ตอนที่ 127 มิจฉาชีพในคราบหญิงท้อง
หลังจากวิ่งวุ่นไปมาเพื่อจัดการงานต่าง ๆ หลินม่ายก็กลับมาถึงบ้านตอนสามทุ่ม โต้วโต้วเข้านอนไปแล้วเรียบร้อย
โจวฉายอวิ๋นทำแป้งจี่ไข่อุ่น ๆ ในกระทะเตรียมไว้รอเธอ
ทันทีที่หลินม่ายกลับเข้ามา คนเป็นพี่ก็วางแป้งจี่ลงบนโต๊ะทันที บอกให้เธอรีบกินตอนที่ยังร้อน พร้อมรินน้ำอุ่นให้อีกหนึ่งแก้วด้วยท่าทางครุ่นคิด
เธอเริ่มถามขึ้นมาว่า “ที่รีบออกไปก็คือเพื่อไปซื้อผักนี่น่ะเหรอ ทำไมถึงซื้อมาล่ะ”
หลินม่ายกินแป้งจี่ไข่ด้วยความหิวพร้อมตอบ “ทำเซาเข่าน่ะ”
เป็นคำตอบที่เรียกความประหลาดใจให้โจงฉายอวิ๋นขึ้นมา “ใช้ผักทำเซาเข่ายังไงนะ”
หลินม่ายจิบน้ำเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “รอดูพรุ่งนี้จะรู้เอง เดี๋ยวมาลองทำด้วยกันพี่จะเข้าใจเองว่าใช้ผักทำยังไง พี่ไปต้มน้ำให้ฉันหน่อยสิ ฉันจะรีบอาบน้ำรีบไปนอน จะได้มีแรงทำงานหนักวันแรงงาน”
หลังจากกินมื้อค่ำแบบง่าย ๆ หลินม่ายก็ไปอาบน้ำแล้วหลับไปทันทีที่หัวถึงหมอน
เช้าวันต่อมาเธอก็รีบตื่นตอนหกโมงเช้า
อากาศเดือนพฤษภาคมร้อนมากแล้ว หลินม่ายสวมชุดกระโปรงลายดอกไม้ที่ฟางจั๋วหรานซื้อให้เพื่อคลายร้อน
คุณหมอฟางเป็นคนตาถึงมาก และยิ่งเสื้อผ้าสวย ๆ พวกนี้มาอยู่บนร่างกายของเธอก็ทำให้คนยิ่งดูดีขึ้นไปอีก
พอลงไปชั้นล่างก็พบว่าโจวฉายอวิ๋นกำลังรับเนื้อหมูจากเจ้าของเขียงหมูอยู่ที่หน้าร้าน
เธอรีบเข้าไปถามเจ้าของร้านว่า “คุณเอาแค่หมูที่ฉันสั่งมาเหรอ”
เจ้าของร้านยื่นเลือดหมูทั้งถังให้โจวฉายอวิ๋นแล้วส่ายหัวพร้อมตอบว่า “เปล่าครับ ผมเอาหมูที่จะขายทั้งหมดวันนี้มาด้วย แวะเอาของที่คุณสั่งมาส่งแล้วเดี๋ยวจะไปตลาดต่อ”
หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็รีบเข้าไปดู “พอดีเลย”
เธอกำลังกังวลเรื่องเซาเข่า เพราะยังไม่ได้เตรียมหมูสำหรับส่วนนี้เอาไว้
หญิงสาวเลือกซื้อเนื้อขาหมูมาเพิ่มอีก 20 ชั่ง คากิ และซี่โครงหมู อย่างละไม่มาก
เจ้าของร้านเองก็ดีใจที่ขายหมูไปได้เยอะทั้งที่ยังไปไม่ถึงตลาด เป็นนิมิตรหมายที่ดีของวันนี้
หลินม่ายจ่ายเงินทั้งหมดให้เขา พ่อค้าก็รับเงินแล้วขับสามล้อจากไปอย่างมีความสุข
เจ้าของร้านสาวหยิบแปรงสีฟันแล้วไปล้างหน้าที่สวนด้านหลัง ขอให้โจวฉายอวิ๋นทำบะหมี่ให้กิน กินเสร็จจะได้เอาสัตว์ปีกทั้งหลายออกไปขายที่ตลาดมืด
โจวฉายอวิ๋นมองไปที่ท้องฟ้าข้างนอกที่เริ่มจะสว่างขึ้นมาเล็กน้อย “ออกไปตั้งแผงตั้งแต่เช้ามืดขนาดนี้จะมีคนไปซื้อเหรอ”
“มีคนซื้ออยู่แล้ว ขนาดคนขายหมูยังไปตั้งแผงแล้วเลย”
โจวฉายอวิ๋นทำบะหมี่ให้เธอแบบตั้งใจเพิ่มไข่ลวกลงไปเป็นสองฟอง
หลินม่ายกินบะหมี่เสร็จก็เอารถแทรกเตอร์ขนสัตว์ปีกกว่า 500 ตัวไปที่ตลาดมืด
ทันทีที่ตั้งแผงเสร็จก็มีคนท่าทางเหมือนอันธพาลเข้ามาเก็บค่าแผงลอย
หญิงสาวตกใจที่เห็นแบบนั้น เพราะเมื่อครั้งที่แล้วที่เคยเอาของมาขายที่นี่ไม่เคยพบเจอกับอะไรแบบนี้มาก่อน
หลินม่ายไม่ได้กลัวที่จะต้องจ่ายค่าแผงถ้าทุกอย่างสมเหตุสมผล
มีอะไรจะต้องกลัวกัน แต่ความจริงแล้วการขายของในตลาดมืดก็ไม่ควรจะต้องจ่ายค่าแผง เพราะที่นี่มันไม่ได้ถูกกฎหมายอะไรมาตั้งแต่แรก
ถ้าต้องมาจ่ายเงินค่าแผงแบบนี้ ก็เท่ากับเสียเงินไปเปล่า ๆ น่ะสิ
เธอเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง “ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าต้องจ่ายค่าแผงด้วย”
นักเลงหัวเราะขึ้นมา “แล้วถ้าคนขายของไม่ยอมจ่ายค่าแผง คนดูแลอย่างพวกเราไม่อดตายกันพอดีหรือไง”
หลินม่ายตอบอย่างมั่นใจ “แต่ฉันรู้มาแบบนั้นจริง ๆ นะ ว่าใคร ๆ ก็ขายของที่นี่แบบไม่ต้องจ่ายเงินกันทั้งนั้น”
เธอไม่ได้บอกพวกเขาไปว่าตัวเองยังไม่ได้จ่ายเงิน เพราะกลัวว่าพวกเขาจะบังคับให้ต้องสูญเงินไปฟรี ๆ
นักเลงหรี่ตาแล้วเริ่มถาม “ไปได้ยินแบบนั้นเมื่อไรกัน”
“ก็ ช่วงนี้เมื่อปีที่แล้วน่ะ”
นักเลงหัวเราะขึ้นมาอีก “ช่วงนี้เมื่อปีที่แล้วพวกเรากลับบ้านหลังวันไหว้พระจันทร์ยาวไปถึงปีใหม่ ตอนนั้นไม่มีใครมาดูแลที่นี่ เลยไม่ได้เก็บเงินค่าแผงไง ตอนนี้มีคนมาดูแลแล้วเพราะงั้นก็ต้องจ่ายค่าแผงมา”
หญิงสาวถามต่ออย่างลังเล “ถ้าฉันจ่ายค่าแผง ฉันจะได้ขายของอย่างปลอดภัยใช่ไหม”
อันธพาลพวกนั้นพยักหน้าตอบ “ก็ประมาณนั้น”
“ถ้าฉันจ่ายให้คุณไปแล้ว จะมีใครมาเก็บเพิ่มทีหลังอีกไหม”
“ไม่มีอยู่แล้ว”
แม้ว่าเธอจะรู้ว่าคนพวกนี้ไม่ได้น่าเชื่อถืออะไรขนาดนั้น
แต่ถ้าไม่จ่ายเงินในตอนนี้ก็คงไม่เป็นอันขายของกันพอดี
เลยถามราคาค่าแผงกับพวกนั้น “ฉันต้องจ่ายเท่าไร”
กลุ่มอันธพาลมองไปที่รถแทรกเตอร์ของเธอแล้วชูสองนิ้ว “20 หยวน”
ได้ยินแบบนั้นหญิงสาวก็เบิกตากว้าง “แพงไปหรือเปล่า”
นักเลงเริ่มเข้าสู่โหมดการค้า อธิบายกับเธอ “ก็นี่เป็นแผงใหญ่ ใช้ที่เยอะ ของที่จะขายก็เยอะมาก ค่าแผงก็ต้องแพงสิ”
เขาชี้ไปยังแผงผักที่อยู่ถัดไปจากเธอ “แผงผักของป้าคนนี้ เราก็เก็บเงินแค่ 5 เหมา”
ทุกวันนี้ขายผักรายได้ไม่มาก ได้แค่ชั่งละไม่กี่เหมา
ค่าแผงผักจ่าย 5 เหมา เพราะงั้นขายเป็ดไก่แถมมีรถแทรกเตอร์ จะเรียกสัก 20 ก็คงจะสมน้ำสมเนื้อ
แต่หลินม่ายไม่ยอมง่าย ๆ เธอคิดว่ามันแพงเกินไป หลังจากต่อรองกันอยู่ซักพักพวกเขาก็ยอมให้เธอจ่ายเพียง 2 หยวนเป็นค่าแผง
ชาวเจียงเฉิงนิยมกินซุปไก่ ซุปเป็ดในวันหยุดช่วงหน้าร้อน
ทันทีที่พวกนักเลงเก็บค่าแผงจากไปหลังได้เงิน แม่บ้านหลายคนที่มาจ่ายตลาดสำหรับงานเทศกาลก็มารวมตัวกันเพื่อถามราคาเป็ดไก่ของเธอ
ไม่ค่อยมีใครรู้ราคาห่าน เพราะคนเจียงเฉิงไม่ค่อยนิยมกินมันมากนัก
ทั้งพ่อไก่แม่ไก่ราคาชั่งละ 2 หยวนเหมือนเดิม ส่วนเป็ดจะอยู่ที่ 1.5 หยวน
แม้จะไม่มีใครถามถึงห่าน แต่หลินม่ายก็เสนอราคาชั่งละ 2 หยวนให้พวกเขาเผื่อว่าจะมีคนสนใจ
ในตลาดมืดยังมีร้านค้าสัตว์ปีกร้านอื่น ๆ อยู่อีกเช่นกันนอกจากหญิงสาว แต่ไม่มีร้านไหนใหญ่เท่าของเธอ
ปกติแล้วร้านพวกนี้จะมีสัตว์ปีกให้เลือกแค่หนึ่งชนิด และมีให้เลือกเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น
ทุกร้านขายในราคาพอ ๆ กัน แต่หลินม่ายมีให้เลือกมากกว่า เลยเป็นที่สนใจของลูกค้า
เพราะเธอเตรียมสัตว์ปีกมาขายกว่า 500 ตัว ทำให้ใช้เวลาตั้งแต่หกโมงเช้าถึงเที่ยงกว่าเป็ดไก่พวกนี้จะขายเกือบหมด
ตอนนี้เธอเหลือไก่อยู่สองตัว เป็ดหนึ่งตัว และห่านที่ยังขายไม่ออก
แม่บ้านส่วนใหญ่ไม่ชอบเนื้อห่านเพราะเป็นอาหารชูกำลังมีฤทธิ์ร้อน ถ้าเอาไปกินตอนหน้าร้อนจะยิ่งทำให้เป็นร้อนในได้
หลินม่ายคิดว่าถ้ารอบหน้าจะมาขายอีกคงต้องบอกคุณปู่ฟางว่าไม่เอาห่านแล้ว
แต่ก็ยังดีที่มีห่านอยู่แค่แปดตัว ในเมื่อขายไม่ได้ก็เก็บไว้กินเองตอนหนาวก็แล้วกัน
เพียงหกชั่วโมงหญิงสาวก็มีรายได้มากกว่า 400 หยวน ถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ
หลินม่ายเตรียมขับแทรกเตอร์ออกไป
เธอทั้งเหนื่อย ทั้งหิว อยากกลับไปหาอะไรกิน นั่งพักเฝ้าร้านอาหารจะแย่แล้ว
ทว่าก่อนที่จะขับรถออกไปก็มีผู้หญิงท้องวิ่งเข้ามาล้มที่หน้ารถแทรกเตอร์ ส่งเสียงร้องโอดโอยว่าหลินม่ายชนเธอ
แล้วอยู่ ๆ ก็มีหน้าม้าอีกเจ็ดแปดคนเดินมาล้อมรถของเธอไว้ ทำทีเป็นคนผ่านมาเอาเรื่อง
หลินม่ายรู้ตัวในทันทีว่ากำลังเจอเข้ากับมิจฉาชีพ เธอจึงตอบพวกนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ฉันไม่ได้ชน หล่อนเข้ามาแล้วก็ล้มเอง”
ต้องรีบอธิบายทุกอย่างให้ชัดก่อนที่คนผ่านไปผ่านมาจะเข้าใจผิดว่าเธอขับชนจริง ๆ ไม่อย่างนั้นจะเข้าทางมิจฉาชีพพวกนี้ได้
ตอนนี้หลินม่ายนั่งอยู่บนรถ และยังมีผู้หญิงท้องนั่งอยู่ที่พื้นหน้ารถเธออีก เป็นภาพที่ทำให้เชื่อได้ว่าเธอขับรถชนจริง ๆ
หน้าม้าคนหนึ่งชี้หน้าเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงโกรธ ๆ “นี่ยังมีความเป็นคนไหมเนี่ย ชนคนท้องแล้วไม่ยอมรับเหรอ”
หลินม่ายตะโกนกลับ “ก็บอกว่าไม่ได้ชน”
“ก็เห็นอยู่ว่าชน” หน้าม้าคนนั้นพูดอย่างจริงจัง “ฉันเห็นกับตาว่าคุณขับรถชนคนท้อง ยังจะมาปฏิเสธอีก”
หน้าม้าหลายคนก็เออออตามไป “ใช่ ๆ ฉันก็เห็น”
ส่วนคนที่ผ่านไปผ่านก็เริ่มยืนดูเหตุการณ์อยู่รอบ ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มิจฉาชีพเยอะแท้ ม่ายจื่อสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับอีกแล้ว
ไหหม่า(海馬)