ตอนที่ 166 อดีตของฟางจั๋วหราน
คล้อยหลังจากหญิงสาวที่วิ่งลงบันไดจากไปแล้ว คุณหมอฟางก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมที่ชายโครงของตัวเองด้วยความเจ็บปวด ค่อย ๆ เดินไปด้านหน้าช้า ๆ ประคองตัวเองนั่งลง
คนอื่น ๆ คิดว่าเขาไม่ได้รับอันตรายใด ๆ จากเหตุความวุ่นวายนี้ แต่ความจริงแล้วระหว่างการต่อสู้เขาถูกคนร้ายฟาดด้วยเก้าอี้ แต่ที่ยังไม่ได้บอกใครเพราะต้องช่วยเหลือคนอื่นก่อน
มีเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัสรอการช่วยเหลือจากเขาให้พ้นขีดอันตราย
คุณหมอหนุ่มเข้าทำการผ่าตัดให้คนเจ็บโดยฝืนร่างกายที่บาดเจ็บของตัวเองเอาไว้ยาวนานต่อกัน
เป็นเพราะความเจ็บที่ซี่โครงทำให้เขาไม่สามารถกอดหลินม่ายตอบแล้วอุ้มเธอขึ้นมาอย่างที่ใจอยากได้
หลังนั่งอยู่อย่างนั้นสักพักและความเจ็บปวดเริ่มทุเลาลง ก็มีเสียงตะโกนจากผู้คนดังขึ้นมาจากชั้นล่าง “มีคนเป็นลมครับ…ช่วยด้วยครับ หมอ หมอ!”
ได้ยินแบบนั้นชายหนุ่มก็ลุกขึ้นตามสัญชาติญาณ สาวเท้าวิ่งไปที่ต้นเสียงนั้นเพื่อไปดูคนไข้โดยกัดฟันอดกลั้นต่อความเจ็บเอาไว้
สายตาของเขาหันไปเห็นหญิงสาวที่ล้มหมดสติอยู่ที่พื้นเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ
กระโปรงที่เธอสวมอยู่ทำให้เขาจำได้ในทันที หล่อนคือหลินม่าย !
หัวใจของเขาหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ร่างสูงรีบตรงเข้าไปหาเธอ แหวกฝูงชนที่มุงดูอยู่ให้หลบออกไป “ม่ายจื่อ…คุณเป็นอะไร”
เขาพยายามเรียกแต่เธอไม่ตอบสนอง
คุณหมอฟางรีบตรวจสอบชีพจรและการเต้นของหัวใจก็พบว่ามันผิดปกติเล็กน้อย แต่โชคดีที่ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต
ทำไมอยู่ ๆ ถึงเป็นลมแบบนี้ได้ล่ะ
เขาไม่ได้มีเวลาคิดมานัก จึงรีบอุ้มเธอขึ้นมาแล้วไปส่งที่ห้องฉุกเฉิน
เมื่อถึงแผนกฉุกเฉินหมอก็ตรวจร่างกายให้หญิงสาวแล้วพบว่าเป็นอาการโลหิตจาง ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร หมอสั่งยาบำรุงเลือดและบอกให้ดื่มน้ำหวานเมื่อฟื้นขึ้น
ไม่นานหลินม่ายก็ได้สติ
ฟางจั๋วหรานนั่งเฝ้าเธอที่ข้างเตียงในห้องฉุกเฉิน เห็นหลินม่ายลืมตาขึ้นก็เอ่ยเชิงดุ “ทำงานร้านอาหารแต่ไม่ได้กินข้าวดี ๆ บ้างเลยเหรอ ทำไมปล่อยให้ตัวเองเป็นโลหิตจางได้ล่ะ ถึงจะต้องประหยัดเงินเพื่อซื้อบ้าน แต่ก็ต้องห่วงสุขภาพตัวเองด้วยสิ”
หลินม่ายเกาคิ้วแก้เก้อ
เธอรู้ตัวในทันทีว่าทำไมถึงเป็นลมเพราะโลหิตจางได้ นั่นเป็นเพราะเธอบริจาคเลือดมากเกินไปต่างหาก
แต่ก็รู้สึกอายถ้าจะต้องบอกเขา หญิงสามจึงพยักหน้าเงียบ ๆ อย่างเชื่อฟัง
คุณหมอฟางเห็นว่าหลินม่ายไม่ได้เป็นอะไรมากเลยพาเธอไปส่งที่บ้านแล้วกำชับกับโจวฉายอวิ๋นอย่างจริงจังว่าให้ทำซุปไก่สมุนไพรบำรุงให้หลินม่ายกินด้วยเพราะเธอเป็นโลหิตจาง
โจวฉายอวิ๋นได้ยินแบบนั้นก็เป็นห่วงมาก หลังอาจารย์ฟางกลับไปเธอก็รีบไปหาน้ำหวานมาให้คนป่วยดื่ม
และวางแผนจะออกไปตลาดมืดพรุ่งนี้เพื่อไปซื้อไก่มาทำซุปบำรุง
หลินม่ายแตะไหล่พี่สาวให้ใจเย็นลง “พี่ฉายอวิ๋น ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น ฉันไม่ได้เป็นโรคโลหิตจางหรอก”
คนเป็นพี่กลอกตาอย่างไม่เชื่อถือ ยัดน้ำหวานใส่มือน้องสาว “อาจารย์ฟางเป็นคนบอกฉันเองว่าเธอเป็นลมที่โรงพยาบาล หมอก็ตรวจแล้วว่าเป็นโลหิตจาง จะมาบอกว่าไม่เป็นไรได้ไง”
แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ถามขึ้นมาอีก “แล้วถ้าไม่ใช่ ทำไมถึงเป็นลมได้ล่ะ”
หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ซักพัก แต่สุดท้ายก็ต้องบอกตามตรง เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง
แม้ว่าจะไม่ได้เล่าอย่างละเอียด แต่โจวฉายอวิ๋นและหลี่หมิงเฉิงก็เข้าใจได้ในทันทีถึงความรู้สึกของหลินม่ายต่อคุณหมอฟาง
หลี่หมิงเฉิงหลบฉากออกมาอย่างเงียบ ๆ
เพราะเป็นห่วงหมอฟางมาก เธอถึงขั้นบังคับให้พยาบาลเจาะเลือดไปเพิ่มจนเป็นลม ก็คงแสดงชัดเจนแล้วว่าเจ้าของร้านสาวรู้สึกอย่างไรกับคุณหมอ
หลินม่ายดื่มน้ำหวานจนหมดแล้วก็ไปอาบน้ำ
เธอวิ่งไปวิ่งมาตลอดตอนอยู่ที่โรงพยาบาล ทำให้ทั้งเหนียวตัวและเหนื่อยล้า
โจวฉายอวิ๋นเข้ามาคว้าข้าวของไปจากมือเธอแล้วถือขึ้นชั้นบนมาด้วยกัน และแอบกระซิบว่า “ถึงขั้นบริจาคเลือดเพื่อช่วยเขาแล้ว อย่ามัวหนีจากความรู้สึกของตัวเองอยู่เลยน่า ชอบก็บอกเขาไปเลยสิ จะทนเก็บไว้ให้ทุกข์ใจทำไม”
หลินม่ายตอบอย่างนิ่งเฉย “ใครบอกว่าฉันทุกข์ใจ”
โจวฉายอวิ๋นหมดคำจะพูด “ต้องรอให้ตายก่อนแล้วมาเสียดายทีหลังหรือไง”
หลินม่ายเงียบไป
ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไรแล้วจะยังกล้าไปสารภาพรัก มันเป็นการตัดสินใจที่ไร้ประโยชน์แถมทำให้เจ็บปวดเปล่า ๆ
ฟางจั๋วหรานกลับไปที่โรงพยาบาลเพื่อไปให้หมอตรวจกระดูกซี่โครงที่หัก แล้วก็พักค้างที่ห้องพักในโรงพยาบาล
เขากลัวว่าหลินม่ายจะกังวลเรื่องหาเงินมากเกินไปจนไม่เป็นอันได้กินของดี ๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นเขาจึงไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อไก่สองตัวมาให้เธอ
โจวฉายอวิ๋นเห็นแบบนั้นก็ยิ้มแล้วแซวว่า “คุณกลัวว่าฉันจะลืมทำซุปให้ม่ายจื่อใช่ไหมคะ แต่ไก่นี่ยังอ่อนเกินไป มันจะไม่มีคุณค่าทางอาหารเท่าไก่แก่นะ”
ชายหนุ่มตกใจไปพักหนึ่ง เขาดูไก่ไม่เป็นเลยถามคนขาย ไม่คิดว่าจะถูกหลอกขายไก่อ่อนมาให้แบบนี้
แต่ช่างเถอะ ความจริงที่ว่ากันว่าไก่แก่มีสารอาหารมากกว่าเป็นเพียงความเชื่อโบราณเท่านั้น ไม่ได้มีหลักวิทยาศาสตร์อะไรรองรับอยู่แล้ว
เขานำไก่มาฝากตอนเช้า หลังจากเลิกงานตอนเที่ยงก็ไปที่ห้างสรรพสินค้า เพื่อซื้ออาหารสำหรับบำรุงให้หลินม่ายอย่าง ลำไย พุทราจีน น้ำตาลแดง และของกินอีกหลายอย่าง
หลินม่ายเห็นเขาซื้อของมาให้ตั้งมากมายก็ทำอะไรไม่ถูก “ฉันแค่เป็นโลหิตจางนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องซื้อของมาเยอะแยะขนาดนี้เลย สองสามวันก็ดีขึ้นแล้ว”
หลินม่ายวางแผนจะรับอาหารพวกนี้ไว้แต่ไม่ได้คิดจะกินมัน เธอจะเอาไปให้คุณปู่คุณย่าฟางที่ชนบทแทน
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเคร่งขรึม “คุณเป็นลมไปเพราะโลหิตจาง ยังจะมาบอกว่าเล็กน้อยอีก อย่าละเลยสุขภาพตัวเองได้ไหม?”
โจวฉายอวิ๋นได้ยินแบบนั้นเลยเข้ามาแทรก “ม่ายจื่อสบายดีมาก เมื่อวานที่เธอเป็นลมเพราะไปบริจาคเลือดมา เธอตั้งใจจะบริจาคเลือดให้คุณ ถึงคุณจะไม่ได้ใช้ก็เถอะ”
หลินม่ายไม่คิดว่าโจวฉายอวิ๋นจะพูดความจริงออกไปแบบนั้น
เธออุตส่าห์กำชับกับแล้วว่าอย่าบอกฟางจั๋วหราน เพราะกลัวว่าเขาจะรู้สึกผิด
แต่อีกฝ่ายก็ยังจะพูดอีก
ฟางจั๋วหรานได้ยินแบบนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “บริจาคเลือดให้ผมเหรอ?”
โจวฉายอวิ๋นไม่สนใจสายตาห้ามปรามที่หลินม่ายส่งมาแล้วพูดทุกอย่างออกไป “เมื่อวานพอรู้ว่ามีคนโดนทำร้ายที่โรงพยาบาล ม่ายจื่อกลัวว่าคุณจะบาดเจ็บสาหัสแล้วต้องการเลือด ก็เลยรีบไปบริจาคเลือด แต่บริจาคเลือดมากเกินไปก็เลยเป็นลม แบบนี้ไม่ใช่เพราะเป็นโรคโลหิตจางใช่ไหมล่ะ”
ยิ่งหลินม่ายอยากจะปิดบังมากแค่ไหนโจวฉายอวิ๋นก็ยิ่งเป็นห่วง หล่อนอยากให้เขารู้เหลือเกินว่าน้องสาวเป็นห่วงเขามากแค่ไหน
สำหรับฟางจั๋วหรานแล้ว สิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาเข้าใจในความรู้สึกของหลินม่ายที่มีต่ออีกฝ่ายหรือไม่หล่อนเองก็ไม่รู้ หล่อนเพียงแค่อยากทำทุกอย่างเท่าที่ตัวเองจะช่วยได้เท่านั้น
คุณหมอฟางเอ่ยถามเธออย่างจริงจัง “พยาบาลคนไหนเป็นคนเจาะเลือดให้คุณ? การบริจาคเลือดต้องทำตามข้อบังคับ ทำไมถึงปล่อยให้คุณเสียเลือดจนเป็นลมขนาดนี้ได้”
หลินม่ายอยู่ในอาการอ้ำอึ้ง ไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้
โจวฉายอวิ๋นจึงตอบไปแทน “พยาบาลห้ามหล่อนแล้วว่าไม่ควรบริจาคเลือดจนเต็มถุง แต่หลินม่ายก็ยังยืนยันจะให้เลือดจนเต็มถุง”
คุณหมอหนุ่มได้ยินแบบนั้นเลยมองไปที่หลินม่ายแทน “คุณก็รู้ว่ามันอันตราย”
ฟางจั๋วหรานเข้าใจว่าหลินม่ายเป็นห่วงเขา เธอเลยอยากจะบริจาคเลือดให้ได้เยอะ ๆ
แต่ความเป็นห่วงแบบนี้คือความเป็นห่วงในฐานะอะไรกัน ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงคนหนึ่ง
หรือเป็นห่วงกันแบบพี่น้อง
แล้วถ้าเขาเดาผิดล่ะ จะต้องทำอย่างไรดี
คุณหมอฟางกินมื้อกลางวันที่ร้านของหลินม่ายแล้วกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลด้วยอาการครุ่นคิด
เขาตกอยู่ในความคิดของตัวเอง เหม่อลอยตลอดบ่าย ยกเว้นตอนผ่าตัดให้คนไข้
จนกลับมาที่บ้านแล้วอาบน้ำกว่าครึ่งชั่วโมง สติถึงค่อย ๆ คืนกลับมา
ไม่ว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบไหน เขาก็จะสารภาพรักกับเธอ
ถ้ามันล้มเหลว…เขาก็คง…จะลองใหม่อีกครั้ง
ชายหนุ่มมองภาพสะท้อนตัวเองในกระจก เขาเป็นคนที่จัดว่าหน้าตาดี ส่วนสูงก็ไม่น้อย เป็นถึงรองศาสตราจารย์ศัลยแพทย์โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชื่อดัง ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะปฏิเสธเขาเลย
…ต้องไม่มีสิ…
นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางจั๋วหรานผู้ยิ่งใหญ่รู้สึกประหม่า เขาไม่มั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย
แต่เพราะตัดสินใจไปแล้วว่าจะบอกเธอ เขาก็ต้องทำให้ได้
หลังจากอาบน้ำเสร็จชายหนุ่มเลือกที่จะล้มตัวลงที่เตียงทันทีโดยไม่ได้อ่านหนังสือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี คิดวนเวียนว่าจะสารภาพกับเธออย่างไรดี
แม้ว่าปีนี้เขาจะอายุ 28 แต่ก็เคยมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวเพียงครั้งเดียว
มันเป็นความรักที่ค่อนข้างเรียบง่ายไม่มีหวือหวา
ตอนนั้นเขาอายุ 18 ไปเรียนอยู่ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงเพียงลำพัง
กู้ม่านชืออายุเท่ากันกับเขา หล่อนกำลังคิดสั้นเพราะอกหักจากแฟน แต่ฟางจั๋วหรานไปเจอเข้าเลยห้ามเอาไว้ทัน
เขาอยู่เป็นเพื่อนหล่อน คอยปลอบใจตอนที่หล่อนร้องไห้โดยที่ยังไม่ได้มองหล่อนเป็นมากกว่าเพื่อนคนหนึ่ง
แต่หลังจากนั้นหญิงสาวก็เริ่มชอบพอในตัวเขาและเข้ามาตามจีบ
เขายังไม่มีแผนจะชอบใครในตอนนั้นก็เลยปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
แต่พอเห็นว่าหล่อนร้องไห้ และเขาเองก็ยังเด็ก ไม่สามารถต้านทานความรู้สึกสงสารได้
เขายังจำแววตาของแม่ที่เต็มไปด้วยความเศร้าตอนที่ท่านจากไปได้เป็นอย่างดี
แววตาของม่านชือที่มองเขาในตอนนั้นทำให้เขาหวนนึกถึงท่าน
การจากไปของแม่สร้างบาดแผลขนาดใหญ่ในใจของเขาตลอดมา
ในตอนนั้นเขาคิดเพียงว่าไม่อยากให้หล่อนต้องเศร้าโศกเหมือนกับที่แม่ของเขาเคยเป็น เด็กหนุ่มในตอนนั้นเลยตัดสินใจคบกับหล่อน
ถึงจะไม่ได้เรียกว่าเป็นการเริ่มต้นด้วยความรักอย่างเต็มปากนัก แต่เขากับหล่อนก็เป็นคู่ที่อบอุ่นคู่หนึ่ง คบกันได้นานพอสมควร
เขาคิดว่าเขาสามารถแต่งงานกับหล่อนได้หลังจากที่เรียนจบมหาวิทยาลัย แต่หลังจากเรียนจบหล่อนกลับจากเขาไปโดยไม่มีแม้แต่คำบอกลา
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ใจมันไม่เป็นของตัวเองแล้ว ขนาดบริจาคเลือดจนเป็นลมแบบนี้
พี่หมอก็เคยมีอดีตช้ำรักกับเขาเหมือนกันนะเนี่ย
ไหหม่า(海馬)