บทที่ 15 แสงแห่งเซียนเต๋า
หลี่จิ่วเต้าใช้พู่กันวาดลงไป จากนั้นหมึกสีเข้มปลายพู่กันก็เริ่มเริงระบำ กลายเป็นภูเขาไท่หัวสูงตระหง่านและตั้งโดดเด่นอยู่เป็นสง่า รอบล้อมไปด้วยหมู่เมฆาและม่านหมอก ซึ่งถูกร่างไว้บนกระดาษข้าวอย่างสมบูรณ์แบบ
บรรยากาศอันหนักหน่วงของภูเขาพร้อมกับลายเส้นศิลปะอันงดงามของหลี่จิ่วเต้าถูกเผยออกมาทีละเรื่อย ๆ เวิงอู๋โยวที่จับจ้องก็ดูจะประหลาดใจ ใบหน้าของเขาพลันเคร่งขรึมขึ้น
‘นี่คือภูเขาไท่หัวใช่หรือไม่?’
ภูเขาไท่หัวที่วาดโดยหลี่จิ่วเต้านั้น เหมือนกับการพิมพ์ภูเขาไท่หัวทั้งหมดลงบนกระดาษ เรียกได้ว่าเหมือนกันทุกประการ
แต่…มันดูแตกต่างไปนิดหน่อย
‘ข้างในมันต่างกัน!’
เขาเต็มไปด้วยความตกใจ และในที่สุดก็สังเกตเห็นบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป
ภูเขาเป็นภูเขาเดียวกัน แต่หลี่จิ่วเต้ากลับนำเสนอได้อย่างแตกต่าง
ไม่ใช่ความแตกต่างจากภายนอก แต่เป็นภายใน!
รัศมีของแสงหักเหทำให้มองไม่เห็นพื้นผิวซึ่งซ่อนลึกลงอยู่ในภูเขา เมื่อมองผ่าน ๆ ตามันก็เหลือแค่การตกแต่งขั้นสุดท้ายแล้ว ทำให้ภูเขาไท่หัวในภาพดูเหมือนกับปรากฏต่อหน้าของทุกคนจริง ๆ!
“สมกับเป็นผู้อาวุโสเลย!”
เวิงอู๋โยวอดทอดถอนอยู่ในใจไม่ได้ ทักษะอันสูงส่งของหลี่จิ่วเต้าทำให้เขาได้แต่ตกตะลึง!
รัศมีอันเจิดจ้าที่มองไม่เห็นนั้นเป็นแสงที่พวกเขาเรียกว่า ‘ไท่หัว’ อย่างแน่นอน และยังเป็นรากฐานของการฝึกตนในสำนักไท่หัวของพวกเขาด้วย
ผู้ก่อตั้งสำนักไท่หัวเดินผ่านภูเขาไท่หัวโดยบังเอิญ และทันใดนั้นก็พบกับ ‘ความพิเศษ’ ที่พุ่งออกมาจากภูเขา
มันเป็นรัศมีแสงอันวิเศษพร้อมด้วยสัมผัสเต๋าอันน่าตื่นตาตื่นใจ
ผู้ก่อตั้งพลันตระหนักได้ถึงบางอย่าง และเข้าใจถึงวิถีของ ‘ไท่หัว’ จากรัศมีนั้น
น่าเสียดายที่เวลาสั้นเกินไป และการรู้แจ้งของผู้ก่อตั้งก็มีจำกัดยิ่งนัก
ตอนนี้หลี่จิ่วเต้าดูเหมือนจะประทับแสงของ ‘ไท่หัว’ ลงบนกระดาษข้าว และสัมผัสเต๋าที่มีอยู่ในแสงของไท่หัวถูกเปิดออกอย่างเต็มที่!
สำหรับสำนักไท่หัว ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือสมบัติล้ำค่า
พวกเขาสำนักไท่หัวสามารถใช้ภาพวาดนี้เพื่อปลูกฝังวิถี ‘ไท่หัว’ ให้สมบูรณ์อย่างแท้จริง!
‘แสง ‘ไท่หัว’ เป็นแสงแบบใดกัน นี่มันน่าทึ่งเกินไปแล้ว!’
หลี่จิ่วเต้ายังวาดภาพไม่เสร็จ และวิถีแห่งเต๋าที่อยู่ในแสงของ ‘ไท่หัว’ ก็ยังไม่ได้รับการนำเสนออย่างเต็มที่
ทว่าตอนนี้ เขากลับสัมผัสได้ถึงจังหวะแห่งเต๋าสูงสุดแล้ว แสงของ ‘ไท่หัว’ ไม่ใช่แสงธรรมดา และวิถีของ ‘ไท่หัว’ ก็ไม่ใช่วิถีธรรมดา!
เขารู้สึกว่าหากแสงและสัมผัสเต๋าของ ‘ไท่หัว’ ถูกนำเสนอออกมาอย่างสมบูรณ์ มันก็อาจเทียบได้กับปารมิตาหฤทัยสูตรของแดนศักดิ์สิทธิ์บางแห่ง!
เผลอ ๆ อาจยิ่งกว่านั้น!
‘สำนักไท่หัวโชคดีมากจริง ๆ!’
ลวี่เหลียงอุทานในใจ สายตาเปี่ยมไปด้วยความอิจฉาและความเกลียดชัง
เขาเองก็สัมผัสได้ถึงจังหวะ ‘ไท่หัว’ อันน่าทึ่งในภาพวาด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสำนักไท่หัวจะสามารถก้าวกระโดดในเชิงคุณภาพด้วยภาพวาดนี้!
หากไม่มีอะไรมาขัดขวาง ภายภาคหน้าสำนักไท่หัวย่อมกลายเป็นขุมพลังสูงสุด และทรงพลังที่สุดในเหยียนโจว เทียบได้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด!
ซ้ำยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะแซงหน้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดด้วย!
เหยียนโจวนั้นกว้างใหญ่และไร้ขอบเขต สำนักผู้ฝึกตนมีมากมายดุจดาราบนฟากฟ้า และสามารถแบ่งออกเป็นห้าฝ่ายได้เช่นนี้ บูรพา ทักษิณ ประจิม อุดร และภาคกลาง
ห้าภูมิภาคมีขนาดใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของทั้งห้าภูมิภาคนั้นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
บูรพาทิศอ่อนแอที่สุด และภาคกลางแข็งแกร่งที่สุด
สำนักไท่หัวกับสำนักเมฆาลับฟ้าถือเป็นสำนักชั้นยอดและทรงพลังทางบูรพาทิศ แต่หากเปรียบเทียบกับทั้งเหยียนโจวแล้ว พวกเขาถือเป็นสำนักกลาง ๆ เท่านั้น นับประสาอะไรกับอันดับต้น ๆ พวกเขาเป็นแค่สำนักระดับสองที่ถูกจัดอันดับไว้ในท้ายตารางเท่านั้น!
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนดูถูกสำนักอันยิ่งใหญ่ของภูมิภาคเหล่านี้ เพราะพวกเขาสามารถกวาดล้างสำนักไท่หัว สำนักเมฆาลับฟ้า และสำนักอื่น ๆ ได้ด้วยการกระทืบเท้าเพียงเล็กน้อย
“ดูถูกมหาอำนาจของภูมิภาค!”
ดวงตาของลวี่เหลียงแดงก่ำมาก เขาเพ่งไปที่ภาพวาดทิวทัศน์ที่แขวนอยู่บนผนัง และเอ่ยในใจว่า ‘ข้าไม่รู้ว่าจะขอให้ผู้อาวุโสมอบภาพวาดเช่นนี้ให้ข้าได้บ้างหรือไม่…’
จิตรกรรมภูมิทัศน์นี้มีลักษณะทางธรรมชาติที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง ซ้ำยังสอดคล้องกับวิถีของสำนักเมฆาลับฟ้าของเขาไม่น้อย
หากสามารถนำภาพวาดภูมิทัศน์นี้กลับไปยังสำนักเมฆาลับฟ้าได้ ความสำเร็จของพวกเขาในสำนักเมฆาลับฟ้าจะต้องไม่เลวร้ายไปกว่าสำนักไท่หัวเป็นแน่
แต่ปัญหาคือ…ผู้อาวุโสไม่ได้บอกให้ส่งภาพวาดให้เขา
เขาขอภาพวาดภูมิทัศน์นี้จากผู้อาวุโสได้หรือไม่?
‘ผู้อาวุโสช่วยชีวิตข้าก่อนหน้านี้ ทั้งยังใช้สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยรักษาบาดแผลและฟื้นฟูร่างกายของข้า มิหนำซ้ำ เขายังให้ข้าพักอยู่ในร้านเป็นพิเศษให้ข้าใช้ภาพวาดเพื่อยกระดับขั้น หลังจากนั้นเมื่อเห็นว่าระดับขั้นของข้าไม่เสถียร จึงใช้สุราเซียนช่วยให้ข้ารวบรวมและปรับปรุงขอบเขตได้…’
‘หากข้ายังขอภาพวาดจากผู้อาวุโสอีก มันไร้ยางอายเกินไปหรือไม่ ผู้อาวุโสจะคิดว่า…ข้าไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรหรือไม่?’
ลวี่เหลียงสับสนยิ่งนัก รู้สึกว่าหากร้องขอผู้อาวุโสมากเกินไป ก็จะเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะไม่ควร
ในเวลานี้ หลี่จิ่วเต้าได้ลากเส้นบรรจบสุดท้ายแล้ว จากนั้นภาพวาดภูเขาไท่หัวก็เสร็จสมบูรณ์
“เรียบร้อยแล้ว”
เขาวางพู่กันลงด้วยความพอใจ มองไปยังภาพภูเขาไท่หัวแล้วเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ผู้ฝึกตนเดินขึ้นไปยังภูเขาเซียนเมฆา และไถ่ถามถึงวิถีเต๋ากับเหล่าเซียนทีละข้อซึ่งเป็นเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ ภูผาแบ่งแยกฟ้าดิน ท้องฟ้าคือแดนที่เหล่าทวยเทพประทับอยู่ ส่วนโลกคือสถานแห่งปุถุชนเดินดิน”
ในสายตาหลี่จิ่วเต้านั้น ภูเขาไท่หัวคือภูเขาแห่งเซียน และผู้ฝึกตนก็คือตัวตนของเซียน
เขา…ไม่มีความสามารถในการฝึกตน เดินขึ้นเขานั้นไม่ได้ บ่มเพาะไม่ได้ และเป็นได้เพียงแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อมองไปยังภูเขาไท่หัว อดีตพลันฉายชัดขึ้นมา และเขารู้สึกเสียใจอย่างมากที่ไม่อาจฝึกตนได้
ทว่าเมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าหูของเวิงอู๋โยวและลวี่เหลียง ความหมายของมันก็ถูกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
‘ภูเขาไท่หัว… ภูเขาเซียน!? แสงของไท่หัว แสงของแดนเซียน!?’
เวิงอู๋โยวตกใจยิ่งนัก
เส้นทางที่ผู้ฝึกตนเดินขึ้นไปบนภูเขาเซียนนั่น…ไม่ใช่ที่ตั้งของสำนักไท่หัวหรอกหรือ?
สำนักไท่หัวของพวกเขาตั้งอยู่บนภูเขาไท่หัว!
เป็นการยากที่จะถามผู้เป็นเซียนทีละย่างก้าวของการฝึกตน
ไม่ยากเลยหรือ!
เป็นเวลากว่าสามพันปีแล้วที่สำนักไท่หัวก่อตั้งขึ้น แต่พวกเขาไม่เคยตระหนักถึงวิธีที่ลึกซึ้งกว่าของ ‘ไท่หัว’ เลยแม้แต่น้อย
ภูเขาแยกฟ้าและดิน ท้องฟ้าคือแดนแห่งเซียน!
ท้องฟ้าเป็นเซียน และโลกเป็นของคนธรรมดา
แสงของ ‘ไท่หัว’ คือแสงของเซียนเต๋า พวกเขาไม่สามารถค้นพบความลึกลับของแสงสว่างของ ‘ไท่หัว’ และไม่สามารถค้นพบความลับของเซียนเต๋าได้
ต่อหน้าผู้เป็นเซียน ผู้อื่นไม่ใช่ว่าเป็นเพียงมนุษย์หรอกหรือ!
‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้ก่อตั้งสำนักไท่หัวได้พบกับแสงสว่างของ ‘ไท่หัว’ ในช่วงเวลาสั้น ๆ กลับได้รับอะไรมากมายยิ่ง เขาสร้างวิถี ‘ไท่หัว’ และก่อตั้งสำนักไท่หัว! สรุปว่าแสง ‘ไท่หัว’ คือแสงของเซียนเต๋านี่เอง!’
ลวี่เหลียงไม่เข้าใจความรู้สึกในใจของเขา เพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าแสงสว่างของ ‘ไท่หัว’ จะมีรากฐานอันใหญ่โตเช่นนี้!
นี่คือเหตุผลที่หลี่จิ่วเต้าไม่รู้ว่าเวิงอู๋โยวและลวี่เหลียงกำลังคิดอะไรอยู่
หากเขารู้ หลี่จิ่วเต้าต้องตบทั้งคู่เป็นแน่
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาแค่ถอนหายใจว่าเขาไม่สามารถฝึกตนได้และเป็นได้เพียงมนุษย์ สองเฒ่านี้กลับคิดไปไกลถึงเพียงนั้น?
แสงแห่งเซียนเต๋า?
สองผู้เฒ่าคิดมากเกินไปแล้ว!
เซี่ยเหยียนยังคงสับสน แม้นางจะไม่เข้าใจว่าหลี่จิ่วเต้าเอ่ยอะไร แต่ก็รู้สึกได้ว่าหลี่จิ่วเต้านั้นทรงพลังยิ่งนัก!
ภาพตรงหน้าเป็นถึงภูเขาเซียน สามารถแยกฟ้าดินได้ แล้วจะไม่ให้น่าทึ่งได้อย่างไร!
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยข้าวาดภาพ วันนี้ข้ารบกวนผู้อาวุโสมากเกินไปแล้ว เช่นนั้น ข้าไม่ขอรบกวนผู้อาวุโสอีกต่อไป ขอลาท่าน”
เวิงอู๋โยวบอกลาหลี่จิ่วเต้าด้วยรอยยิ้ม และลากลวี่เหลียงออกจากร้านไปด้วย
เซี่ยเหยียนบอกลาหลี่จิ่วเต้าคนเดียว ก่อนจะเดินตามบรรพชนสำนักไท่หัวไป
“ข้าช่วยทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว เฮ้อ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้วล่ะ หวังว่าจะเข้าร่วมสำนักไท่หัวได้สำเร็จนะ”
หลี่จิ่วเต้ามองร่างที่เดินออกห่างไปเรื่อย ๆ ของเซี่ยเหยียน แล้วพึมพำเสียงเบา