บทที่ 10 เซียนที่แท้จริง
เซี่ยเหยียนตะลึงงันไปทันทีหลังจากที่ได้ยินบรรพชนเอ่ยเช่นนี้ ทว่านางก็รู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ!
“จิตใจผู้อาวุโสสูงส่งยิ่งนัก ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ซ้ำยังไม่ทิ้งไว้แม้แต่ชื่อ จิตใจเช่นนี้นับว่าน่าชื่นชมโดยแท้!”
เซี่ยเหยียนกล่าวด้วยความชื่นชม
“ไปกัน พาข้าไปเยี่ยมผู้อาวุโสท่านนี้ที!”
บรรพชนเฒ่าแทบรอไม่ไหว อยากเห็นผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ผู้นี้จะแย่แล้ว
นี่เพราะเวลาของเขาใกล้เข้ามาแล้ว และเหลือเวลาอีกไม่มากที่จะมีชีวิตอยู่
หากได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ ไม่แน่ว่าเขาอาจทะลวงขั้นบรรลุขอบเขต ทำลายขีดจำกัด และเพิ่มพลังชีวิตก็เป็นได้
เซี่ยเหยียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไม่เห็นด้วย
“ตะวันลับฟ้าไปนาน ข้าเกรงว่าผู้อาวุโสคงหลับไปแล้ว เราจะรบกวนผู้อาวุโสในเวลานี้จริง ๆ หรือ จากที่ข้าเคยคุย ผู้อาวุโสดูอยากใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป…”
เสียงของนางดูลังเล
“เจ้าพูดถูก! เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าเราค่อยไปกัน!”
บรรพชนพยักหน้ารับทันทีและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสช่วยเราโดยไม่หวังผลตอบแทน และไม่อยากให้เรารู้ แต่เราจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ เซี่ยวเทียน เจ้าไปนำน้ำอมฤตไท่อีของสำนักเรามา พรุ่งนี้ข้าจะไปพบท่านอาวุโส”
“แม้ว่าผู้อาวุโสอาจจะดูถูกน้ำอมฤตไท่อี แต่นี่คือความตั้งใจของเราในท้ายที่สุด”
เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน
“ให้ข้านำน้ำอมฤตไท่อีออกมาจริง ๆ หรือ”
สีหน้าของจ้าวสำนักเปลี่ยนไปทันที น้ำอมฤตไท่อีถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของภูเขาไท่หัว นอกจากนี้แล้ว ผู้ก่อตั้งของพวกเขายังได้มันมา ตอนหลบหนีออกจากโบราณสถานที่ปรักหักพัง
พูดออกไปเช่นนั้น แต่เขาก็รีบทำตามคำบอกของบรรพชนอย่างรวดเร็ว
น้ำอมฤตไท่อีจะพิเศษเพียงใดกัน
หากสามารถรู้จักกับผู้อาวุโสที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ เหตุใดจึงจะไม่ส่งน้ำอมฤตไท่อีไปเล่า!
เทียบกับผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ผู้นั้น แม้แต่น้ำอมฤตไท่อียังไม่มีสำคัญเท่าเลยจริง ๆ…
“ข้าจะรีบไปเอาน้ำอมฤตไท่อีมา!”
เจ้าสำนักรุดไปที่คลังสมบัติทันที
ค่ำคืนผ่านไปและอรุณรุ่งมาเยือน เมื่อลวี่เหลียงตื่นขึ้น เขาก็ผุดลุกจากเตียงโดยพลัน
“บรรลุ…บรรลุแล้ว!”
ลวี่เหลียงเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก ยามนี้พลังปราณในร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก ทั้งยังสัมผัสได้ว่าตนบรรลุขอบเขตใหม่แล้ว!
“ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ขอบเขตบรรลุง่ายถึงเพียงนี้…”
ก่อนมาที่นี่ ลวี่เหลียงอยู่เพียงขอบเขตสุญญตาระดับหกเท่านั้น ทว่าหลังจากมองภาพวาดทิวทัศน์นั้น เขาก็ได้ก้าวข้ามกำแพงที่กักขังตัวเองไว้อยู่เป็นเวลานาน และทะลวงผ่านสู่ขอบเขตนิพพานในทันที
“เพียงดื่มสุราจอกเล็ก ๆ กลับทำให้ข้าบรรลุจากขอบเขตนิพพาน ไปยังขอบเขตขอบเขตผันอนันต์ได้เสียแล้ว!”
หนึ่งขอบเขตนั้นมีอยู่เก้าระดับเล็ก
ยิ่งขอบเขตสูงขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งฝึกฝนยากขึ้นเท่านั้น
โดยเฉพาะขอบเขตผันอนันต์!
‘ข้าไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกตนกี่คนในบูรพาทิศ ที่ไม่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตผันอนันต์ได้ตลอดชีวิต!’
‘และก็ไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหนแล้วที่ทั่วทั้งบูรพาทิศ ปราศจากขุมพลังที่อยู่ขอบเขตผันอนันต์!’
เพราะสำหรับลวี่เหลียงนั้น เขาแค่ดื่มสุราจอกเล็ก ๆ ก็สามารถทะลวงผ่านขอบเขตนิพพานทั้งเก้าระดับ และเข้าสู่ขอบเขตผันอนันต์ได้แล้ว นี่มันยากจะเชื่อได้ยิ่ง เขายังรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันไปอยู่เสียด้วยซ้ำ!
“โอ๊ยเจ็บ! นี่ไม่ใช่ความฝันจริง ๆ ด้วย!”
ชายชราหยิกตัวเองจนเนื้อบิด เขากัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง
เขาไม่ได้ฝันเฟื่องไปเอง!
“ท่านผู้เฒ่าตื่นแล้วหรือ ข้าทำอาหารเช้ามาให้แล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงของหลี่จิ่วเต้าดังมาจากนอกประตู ร่างของลวี่เหลียงพลันสั่นเทาทันที เขารีบตอบกลับว่า “ตื่นแล้ว ๆ!”
จากนั้นก็ยิ้มให้ตนเอง พลางพึมพำว่า “มีผู้อาวุโสคอยดูแลเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะบรรลุได้!”
ชายชราจัดแจงเสื้อผ้า ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
บนโต๊ะนั้นมีตะเกียบไว้วางอยู่ ซ้ำยังมีเครื่องเคียงหลากหลายจาน กระทั่งข้าวต้มก็พูนเต็มชาม
“ท่านผู้เฒ่า ภายภาคหน้าก็อย่าได้ดื่มสุราอีกเล่า ข้าเตือนก็เพราะเห็นท่านดื่มไม่ได้หรอกนะ”
หลี่จิ่วเต้ายิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะเทสุราลงจอกเล็ก ปริมาณแอลกอฮอล์ครานี้ช่างน้อยนิด
ใบหน้าของลวี่เหลียงแดงก่ำ เขาอยากจะบอกเหลือเกินว่า ตนจะเทียบกับผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ‘นั่นคือสุราที่ท่านบ่ม มันเปรียบได้กับการหมักโดยผู้เป็นเซียน ไม่เช่นนั้นเขาจะเทลงในจอกเล็ก ๆ นี่ไปทำไม!’
“ผู้อาวุโสอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
ทันใดนั้นพลันมีเสียงเคาะประตูมาจากนอกร้าน
“ท่านนั่งเถิด ข้าจะไปเปิดประตูให้เอง”
ลวี่เหลียงรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเหยาะ ๆ ไปเปิดประตู
‘ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านผู้เฒ่าถึงกล้าเข้าไปในหุบเขา ร่างกายของเขาแข็งแรงดีจริง ๆ’
หลี่จิ่วเต้ามองไปยังท่าทางอันแข็งแรงของลวี่เหลียง ในใจเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย
ศีรษะของลวี่เหลียงนั้นขาวโพลนไปทั้งหัว เห็นได้ชัดว่าอายุของชายชราก้าวเข้าสู่ปีที่หกสิบแล้ว แต่ทั้งที่เมื่อวานเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสมา เวลานี้เขายังคงแข็งแรงมากอยู่ดี ซ้ำไม่ด้อยไปกว่าชายหนุ่มด้วย นี่ช่างไม่ง่ายเลยจริง ๆ
‘เอ๊ะ แล้วทำไมข้าต้องใช้ตรรกะเหมือนตอนอยู่ที่ดาวเคราะห์สีฟ้าด้วยล่ะ นี่มันเป็นโลกผู้ฝึกตนแล้วนะ คนเฒ่าคนแก่ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรกันทั้งนั้น’
หลี่จิ่วเต้าลูบหัวตัวเองแล้วพึมพำด้วยรอยยิ้ม “แต่คนแก่ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งขนาดนั้นเสียหน่อย ไม่อย่างนั้น แค่เสือตัวหนึ่งจะทำร้ายเขาได้อย่างไร?”
ลวี่เหลียงรีบวิ่งไปเปิดประตู แต่เมื่อเขาเห็นผู้มาเยือน ร่างทั้งร่างก็ชะงักไปในทันที
“เสี่ยวเหลียง?”
ผู้ที่อยู่นอกประตูนั้น เมื่อเห็นลวี่เหลียงก็ตกใจเช่นกัน เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอลวี่เหลียงที่นี่
“ผู้อาวุโสอู๋โยว!”
ลวี่เหลียงรีบโค้งคำนับให้แก่ผู้ที่อยู่นอกประตู
ผู้มาใหม่นับว่าตัวตนสูงส่งกว่าเขามาก
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่ แล้วผู้อาวุโสล่ะ”
คนที่อยู่นอกประตูเอ่ยถาม
“ผู้อาวุโสอยู่ข้างในขอรับ!”
ลวี่เหลียงเผยรอยยิ้มขมขื่นพลางกล่าวว่า “เหตุที่ข้ามาอยู่ที่นี่นั้น เรื่องมันค่อนข้างยาวนัก…”
จากนั้นเขาก็เล่าว่าเหตุใดตนจึงมาอยู่ที่นี่ได้
“กลายเป็นว่าเจ้าเป็นผู้นำภัยพิบัติมาสู่สำนักไท่หัวเรา!”
เมื่อผู้ที่อยู่นอกประตูได้ยินสิ่งที่ลวี่เหลียงเล่า เขาก็พ่นลมหายใจออกมาและจ้อง ‘ต้นเหตุ’ ตาเขม็งทันที
คนผู้นี้หาใช่ใครอื่น นอกจากบรรพชนของสำนักไท่หัว เวิงอู๋โยว!
ส่วนเซี่ยเหยียนเป็นคนเคาะประตู!
“ภัยพิบัติครั้งใหญ่? เอ๊ะ? ภัยพิบัติครั้งใหญ่มาจากหนใด? พยัคฆ์ตัวนั้นถูกผู้อาวุโสยิงตายไปแล้วนี่!”
ลวี่เหลียงตกตะลึงในทันที
“มันยังไม่ตาย!”
เวิงอู๋โยวจ้องไปยังลวี่เหลียงด้วยความโกรธและเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ในท้ายที่สุด หากไม่ใช่เพราะจี้หยกวิหคสวรรค์ที่แกะสลักโดยผู้อาวุโส สำนักไท่หัวคงต้องถูกราชาพยัคฆ์ทำลายไปแล้ว!
“ว่าอย่างไรนะ!”
ใบหน้าของลวี่เหลียงกลายเป็นซีดเผือดทันทีที่ได้ฟัง
เขารู้ดีว่าพยัคฆ์ตนนั้นน่ากลัวและทรงพลังเพียงใด
หากไม่ใช่รู้ว่าราชาพยัคฆ์คือพ่อของมัน และดันเข้าใจว่าราชาพยัคฆ์สิ้นไปแล้ว เขาคงไม่กล้ายั่วโมโหสัตว์ร้ายตัวนั้นหรอก แม้ว่าเขาจะถูกฆ่าตายก็ตาม
ราชาพยัคฆ์ไม่เพียงแค่ยังไม่สิ้นลม แต่ยังก้าวข้ามขอบเขตได้อีกด้วย!
“ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่นับว่าน่าทึ่งโดยแท้ เขามองเห็นทั้งหมดล่วงหน้า ข้าอยากจะคารวะเขาเสียจริง!”
เขาเอ่ยอย่างอดไม่อยู่
ผู้อาวุโสมอบจี้หยกให้กับเซี่ยเหยียนก่อนหน้า จากนั้นพยัคฆ์ร้ายก็ถูกฆ่าตาย ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่จัดการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว ช่างเป็นอะไรที่น่าทึ่งยิ่งนัก!
เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ อย่างไรแล้ว ผู้อาวุโสก็ทรงพลังถึงเพียงนั้น มันไม่ยากเลยที่จะจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้ล่วงหน้า
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่ผู้อาวุโสไม่ยอมให้ข้าออกไปซื้อผัก เพราะจริง ๆ แล้วเขาจงใจให้ข้าอยู่ดูภาพวาด และมอบสุราเซียนแก่ข้าเพื่อช่วยบรรลุขอบเขต!?”
ลวี่เหลียงพลันตระหนักว่า แม้ภาพวาดนั้นจะทำให้ตนก้าวข้ามระดับเล็กและบรรลุสู่ขอบเขตนิพพานได้ ทว่ามันก็ยังไม่เสถียรนัก
สัมผัสแห่งเต๋าของสวรรค์และโลกในภาพวาดนั้นสูงส่งและเหนือธรรมชาติเกินไป แม้ว่าลวี่เหลียงจะทะลวงขั้นได้ แต่เขาไม่อาจตระหนักอะไรได้เลย ออกจะเป็นการบังคับให้เลื่อนระดับ และทำให้ขอบเขตเกิดความไม่มั่นคงเสียมากกว่า
‘ผู้อาวุโสน่าจะเห็นข้าเป็นเช่นนี้ จึงหยิบสุราเซียนขึ้นมาระหว่างมื้อและเอ่ยให้ข้าลองจิบสักเล็กน้อย’
ด้วยเหตุนี้ เมื่อลวี่เหลียงตื่นขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะรู้สึกสบายและกระฉับกระเฉงเท่านั้น ทว่าขอบเขตของเขายังรวมกันเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์อีกด้วย ไร้ซึ่งความมั่นคงในตอนนั้น และแข็งแกร่งดั่งหินผาในตอนนี้!
“ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่เป็นเซียนจริง ๆ ด้วย!”
ชายชราสะท้อนอกสะท้อนใจ ทุกย่างก้าวของผู้อาวุโสช่างไม่ธรรมดาเสียจริง ล้วนแล้วแต่มีความหมายลึกซึ้งทั้งนั้น!