงเอาความสามารถด้านการเสแสร้งของตัวเองออกมาเต็มที่
จากนั้นก็ป่าวประกาศว่าถูกเขาทำร้ายร่างกายเพื่อทำลายชื่อเสียง
แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามนั้น เพราะหลินม่ายรีบเข้ามาผลักหล่อนออกไปอีกครั้งก่อนที่จะได้สัมผัสแม้แต่ปลายเส้นผมของคุณหมอฟาง
ป้าหูเลยกระแทกศีรษะของตัวเองกับร่างบางของหลินม่าย
หลินม่ายร้องด้วยความตกใจ เหลือกตาขึ้นบน ร่างกายอ่อนยวบหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของฟางจั๋วหราน
ฝูงชนบริเวณนั้นตะโกนใส่ป้าหูด้วยความโกรธ “จบเห่แล้ว ทำร้ายสาวน้อยคนนี้จนสลบไปขนาดนี้ เตรียมตัวติดคุกได้เลยป้า”
พร้อมกับเสียงประณามที่ดังตามมาอีกเป็นชุด
โจวฉายอวิ๋นก็เป็นหนึ่งในฝูงชนเหล่านั้นเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายหมดสติไป ก็ตรงเข้าไปคว้าตัวป้าหูที่เริ่มอยากจะถอยหนีเพราะเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี “ทำร้ายคนอื่นแล้วจะหนีเหรอป้า!”
ฟางจั๋วหรานมีเวลานิดหน่อยที่จะหันมาพูดกับโจวฉายอวิ๋น “ยังไงก็ต้องส่งผู้หญิงคนนี้ไปให้ถึงมือตำรวจ”
เขาประคองตัวหญิงสาวไว้แนบอกในท่าเจ้าสาว อุ้มเธอวิ่งไปที่โรงพยาบาลผู่จี้
ถึงแม้ว่าหลินม่ายจะเอวบางร่างน้อย แต่ก็มีส่วนสูงถึง 165 ซม. เป็นอย่างต่ำ
แต่ฟางจั๋วหรานก็อุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นตุ๊กตายัดนุ่น ทำให้เห็นว่าเธอตัวเบาแค่ไหน
แต่ผู้หญิงตัวแค่นี้กลับสามารถทำงานหนัก ๆ ยกไหเพ่าฉ่ายหลายสิบชั่งด้วยตัวคนเดียวได้
เมื่อมองไปที่ร่างบางไร้สติในอ้อมแขนแกร่งของตนเอง ฟางจั๋วหรานก็วิตกอยู่ในใจ
คุณหมอหนุ่มพยายามเรียกเธออยู่หลายครั้งแต่กลับไม่มีการตอบสนอง นั่นยิ่งทำให้เขาร้อนใจมากขึ้นไปอีก
สองขารีบวิ่งพาคนเจ็บมาถึงโรงพยาบาล แต่แล้วแขนของเขาก็ถูกมือเล็ก ๆ ของหญิงสาวจับเอาไว้
เธอลืมตากลมโตจ้องมองมาที่เขาเหมือนนกฮูก แล้วเอ่ยออกมาสามคำ “ฉันไม่เป็นไร”
ฟางจั๋วหรานเห็นแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะโกรธเธอหรือโล่งใจก่อนดี ก่อนหน้านี้เขาตกใจไปหมด ตอนนี้จึงอยู่ในอาการสับสนสีหน้าบ่งบอกอารมณ์ไม่ถูก
ในตอนแรกเขาอยากจะโยนเธอลงไปที่พื้นเสียให้เข็ด
กล้ามาล้อเล่นกับเขาแบบนี้ได้อ่ย่างไรกัน เขาร้อนใจจะแย่อยู่แล้วนะ?
แต่ก็คิดขึ้นได้ว่าพื้นถนนร้อนระอุขนาดไหน หากโยนเธอลงไปแล้วเธอจะไม่กลายเป็นปลาย่างเลยหรือ?
เขาเลยเปลี่ยนใจแล้วเอ่ยถามเธอแทนอย่างเคร่งขรึมว่า “นี่คุณหลอกผมเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้าแทนคำตอบแล้วลงจากอ้อมแขนของเขา “ถ้าไม่ทำแบบนี้เรื่องคงไม่จบง่าย ๆ แล้วคุณก็จะเดือดร้อนเพราะยัยแม่มดเฒ่านั่น”
อยู่ ๆ เธอก็ชะงักไปเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ แล้วจ้องมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ “คุณคิดว่าฉันสลบไปจริง ๆ น่ะเหรอ?”
ฟางจั๋วหรานเพียงมองเธออย่างเงียบ ๆ แน่นอนว่าเขาตกใจมากและกังวลว่าเธอจะเป็นอะไรไปจริง ๆ
หลินม่ายแอบขันในใจ ไม่รู้จะว่าอะไรเขาดี คุณหมอฟางเป็นถึงอาจารย์แพทย์ ไอคิวก็น่าจะไม่น้อย แถมเป็นหมอศัลยกรรมมือต้น ๆ ของโรงพยาบาล แต่ไม่สามารถแยกออกได้ว่าอาการหมดสติของเธอเป็นแค่การแสดง!
ทั้งสองกลับมาที่ร้าน พบว่าโต้วโต้วกำลังอยู่ในอาการวิตกโดยมีอาหวงอยู่ข้าง ๆ ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรเด็กน้อยเท่าไรนัก
ทันทีที่เห็นว่าหลินม่ายกลับมา โต้วโต้วก็ร้องไห้จ้าวิ่งเข้ามากอดแม่ของเธอ “แม่จ๋า…ฮือออ ป้าฉายอวิ๋นบอกว่าแม่ถูกตีจนเกือบตาย….”
ในตอนที่หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานกำลังมีเรื่อง เด็กน้อยกับอาหวงกำลังเล่นกันอยู่ที่สนามด้านหลัง ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่หน้าร้าน
และเพราะว่าโจวฉายอวิ๋นต้องส่งป้าหูไปที่สถานีตำรวจ หล่อนจึงเรียกโต้วโต้วให้มาช่วยเฝ้าหน้าร้าน และตอนนั้นเองที่เด็กหญิงได้รู้ว่าแม่ถูกทำร้าย
ฟางจั๋วหรานอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาในอ้อมแขน ใช้มือใหญ่ปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน “แม่ไปเป็นไรแล้วนะ อย่าร้องไห้สิ”
เด็กน้อยยังคงมีน้ำตาซึมออกมา แล้วอ้อนวอนคุณอาของเธออย่างน่าสงสาร “คุณอาคะ ฮึก…ไม่มีใครคอยปกป้องแม่เลย…คุณอาช่วยปกป้องแม่ได้ไหมคะ”
หลินม่ายกลัวว่าคำถามนี้จะทำให้เกิดความลำบากใจต่อฟางจั๋วหราน เธอจึงรีบเอ่ยตอบลูกไปแทนว่า “แม่เก่งจะตาย ไม่ต้องให้ใครมาปกป้องหรอกนะลูก”
หลังจากยื่นมือไปรับเจ้าตัวเล็กแสนดีของเธอจากฟางจั๋วหรานมาไว้อ้อมแขน หลินม่ายก็เห็นเขาก้มหน้าตอบลูกสาวของเธอ “ได้อยู่แล้ว”
โต้วโต้วได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้างแล้วยื่นนิ้วก้อยเล็ก ๆ ออกมา “งั้นเรามาเกี่ยวก้อยสัญญากัน”
คุณหมอหนุ่มยิ้มตามแล้วยื่นนิ้วก้อยออกมาเช่นกัน ทั้งสองเกี่ยวก้อยสัญญากันอย่างอ่อนโยน
พูดขึ้นพร้อมกันว่า “เกี่ยวก้อยสัญญาแล้วร้อยปีก็ไม่มีเปลี่ยน”
หลินม่ายเผลอมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาแสนอ่อนโยนนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้เลยว่าการสัญญาครั้งนี้ของเขาทำเพื่อเอาใจหลานน้อย หรือมีความหมายอื่นที่มากกว่านั้นหรือเปล่า
คงไม่มีอะไรหรอก เขาคงไม่ได้มีใจให้เธอแบบนั้นหรอก
พอคิดแบบนั้นเธอก็ประหม่าขึ้นมา และรู้สึกเศร้านิดหน่อย
โต้วโต้วชี้ไปที่ถุงใบหนึ่งบนข้อมือของฟางจั๋วหราน “คุณอา เอาอะไรใส่ไว้ในถุงนั้นเหรอคะ มีขนมหรือเปล่า?”
ฟางจั๋วหรานเลยนึกขึ้นได้ในตอนนั้นว่าตั้งใจจะเอาผงฟูมาให้หลินม่าย
แม้ว่าผงฟูทั้งห้าห่อจะน้ำหนักรวมกันเพียง 5 ชั่ง แต่หูจับของถุงทำด้วยเชือกเส้นบาง เมื่อห้อยมันไว้ที่ข้อมือของชายหนุ่มก็ทำให้เกิดรอยแดงเข้มปรากฏขึ้นมา
ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อถูกหนูน้อยเอ่ยทัก ก็เริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมา
ชายหนุ่มรีบหยิบถุงใบนั้นออกจากแขนแล้ววางลงบนโต๊ะ
แล้วหันไปยิ้มอ่อนโยนกับโต้วโต้วพร้อมอธิบาย “ไม่ใช่ขนมนะ นี่คือผงฟูเอาไว้ให้แม่เขาทำซาลาเปา”
เด็กน้อยได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย
ในขณะที่หลินม่ายมีความสุขมากและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันคิดว่าคุณจะใช้เวลาสักสองสามวันกว่าจะหามาได้ ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้”
ฟางจั๋วหรานเองก็มีประกายรอยยิ้มออกมาจากดวงตา “ผมฝากที่โรงอาหารซื้อมาให้ก็เลยไม่ต้องรอนาน”
ในยุคนี้ ผงฟูเป็นของที่แทบไม่มีขายในท้องตลาดทั่วไป มีเพียงโรงอาหารของรัฐบาลหลายแห่งที่มีไว้ใช้
ศัลยแพทย์หนุ่มผู้กว้างขวางคนนี้ไปขอซื้อมันถึงโรงอาหารให้เธอถึงที่ ทำให้หลินม่ายรู้สึกของคุณเขาอย่างมาก
หญิงสาวหยิบเงินออกมาแล้วออกปากถาม “คุณซื้อผงฟูมาเท่าไร?”
ฟางจั๋วหรานเริ่มจะเรียนรู้วิธีรับมือกับหลินม่ายที่ดึงดันอยากจะจ่ายเงินคืนเขาแล้ว
เขายิ้มแล้วตอบไปว่า “ผมไม่อยากได้เป็นเงิน เอาแบบเดิมละกัน คุณจ่ายผมด้วยอาหารของที่ร้านแทน”
หลินม่ายยิ้มแล้วตอบว่า “ถ้ายังจะทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มีหวังคุณคงได้กินอาหารร้านฉันฟรีไปยันชาติหน้าหนี้ถึงจะหมดได้”
คุณหมอฟางได้ยินแบบนั้นก็ตอบเธอกลับพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นดั่งพระอาทิตย์แรกฤดู “งั้นผมก็จะกินไปจนชาติหน้าเลย”
หลินม่ายได้ยินคำพูดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะจ้องเขาตาค้าง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อยู่ในคุกซะนะนังป้าหู อยู่ยาวๆ ไปเลย จะได้ไม่ออกมากัดคนอื่นเพ่นพ่าน
กินไปจนชาติหน้า อั้ยยยย แบบนี้คือเขาจีบเธอแล้วล่ะม่ายจื่อ
ไหหม่า(海馬)