ตอนที่ 134 เมนูใหม่หอมสิบลี้
หลังกินมื้อเที่ยงและนอนกลางวันกันแล้ว หลินม่ายก็ต้องขี่รถสามล้อไปซื้อผักที่จะใช่ในการทำเซาเข่าในคืนนี้ที่ร้านลุงขายผัก
หลี่หมิงเฉิงอยากจะตามออกไปด้วย บอกว่าจะได้รู้จักที่ทาง และต่อไปเขาจะไปรับสินค้าเอง
หลินม่ายตกลงด้วยความยินดี
ต่อไปนี้เมื่อมีหลี่หมิงเฉิงไปรับสินค้าให้ เธอก็สามารถเบาแรงตัวเองไปได้เปลาะหนึ่ง
หมู่บ้านในตัวเมืองของเมืองเจียงเฉิงโดยพื้นฐานต่างก็เป็นเกษตรกร ที่ดินเพาะปลูกกว่าสิบไร่ของลุงขายผักล้วนเป็นผักทั้งนั้น
หลินม่ายซื้อผักจำพวกกุยช่าย ถั่วฝักยาวและผักบุ้ง เมื่อเห็นถั่วแระของร้านลุงขายผักโตดีแล้ว หลินม่ายก็ซื้อมา 30 ชั่ง
ยำถั่วแระและถั่วแระพะโล้ได้รับความนิยมอย่างมากในร้านริมทางของตลาดกลางคืนเมื่อชาติก่อน ในยุคนี้เองก็คงจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
เมื่อซื้อผักเสร็จ ทั้งสองก็กลับ
หลังจากเอาผักลงจากรถสามล้อแล้ว หลินม่ายก็จะออกจากร้านไปอีกครั้ง
หลี่หมิงเฉิงถาม “เธอจะไปที่ไหนอีกเหรอ?”
หลินม่ายพูด “ก่อนหน้านี้ฉันนัดกับคนอื่นไว้น่ะ ฉันต้องไปรับสินค้าที่โรงเนื้อ แต่ก็ไม่มีเวลาว่างเลย วันนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องไป ยืดเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว”
หลี่หมิงเฉิงรีบพูดขึ้น “ฉันไปด้วย”
หลินม่ายโบกมือ “ฉันยังคุยกับเขาไม่เรียบร้อยเลยน่ะ รอตกลงกันเสร็จแล้วค่อยพานายไปอีกที”
โจวฉายอวิ๋นไม่รู้ว่าไปเอาหมวกฟางใหม่เอี่ยมใบหนึ่งมาจากไหน เธอวิ่งออกมาสวมไว้บนหัวของหลินม่าย “อุตส่าห์ลำบากลำบนบำรุงผิวให้ขาว แต่ชอบไม่ทาครีมกันแดดอยู่เรื่อย ไม่กลัวผิวคล้ำเอาเสียเลย”
หลินม่ายเป็นประเภทที่ขอให้ไม่โดนแดดก็สามารถผิวบำรุงให้ขาวและละเอียดได้อย่างรวดเร็ว
ช่วงนี้เธอไม่ค่อยได้ตากแดด ผิวพรรณจึงขาวผ่องขึ้นไม่น้อย
หลินม่ายหัวเราะ แล้วผูกเชือกรัดของหมวกฟางไว้แน่น เพื่อป้องกันไม่ให้หมวกถูกพัดปลิวไปตอนที่ขี่รถสามล้อ
หลินม่ายหาที่อยู่ของจ้าวฮั่นเซิงพบ ตามตำแหน่งที่เขาฝากไว้กับเธอ เจ้าฮั่นเซิงนั้นแทบจะลืมเธอไปแล้ว
ตอนที่เขาได้ยินหลินม่ายบอกว่า เธอไม่เพียงต้องการซื้อเครื่องในของสัตว์ปีกแต่ยังต้องการซื้อแม้แต่ไส้ด้วย เขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย
“คุณจะซื้อเครื่องในผมยังพอเข้าใจได้ ของพวกนั้นมันยางกินได้หมด แต่ไส้นี่… พวกนี้มันกินได้ด้วยเหรอ?”
“ไส้ใหญ่หมูยังกินได้ ทำไมไส้ของสัตว์ปีกจะกินไม่ได้ล่ะคะ?”
ในชาติก่อนของหลินม่าย ไส้เป็ดไส้ไก่ไส้ห่านล้วนเป็นที่นิยมของเหล่านักกินอย่างมาก
จ้าวฮั่นเซิงจ้องมองเธออยู่เนิ่นนานด้วยแววตาซับซ้อน แล้วพยักหน้าพูดขึ้น “ถ้าคุณต้องการ ผมจะเก็บเงินเล็กน้อยพอเป็นพิธี ส่วนเครื่องในสัตว์ปีกผมก็จะขายให้คุณถูกๆ ทั้งหมดด้วย แต่ว่าถ้าผมไปกินเซาเข่าที่ร้านคุณก็อย่าเอาของพวกนี้มาให้ผมกินล่ะ”
หลินม่ายดีใจ “ไม่มีปัญหาค่ะ”
ทันใดนั้นเธอก็นึกคำถามสำคัญขึ้นได้ “คุณรับผิดชอบให้ได้ไหมคะ?”
จ้าวฮั่นเซิงเหล่มองเธออย่างไม่สบอารมณ์ “ผมเป็นแค่หัวหน้าแผนกคนหนึ่ง คุณว่าผมจะรับผิดชอบให้ได้ไหมล่ะ?”
หลินม่ายหัวเราะอย่างเก้ๆ กังๆ เมื่อเห็นว่ามีคนงานสองสามคนยกตูดไก่สองสามถังขึ้นมา คาดว่าคงจะเตรียมทิ้ง
เธอรีบชี้ไปที่ตูดไก่สองสามถึงนั้นแล้วเอ่ยตะโกนด้วยความเบิกบาน “อันนั้น! ฉันเอา!”
จ้าวฮั่นเซิงสีหน้าตระหนกตกใจ “แม้แต่นั่นคุณก็ยังเอา! คุณหาเงินโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”
หลินม่ายโบกมือด้วยความตื่นตระหนก “ไม่ใช่นะ ฉันเปล่า เดิมทีตูดไก่ก็สามารถกินได้อยู่แล้ว แถวกวางตุ้งฮ่องกง ตูดไก่เป็นของดีเชียวนะ คุณไม่ได้ดูหนังฮ่องกงไต้หวันบ้างเหรอ?”
จ้าวฮั่นเซิงลูบคางเล็กน้อย ดูเหมือนว่าในหนังฮ่องกงจะมีตอนที่แย่งกันกินตูดไก่อยู่บ่อยๆ เหมือนกัน
เขาพูดพึมพำ “คนกวางตุ้งอะไรก็กินไปหมด ไหนจะคนฝูเจี้ยนอีก พวกเราที่นี่เป็นคนเจียงเฉิง ใครจะไปกินตูดไก่กัน”
คิดไปคิดมา เขาก็โบกมือ “ถ้าคุณต้องการก็เอาไปถูกๆ แล้วกัน”
สุดท้ายเมื่อขายไส้ของสัตว์ปีกสองสามถัง และตูดไก่กับเครื่องในไก่อีกหลายถังใหญ่ให้กับหลินม่ายแล้ว เขาก็เก็บเงินเธอแค่สิบหยวนเท่านั้น
หลินม่ายขี่รถสามล้อขนวัตถุดิบพวกนั้นกลับบ้านไปอย่างมีความสุข
แม้ว่าร้านอาหารกินเล่นจะรับพนักงานมาเพียงพอแล้ว และหลินม่ายก็ให้โจวฉายอวิ๋นรับผิดชอบแค่การจัดการเท่านั้น แต่งานก็ยังยุ่งมาก
เมื่อเห็นหลินม่ายขนไส้ของสัตว์ปีกและตูดไก่มากมายขนาดนั้นกลับมา โจวฉายอวิ๋นก็ตกตะลึงพรึงเพริด
ตอนที่ได้ยินหลินม่ายบอกว่าจะเอาของพวกนี้มาทำไส้ไก่ผัดพริกและเซาเข่า หล่อนก็ไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว
ของพวกนี้มันกินได้ด้วยเหรอ?
แม้ว่าในใจจะไม่เห็นด้วย แต่ขอแค่เป็นเรื่องที่หลินม่ายสั่งมา หล่อนก็จะทำมันอย่างจริงจัง
ในร้านได้เชิญคุณป้าที่ทำงานเบ็ดเตล็ดมาสองคน
โจวฉายอวิ๋นพาคุณป้าสองคนนั้นไปล้างไส้และเครื่องในต่างๆ ของสัตว์ปีกกับตูดไก่พวกนั้นให้สะอาดตามความต้องการของหลินม่ายด้วยตัวเอง
หลินม่ายสอนหลี่หมิงเฉิง โจวฉายอวิ๋นและคนครัวที่ทำเซาเข่าโดยเฉพาะทั้งสองคนทำไส้ไก่ผัดพริก
หลังจากไส้ไก่ผัดพริกจานแรกออกจากเตามาสดใหม่ หลินม่ายก็ชวนให้ทุกคนลองชิม
ในตอนแรกทุกๆ คนไม่มีใครยอมรับอาหารพิสดารเช่นนี้ได้เลย เหมือนกับชาวต่างชาติที่รับไข่เยี่ยวม้าไม่ได้อย่างนั้น
แต่เมื่อได้เค้นความกล้าชิมเข้าไปคำหนึ่ง ทั้งหมดต่างก็อัศจรรย์ใจยิ่ง
ไส้ไก่อร่อยกรอบเด้ง เค็มกำลังดีเผ็ดเล็ดน้อย รสชาติเข้มข้น กลืนคล่องคอ
หลินม่ายก็เชียร์ให้ทุกคนลองชิมตูดไก่ชุดแรกที่ลองย่างออกมาด้วยเช่นกัน
ตูดไก่นั้นเธอไม่ขอกิน เธอรู้ตัวเองดี
ตูดไก่ย่างกรอบนอกนุ่มใน กัดเพียงคำเดียวก็มันเยิ้มทั่วปาก เทียบกับรสชาติของเนื้อย่างเสียบไม้แล้วไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย ทุกคนต่างกินกันจนสีหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ พากันชมไม่หยุดปากพูดกันเซ็งแซ่ นึกไม่ถึงว่านำตูดไก่มาย่างเช่นนี้แล้วจะอร่อยขนาดนี้
หลินม่ายหัวเราะพลางเอ่ย “ที่ฮ่องกง ตูดไก่ไม่ได้เรียกว่าตูดไก่ แต่เรียกว่าหอมเจ็ดลี้ ทั้งยังมีสำนวนหนึ่งว่า ยอมทิ้งภูเขาทอง ดีกว่าทิ้งปลายไก่ ปลายไก่นั้นก็คือตูดไก่นี่แหละ”
ในทศวรรษที่80 แผ่นดินที่ห่างไกลจากทะเลอันยากจนและล้าหลังนับถือเลื่อมใสฮ่องกงอย่างมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับฮ่องกง ก็ย่อมเยี่ยมยอดอย่างแน่นอน
ทุกคนคิดอยู่ในใจ ในเมื่อตูดไก่ได้รับความนิยมในฮ่องกงขนาดนี้ อย่างนั้นก็คงเป็นของดีแน่
คนมณฑลหูไม่รู้จักกินเอาเสียเลย ถึงกับไม่รู้ว่าตูดไก่อร่อยขนาดนี้
ขณะที่วังเสี่ยวลี่กำลังเขียนเมนู ก็ถามหลินม่ายขึ้น “พวกเราเองก็เรียกตูดไก่ว่าหอมเจ็ดลี้กันบ้างไหม?”
“ไม่ เรียกว่าหอมสิบลี้ไปเลย เพราะตูดไก่ที่ฉันย่างหอมกว่าของพวกเขาเสียอีก”
ทุกคนได้ยินก็หัวเราะลั่น
และในตอนนั้นเอง โต้วโต้วก็พาอาหวงวิ่งเข้ามา เอ่ยตะโกน “แม่คะ ข้างนอกมีคนมาหาค่ะ”
ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นหอมประหลาดที่อบอวลอยู่ในห้องครัว จมูกเล็กสูดดมฟุดฟิด แล้วมองสำรวจทุกคนอย่างฉงนสงสัย
หล่อนถามขึ้นด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “ทุกคนกำลังแอบกินของอร่อยโดยไม่บอกหนูอยู่ใช่ไหมคะ?”
โจวฉายอวิ๋นรีบหยิบตูดไก่ย่างสองสามไม้ให้หล่อน “ใครแอบกินของอร่อยไม่บอกหนูกัน หนูวิ่งออกไปเล่นข้างนอก ไม่อยู่ที่บ้านเองต่างหากล่ะ!”
ในตอนนั้นหลินม่ายก็เดินออกไปจากห้องครัวแล้ว พบกับชายหนุ่มสวมชุดเครื่องแบบของโรงงานเบียร์สิงหยินเก๋อคนหนึ่งนั่งอยู่
หน้าประตูร้านมีรถสามล้อที่บรรทุกเบียร์สิงหลินเก๋อมาเต็มคันจอดอยู่
เบียร์สิงหยินเก๋อ เป็นเบียร์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุคทศวรรษที่80
น่าเสียดายที่มันรุ่งเรืองเพียงชั่วครู่ชั่วคราว และได้เงียบหายไปอย่างรวดเร็ว
หลินม่ายมีความรู้สึกเสมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง เธอถาม “คุณมาหาฉันเหรอคะ?”
ชายหนุ่มคนนั้นหยิบรายการสินค้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วถาม “คุณคือหลินม่ายใช่ไหมครับ?”
“ฉันเองค่ะ”
ชายหนุ่มพูด “ผมเป็นพนักงานส่งสินค้าของโรงงานเบียร์สิงหยินเก๋อ หัวหน้าโรงงานของเราให้ผมมาส่งสินค้าครับ”
เขายื่นใบรายการสินค้าในมือให้กับหลินม่าย “กรุณาตรวจสอบสินค้าด้วยครับ หากไม่มีปัญหาอะไร ก็ชำระเงินได้เลยครับ”
หลินม่ายรับใบรายการสินค้ามาอย่างลังเล เอ่ยด้วยสีหน้างุนงง “ใครให้หัวหน้าโรงงานพวกคุณส่งสินค้ามาให้ฉันเหรอคะ?”
ชายหนุ่มรำคาญเล็กน้อย “ผมเป็นพนักงานตัวเล็กๆ จะไปรู้มากมายขนาดนั้นได้ยังไง? คุณรีบรับสินค้าเสียที ผมยังต้องกลับไปรายงานผลงานอีกนะ!”
หลินม่ายรู้จักอุปนิสัยของพนักงานโรงงานรัฐวิสาหกิจ จึงไม่กล้ายืดยาดต่อไปอีก เธอรีบบอกให้พนักงานยกเบียร์ทั้งหมดบนรถสามล้อข้างนอกเข้ามาทั้งหมด แล้วจ่ายเงินอย่างว่องไว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เมนูใหม่น่าอร่อยจัง มีเบียร์มาแกล้มก็คือฟิน
คนสั่งเบียร์นี่พี่หมอเปล่าคะ พอมีคู่แข่งแล้วออกตัวแรงเลยนะคะ
ไหหม่า(海馬)