ตอนที่ 143 อยากซื้อบ้านอีกหลัง
หลินม่ายกลับถึงร้านในเวลาประมาณสี่ทุ่มกว่า
โจวฉายอวิ๋นกับหลี่หมิงเฉิงยังไม่แยกย้ายกันไปนอน พวกเขานั่งอยู่ใต้แสงตะเกียงรอเธอกลับมา
หลี่หมิงเฉิงเห็นว่าหลินม่ายเหลือผลไม้กลับมามากกว่าคืนเมื่อวานเสียอีก จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นอุบ “เธออุตส่าห์ออกไปขายของตั้งไกล ไม่เห็นจะขายดีไปกว่าคืนเมื่อวานตรงไหน ขับออกไปขายใกล้ ๆ ยังดีเสียกว่า!”
โจวฉายอวิ๋นกลอกตาใส่เขา “นายจะไปรู้อะไร!”
ขณะพูดแบบนั้นก็ลุกขึ้นไปตักโจ๊กถั่วเขียวใส่ชามพร้อมด้วยไข่ต้มอีกฟองเพื่อเป็นมื้อดึกสำหรับหลินม่าย
หลี่หมิงเฉิงใช่ว่าจะไม่รู้ พี่ฉายอวิ๋นก็แค่อยากจะจับคู่ม่ายจื่อกับศาสตราจารย์ฟางไม่ใช่หรือ?
แต่ระหว่างพวกเขาอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้นี่?
หลินม่ายยังคงขนลูกท้อกับลูกไหนที่ยังขายไม่หมดออกไปตั้งแผงลอยขายที่ตลาดมืดในตอนเช้า
ลูกน้องของเฉินเฟิงยังยกเว้นค่าธรรมเนียมตั้งแผงลอยให้กับเธอตามเดิม และยังคอยคุ้มครองเธออยู่ห่าง ๆ
ถึงอย่างนั้นบรรดาคนที่มาตลาดมืดเพื่อจับจ่ายซื้อของต่างก็เป็นลูกค้าหน้าเดิมกันทั้งนั้น
เมื่อวานนี้หลินม่ายมาที่ตลาดมืดเพื่อขายลูกท้อกับลูกไหนแล้วรอบหนึ่ง พอออกมาขายอีกรอบในวันนี้จึงมีคนสนใจซื้อไม่มากนัก
ตั้งแผงขายจนถึงแปดโมงเช้า ปรากฏว่ายังเหลือผลไม้อีกเกือบสองร้อยชั่ง
ดวงอาทิตย์ลอยแขวนอยู่บนท้องฟ้ามาสักระยะแล้ว แสงแดดจ้าในยามเช้าร้อนเกินไป ผู้คนจึงไม่ค่อยออกจากบ้านมาจับจ่ายซื้อของกันเท่าที่ควร
ต่อให้ตั้งแผงต่อก็คงขายผลไม้ได้อีกไม่มากนัก
หลินม่ายตัดสินใจปิดแผง ขับรถแทรกเตอร์ไปจอดแถวเขตชุมชนที่ผู้อาศัยค่อนข้างมีฐานะมั่งคั่งเพื่อขายผลไม้ ในที่สุดก็ขายผลไม้ที่เหลือได้เกือบหมดตั้งแต่ก่อนถึงสิบโมง
บนรถเหลือลูกท้อกับลูกไหนแค่ไม่กี่ผล หลินม่ายจึงตั้งใจว่าจะนำพวกมันกลับบ้านไปให้โต้วโต้วกินเสียหน่อย
ถึงแม้เธอจะรับซื้อลูกท้อกับลูกไหนมาขายติดกันสองวันแล้ว แต่เด็กหญิงตัวน้อยยังไม่ได้ชิมสักลูกเลย
หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์กลับบ้าน
ระหว่างนั้นในใจก็คิดคำนวณกำไรรวมทั้งสิ้นจากการขายผลไม้ทั้งสองชนิดไปด้วย ผลก็คือเธอมีรายได้สุทธิห้าร้อยหยวน
คิดแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ ช่วงปี 1980 ถือเป็นช่วงที่ดีในการสร้างเนื้อสร้างตัวจริง ๆ
โชคดีที่ชาวบ้านในชนบทยุคสมัยนี้ค่อนข้างขี้กลัว ไม่มีความกล้าพอที่จะเข้ามาทำธุรกิจค้าขายในเมืองด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำจากการรับพืชผลทางการเกษตรมาขายเป็นแน่
สำหรับหลินม่ายแล้ว การได้รับเงินรวมห้าร้อยหยวนภายในเวลาสองวันเป็นอะไรที่น่าภาคภูมิใจมาก
ทว่าสำหรับตาลุงพ่อค้าคนนั้นแล้ว เงินจำนวนน้อยนิดนี้อาจไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาด้วยซ้ำ ตาลุงนั่นไม่สนใจแม้แต่จะหาเงิน
ช่วงชีวิตของเธอในภพชาติก่อน เธอเคยได้ยินว่าตาลุงขี้โกงคนนี้ทำธุรกิจหาเงินได้ครั้งละหลายพันถึงหลายหมื่นหยวน นับว่าเขาก็มีความสามารถพอตัว
ดี! สักวันหนึ่งคงดีไม่น้อยถ้าเธอสามารถหาเงินได้ครั้งละเยอะ ๆ แบบตาลุงนั่น ถ้าเป็นแบบนั้นคงไต่เต้าไปจนถึงจุดสูงสุดในชีวิตได้อย่างไม่ยากเย็น
หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์อย่างช้า ๆ ผ่านถนนอันเป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายประกาศขายบ้านที่ตั้งอยู่หน้าตึกตึกหนึ่ง เธอรีบจอดรถ ก่อนจะอ่านป้ายประกาศขายดังกล่าวอย่างละเอียด
ขายบ้าน ตึกแถวสองชั้น เชื่อมต่อกันสามคูหา มีสามห้องนอน
หลินม่ายรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
ตึกแถวสามคูหานี้ตั้งอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงมาก อีกสิบปีต่อจากนี้ ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงจะมีการขยายพื้นที่ออกไป อาคารบ้านเรือนทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณโดยรอบจะถูกรื้อถอน แน่นอนว่าทุกหลังคาเรือนได้รับเงินค่าชดเชยในราคาที่สูงเสียดฟ้า
ถ้าซื้อไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ในอนาคตอย่างไรก็ได้กำไรเห็น ๆ
อีกอย่างที่นี่ยังมีทำเลการค้าที่ดีเพราะอยู่ติดกับห้างสรรพสินค้าใหญ่ มีผู้คนสัญจรพลุกพล่านตลอดเวลายิ่งกว่าอาคารริมถนนเสียอีก ต่อให้ซื้อไว้เพื่อเปิดร้านทำธุรกิจก็ยังนับว่าเข้าท่า
แต่เพราะมันเป็นตึกแถวสามคูหา แถมยังมีสองชั้น ราคาขายคงแพงไม่ใช่เล่น
หลินม่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปเพื่อสอบถามราคา
เจ้าของตึกแถวนี้เป็นผู้รับผิดชอบการซื้อขายด้วยตัวเอง เขายกถ้วยชาขึ้นจิบพลางทอดสายตามองออกไปด้านนอกด้วยความเบื่อหน่าย ทันใดนั้นก็เห็นว่าหลินม่ายขับรถแทรกเตอร์มาจอด
ถึงคนที่ใช้รถแทรกเตอร์เป็นยานพาหนะจะเป็นชาวบ้านในแถบชนบท แต่คนที่มีกำลังพอซื้อต้องไม่ใช่ชาวบ้านที่มีฐานะยากจนแน่ ดังนั้นคุณลุงเจ้าของตึกแถวนี้จึงไม่แสดงท่าทีเย่อหยิ่งต่อหลินม่าย
หลินม่ายเปิดประตูเข้าไปแล้วถามว่า “คุณลุงคะ คุณเป็นคนประกาศขายตึกแถวสามคูหาสองชั้นหลังนี้ใช่ไหมคะ?”
เจ้าของตึกแถวพยักหน้าพลางถามกลับ “คุณสนใจซื้อเหรอ?”
ทุกวันนี้ การหาคนที่สนใจอยากซื้อบ้านสักหลังไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละคนใช่ว่าจะมีเงินเก็บเป็นถุงเป็นถัง
ยิ่งเมื่อเป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีราคาแพงลิ่วแบบนี้ ยิ่งไม่มีใครสนใจซื้อเข้าไปใหญ่
ตราบใดที่มีคนผ่านมาถามราคา เจ้าของบ้านก็จะปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีสุภาพเสมอ
หลินม่ายพูดกลั้วหัวเราะ “ฉันยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะมีกำลังทรัพย์พอซื้อหรือเปล่า แล้วจะสนใจซื้อทันทีเลยได้อย่างไรคะ?”
คุณลุงเจ้าของบ้านชูนิ้วขึ้นมา “หนึ่งหมื่นหยวน”
สมองของหลินม่ายพลันว่างเปล่าจนส่งเสียงดังวิ๊ง ๆ
นี่มันปี 1980 นะ ใครที่ไหนจะมีเงินมากมายถึงหนึ่งหมื่นหยวนกัน!
เธออดบ่นไม่ได้ “ตั้งราคาขายแพงจังเลยค่ะ”
ลุงเจ้าของบ้านโบกมือ “บ้านของผมคุ้มค่าคุ้มราคาขนาดนี้ ลดราคาขายถูกกว่านี้ไม่ได้แล้ว…”
ถ้าจ่ายไม่ไหวก็ไม่ควรเข้ามาดูแต่แรกสิ
หลินม่ายถามอย่างระมัดระวัง “ฉันขอเข้าไปเยี่ยมชมบ้านหลังนี้หน่อยได้ไหมคะ?”
คุณลุงเจ้าของบ้านพยักหน้า “คุณขึ้นไปดูเองก็แล้วกัน ผมป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ เดินขึ้นเดินลงบันไดไม่ค่อยสะดวกน่ะ”
เขารู้ดีว่าตัวเองตั้งราคาขายตึกแถวหลังนี้เอาไว้สูงมาก น้อยคนนักที่จะมีปัญญาซื้อ เพราะแบบนี้เขาถึงไม่ค่อยกระตือรือร้นพาแขกเยี่ยมชมบ้านสักเท่าไหร่
ถ้าอีกฝ่ายสนใจซื้อบ้านจริง ๆ ทั้งยังมีกำลังทรัพย์ที่เพียงพอ คงต่อรองราคาในการซื้อขายตั้งแต่แรกแล้ว
ตรงกันข้าม ถ้าอีกฝ่ายดูไม่มีกำลังทรัพย์มากพอ ต่อให้สนใจซื้อแค่ไหนแต่หาเงินมาจ่ายไม่ได้ก็เท่านั้น คนประเภทนี้มักจะแวะมาดูบ้านแล้วก็จากไป
หลินม่ายเดินดูชั้นที่หนึ่งของอาคารก่อนเป็นอันดับแรก อาคารทั้งสามเชื่อมต่อกันทั้งหมด มีความลึกประมาณสิบห้าเมตร พื้นที่ใช้สอยสำหรับเปิดร้านเพียงอย่างเดียวก็ประมาณสองร้อยตารางเมตรแล้ว
ด้านหลังแบ่งออกเป็นสามห้อง ขนาดประมาณสิบสองตารางเมตร โดยแต่ละห้องยังมีห้องน้ำในตัวซึ่งมีขนาดประมาณหกตารางเมตร
ภายในห้องน้ำมีอ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ครบครัน
ถึงแม้ห้องน้ำจะถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว แต่ยังสามารถสังเกตเห็นความหรูหราได้จากรสนิยมการจัดวางอุปกรณ์ใช้สอยในช่วงเวลานั้น
พอเปิดประตูด้านหลังของห้องโถงกลางออกไป ลานกว้างซึ่งมีพื้นที่ประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบตารางเมตรก็ปรากฏต่อสายตา
ลานกว้างยังทำเป็นโรงจอดรถในตัวอีกด้วย คาดว่าคงสร้างไว้สำหรับจอดรถยนต์หรือรถขนของ
โรงจอดรถสร้างขึ้นจากเหล็กดัด ไม่ต้องพูดถึงยุคก่อนปลดแอก แม้แต่ยุคนี้ยังนับว่าล้ำสมัย
หลินม่ายถามเจ้าของบ้านด้วยความสงสัย “ตึกแถวหลังนี้เคยใช้เปิดกิจการอะไรหรือคะ?”
“ขายเสื้อผ้าระดับไฮเอนด์” เจ้าของบ้านนิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดเสริม “พวกเสื้อผ้าราคาแพงอะไรทำนองนั้น”
หลินม่ายก้มลงมองพื้นบ้านที่ปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน ทันใดนั้นเธอก็รู้แล้วว่าไม่น่าแปลกใจเลย แม้แต่กระเบื้องปูพื้นยังเลือกลายทันสมัยแบบนี้!
ด้านหน้าของตึกแถวสามคูหาเป็นบันไดขึ้นสู่ชั้นสอง แต่วัสดุที่ใช้ทำขั้นบันไดยังทำจากไม้ เวลาเหยียบขึ้นไปก็ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดไม่ต่างจากร้านของเธอเลย
สิ่งที่แตกต่างจากบันไดไม้ในบ้านที่หลินม่ายเช่าอยู่ในปัจจุบัน ก็คือขั้นบันไดของที่นี่ทำจากไม้เนื้อดี ทั้งยังขัดแต่งจนมีรูปทรงสวยงาม
บนชั้นสองว่างเปล่า ไม่แบ่งย่อยออกเป็นสามห้องนอนเหมือนชั้นที่หนึ่ง ปล่อยทิ้งไว้เป็นห้องโถงโล่ง ๆ เท่านั้น
หลินม่ายเดาว่าชั้นสองของที่นี่ก็คงถูกใช้เป็นหน้าร้านด้วยเหมือนกัน
หลังจากเยี่ยมชมจนพอใจแล้ว หลินม่ายก็กลับลงไปชั้นล่าง
คุณลุงเจ้าของบ้านประเมินไว้แต่แรกแล้วว่าเธอคงไม่มีเงินมากถึงหนึ่งหมื่นหยวนแน่ จึงไม่ถามว่ายังสนใจซื้ออยู่หรือไม่
ความจริงแล้วหลินม่ายสนใจที่นี่ไม่น้อยเลย แต่ในส่วนของเงิน… ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ตกจริง ๆ
เธอขับรถกลับไปถึงร้านด้วยสภาพจิตใจที่หนักอึ้ง ก้าวยาว ๆ ขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะหยิบสมุดบัญชีเงินฝากที่ซ่อนอยู่ในเสื้อแจ็กเกตบุนวมออกมาดู ว่าตอนนี้เธอมีเงินเก็บอยู่ในนั้นมากแค่ไหน
แต่แล้วหลินม่ายก็ถอนหายใจออกอย่างหนักหน่วง เมื่อพบว่ายอดเงินยังห่างไกลจากหนึ่งหมื่นหยวนพอสมควร
ยุคสมัยนี้ยังไม่มีองค์กรไหนที่อนุญาตให้กู้ยืมเงิน เห็นทีความฝันที่จะซื้อตึกแถวสามคูหาสองชั้นหลังนั้นคงเป็นไม่ไม่ได้เสียแล้ว
หลินม่ายเก็บสมุดบัญชีเงินฝากกลับเข้าที่เดิม ก่อนจะลงไปชั้นล่างทั้ง ๆ ที่ภายในใจยังคงรู้สึกกระสับกระส่าย จากนั้นก็พับแขนเสื้อขึ้นเพื่อเตรียมเข้าครัวทำอาหารกลางวัน แต่เหลือบไปเห็นสีหน้าบูดบึ้งของโจวฉายอวิ๋นกับหลี่หมิงเฉิงเข้าเสียก่อน
เธอมองหน้าทั้งสองสลับกันไปมา “เป็นอะไรไปน่ะ? ช่วงเช้าขายไม่ค่อยดีเหรอ?”
หลินม่ายคิดว่าคงไม่พ้นเหตุผลนี้แน่ ๆ
แต่โจวฉายอวิ๋นกลับมองไปทางหลี่หมิงเฉิงด้วยหางตา แล้วพูดอย่างโกรธเคือง “เธอถามเขาเองสิ ฉันไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้นแหละ!”
หลินม่ายหันมองไปที่หลี่หมิงเฉิงด้วยความสงสัยทันที
ใบหน้าของหลี่หมิงเฉิงซีดคล้ำกลายเป็นสีตับหมู หลังจากอมพะนำอยู่นาน ท้ายที่สุดเขาก็จำใจเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เอาแล้วหลินม่าย จะหาเงินให้ถึงหนึ่งหมื่นหยวนยังไงดี
เกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนที่หลินม่ายไม่อยู่น่ะ?
ไหหม่า(海馬)