บทที่ 12 ‘อี๋อิน’ กู่ฉินเซียนในตำนาน
หลี่จิ่วเต้ามองออกไปยังลานบ้าน เห็นอากาศกับแสงแดดกำลังพอดี จึงหันไปกล่าวกับทุกคนว่า ตนจะเล่นกู่ฉินด้านนอก
“ข้าจะช่วยท่านย้ายกู่ฉินเอง!”
ลวี่เหลียงขันอาสาและเดินเข้าไปในร้าน โต๊ะกู่ฉินนั้นวางอยู่ที่หลังร้าน
เขาไม่ได้คิดอะไรมาก ยกกู่ฉินกับโต๊ะขึ้นจากพื้นทันที
ทว่าเพียงชั่วพริบตา สีหน้าของลวี่เหลียงก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แสงแปลกประหลาดสะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขา
โต๊ะกู่ฉินดูเหมือนเชื่อมต่อกับพื้น เพราะไม่ว่าจะออกแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้ ซ้ำแล้ว มันยังหนักมากเสียจนเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของเขา
‘เหตุใดข้าจึงโง่งมเช่นนี้ กู่ฉินที่ผู้อาวุโสทรงพลังเล่นจะเป็นกู่ฉินธรรมดาได้อย่างไร!’
ชายชราบ่นกับตัวเองในใจ
ธนูคันใหญ่ที่ผู้อาวุโสทรงพลังใช้ก็เป็นธนูในตำนานซึ่งถูกเรียกว่า ธนูซวนหยวน ขณะที่เครื่องครัวที่ผู้อาวุโสใช้ในการปรุงอาหารล้วนถูกทำมาจากทองจักรพรรดิ
แม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดเกี่ยวกับมัน แต่ก็ควรจะตระหนักได้ว่ากู่ฉินที่ผู้อาวุโสใช้บรรเลงหาใช่กู่ฉินธรรมดาไม่!
แล้วตอนนี้เขายังจะพยายามสัมผัสกับเครื่องดนตรีอันเหนือธรรมชาติเช่นนี้อีก สมองของเขาคงโง่งมไปแล้วที่คิดเรื่องเช่นนี้ไม่ได้!
ชายชราล่าถอยไปด้วยความอับอายและกล่าวกับหลี่จิ่วเต้าว่า “กู่ฉินที่ท่านเล่นไม่ใช่กู่ฉินธรรมดา เพียงมองคราแรกนั้น ข้าก็ไม่กล้าแตะต้องมันเนื่องจากกลัวว่าจะสร้างความเสียหายกับกู่ฉินของท่าน! ท่านย้ายกู่ฉินเองเถิด ประเดี๋ยวข้าจะช่วยท่านยกโต๊ะเอง!”
‘กลัวว่าตัวเองจะทำกู่ฉินของท่านพัง?’
‘รู้ตัวดีนี่!’
ข้าง ๆ เขา เวิงอู๋โยวหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ
ครุ่นคิดมาสักพักแล้วว่าลวี่เหลียงจะต้องล่าถอยกลับมาแน่ กู่ฉินที่ผู้อาวุโสเล่นจะเป็นกู่ฉินธรรมดาได้อย่างไร? ทว่าลวี่เหลียงยังคงอาสา เรียกว่ากรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมตามสนองตนโดยแท้!
บรรพชนสำนักไท่หัวมีความสุขยิ่งที่ได้เห็นลวี่เหลียงมีสีหน้าอมทุกข์ สมน้ำหน้าแล้ว ผู้ใดปล่อยให้ลวี่เหลียงกล้าแย่งข้าวต้มของเขาไปเล่า
หลี่จิ่วเต้าพูดไม่ออกจริง ๆ และคิดว่าลวี่เหลียงระวังตัวเกินไป เป็นไปได้หรือไม่ว่าลวี่เหลียงกลัวจะต้องชดใช้จริง ๆ?
แม้ว่าเขาจะขอให้ลวี่เหลียงจ่าย แต่ผู้ฝึกตนอย่างลวี่เหลียงจะจ่ายไม่ได้จริง ๆ หรือ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อลวี่เหลียงพูดเช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่สามารถเอ่ยอะไรได้อีก
“ข้าทำให้ท่านผู้เฒ่าลำบากใจแล้ว”
จากนั้นชายหนุ่มก็เดินไปที่ร้าน ยกกู่ฉินไปที่ลานเล็ก ๆ ขณะที่ลวี่เหลียงเดินยกโต๊ะตามมา
เซี่ยเหยียนขยับเก้าอี้สองสามตัว รอหลี่จิ่วเต้านั่งลงก่อน แล้วพวกเขาจึงนั่งลงตาม
เมื่อหลี่จิ่วเต้าวางกู่ฉินลงบนโต๊ะ เวิงอู๋โยว ลวี่เหลียง และเซี่ยเหยียนต่างก็จ้องมองกู่ฉินตรงหน้าไม่วางตา
เห็นได้ชัดว่านี่คือกู่ฉินโบราณ และมีจังหวะวิถีอันเป็นเอกลักษณ์ คล้ายแสงแดดอันอบอุ่นสะท้อนลงบนเส้นสาย จนเกิดเป็นประกายแสงอันวิจิตรงดงาม
ภายนอกของกู่ฉินนั้นสวยงามและดูประณีตไม่น้อย ทว่าหลังจากที่เวิงอู๋โยวและลวี่เหลียงมองดูอย่างตั้งใจ นัยน์ตาของทั้งคู่พลันตกตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะหันมามองหน้ากัน!
‘นี่ใช่กู่ฉินในตำนาน ‘อี๋อิน’*[1] หรือไม่!?’
หัวใจของเวิงอู๋โยวสั่นไหวราวกับคลื่นนับพัน เขาจ้องมองตัวอักขระพิเศษที่สลักอยู่บนกู่ฉินด้วยความสยดสยอง!
คำอื่นนั้นคืออะไร เขาไม่อาจทราบได้
แต่ที่เขาสามารถเดาได้
นั่นคือคำว่า ‘เซียน’!
ย้อนกลับไปในช่วงยุคบรรพกาล มีเสียงเล่าอ้างว่ากู่ฉินเซียนนั้นได้ตกลงจากแดนสวรรค์ จนทำให้เหล่ามหาอำนาจโลกในเวลานั้นโกลาหลกันทันที
ปราชญ์ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ และจักรพรรดิก็โรมรันเข้าแย่งชิง ยามนั้น ทั่วทั้งโลกราวกับเกิดกลียุค มีการต่อสู้ปะทุขึ้นมากมาย!
นี่คือสงครามที่เขย่าขวัญคนทั้งโลกไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน และมันก็ถูกบันทึกไว้โดยคนรุ่นหลัง แต่ไม่มีบันทึกไว้ว่าใครเป็นผู้ได้กู่ฉินเซียนไป
เวิงอู๋โยวคุ้นเคยกับกู่ฉินนี้มาก เขามองมันอย่างระมัดระวัง กู่ฉินนี้มิใช่ว่าเป็นกู่ฉินเซียนที่บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ ‘อี๋อิน’ หรอกนะ!?
ตอนแรกเขาเพียงไม่แน่ใจเท่านั้น
ทว่าต่อมา เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเซียนจากอักขระพิเศษของกู่ฉิน!
นั่นคือลมหายใจแห่งเต๋าที่เอ่อล้นออกมา เป็นท่วงทำนองแห่งเต๋าอันคลุมเครือ!
เวิงอู๋โยวมั่นใจในทันทีว่า นี่ต้องเป็นกู่ฉินเซียนแท้อย่างแน่นอน หาใช่ของเลียนแบบไม่!
คิดเลียนแบบท่วงทำนองแห่งเต๋าน่ะหรือ?
แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่เลียนแบบไม่ได้!
มันคือเสน่ห์เฉพาะของเซียน และเป็นเป้าหมายของผู้ฝึกตนทุกคนด้วย!
ขอบเขตจักรพรรดิถือเป็นจุดสูงสุดของโลก มันคือขีดจำกัดของโลก แต่ไม่สามารถคงอยู่ชั่วนิรันดร์ได้ เพราะมันยังคงถูกจำกัดด้วยเวลา!
มีเพียงต้องก้าวข้าม ทะลวงขั้น ทำลายขีดจำกัด และบรรลุขอบเขตเพื่อเป็นเซียนเท่านั้น จึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ได้!
‘ข้ายังกล้าย้าย…กู่ฉินนี้อีกหรือ!?’
ลวี่เหลียงยิ้มขมขื่นในใจ เขาช่างบ้าเสียจริง ซ้ำยังมั่นใจในตนเองมากเกินไป โชคดีแล้วที่ไม่ถูกกู่ฉินเซียนสังหารทิ้งตรงนั้น!
เขายังจำต้นกำเนิดของกู่ฉินได้ มันเหมือนกับที่บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า ‘เซียน’ บนกู่ฉิน นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่มาของกู่ฉินอย่างไม่ต้องสงสัย!
เวิงอู๋โยวมาที่นี่เพราะฝีมือการบรรเลงกู่ฉินของเขา ขณะที่เซี่ยเหยียนต้องการประจบประแจงเวิงอู๋โยว และพึ่งพาเวิงอู๋โยวเพื่อเข้าสู่สำนักไท่หัว
หลี่จิ่วเต้ารู้สึกว่าเขาต้องแสดงให้ดี เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียหน้า และถือเป็นการช่วยเซี่ยเหยียนในอีกทางหนึ่ง
แต่เพราะเขากำลังคิดบทเพลงที่จะเล่น จึงไม่ได้สังเกตสีหน้าของเวิงอู๋โยวและลวี่เหลียง ไม่เช่นนั้นเขาจะสงสัยอย่างแน่นอนว่า เหตุใดผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่สองคนนี้จึงเพิกเฉยเรื่องที่ว่าเขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง
“ในยามนี้คือฤดูใบไม้ผลิ ยามฤดูหนาวบอกลาและฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ผืนดินกำลังฟื้นคืน และทุกอย่างกำลังเจริญรุ่งเรือง เช่นนั้นข้าจะเล่นเพลง ‘หิมะขาวในวสันตฤดู’ ก็แล้วกัน”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของหลี่จิ่วเต้าทันที เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะเล่นเพลงอะไร
‘หิมะขาวในวสันตฤดู’ ไม่เพียงมีความหมายที่ดี แต่ยังไพเราะและเหมาะกับการบรรเลงในเวลานี้มาก
เขาเหยียดนิ้วเรียวลูบไล้ไปตามสายกู่ฉินดุจคลื่นเมฆาเมฆาและสายน้ำไหล ขณะเดียวกันก็ราวกับเซียนประทับที่บรรเลงกู่ฉิน ดูจับต้องมิได้และศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
เมื่อเสียงกังวานใสและไพเราะจับใจดังออกมาก็ส่งผลให้เวิงอู๋โยว เซี่ยเหยียน และลวี่เหลียงรู้สึกทึ่งกับเสียงของกู่ฉินในทันที พวกเขาตกลงไปในภวังค์ราวกับได้เห็นการฟื้นตัวของแผ่นดินและความเจริญรุ่งเรืองของทุกสิ่ง
‘ผู้อาวุโส นี่เป็นบทเพลงที่ท่านบรรเลงเพื่อข้าอย่างนั้นหรือ!?’
เวิงอู๋โยวตกตะลึง ขณะที่หัวใจก็สั่นสะท้านไปพร้อม ๆ กัน
อย่างไรก็รู้ดีว่าเวลานั้นของตนเองใกล้เข้ามาแล้ว มากที่ก็อยู่ได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น
ทว่ายามนี้ เขากลับสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันยิ่งใหญ่แห่งชีวิตจากทำนองกู่ฉิน นะ..นี่ผู้อาวุโสผู้กำลังช่วยเหลือเขาอย่างเห็นได้ชัด!
นอกจากนี้ เวิงอู๋โยวยังคิดว่าที่ผู้อาวุโสเชิญเขาร่วมโต๊ะด้วยก็เพราะเมื่อทานข้าวต้มลงไป ข้าวต้มจะทำให้พลังชีวิตแข็งแกร่งซึ่งช่วยเพิ่มอายุขัยของเขาเป็นอย่างมาก!
ผู้อาวุโสคงเห็นแล้วว่า ความตายใกล้มาเยือนเขาแล้ว…
‘ผู้อาวุโส!’
ดวงตาของเวิงอู๋โยวเปียกปอนไปด้วยน้ำตา ไม่คาดคิดว่าจะได้รับการดูแลและช่วยเหลือจากผู้อาวุโสถึงเพียงนี้
‘ความกรุณาของผู้อาวุโส ข้าจะจดจำไว้ในใจเสมอ!’
เขาสัตย์สาบานอย่างหนักแน่นในใจ
‘จะต้องไม่ให้สิ่งที่ผู้อาวุโสทำสูญเปล่า!’
เขารีบสงบสติอารมณ์ ก่อนจะค่อย ๆ เริ่มทำความเข้าใจกับคุณธรรมของท่วงทำนองกู่ฉิน
ในทางกลับกัน หลี่จิ่วเต้ารวมเข้ากับกู่ฉินอย่างสมบูรณ์แบบ มืองดงามนั้นยังคงบรรเลงกู่ฉินโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด
กู่ฉินนี้เขาได้เป็นรางวัลจากระบบเช่นกัน หลังจากที่ทักษะกู่ฉินของเขาไปถึง ‘ขั้นเทวะ’ แล้ว
ทุกครั้งเมื่อหลี่จิ่วเต้าบรรเลงกู่ฉิน เขาจะจมสู่ห้วงลึกของอารมณ์แล้วผสานเข้ากับทำนองของกู่ฉินอย่างเป็นธรรมชาติ
เซี่ยเหยียนและลวี่เหลียงต่างก็ประทับใจเช่นกัน พวกเขาไม่กล้าลังเลที่จะเริ่มทำความเข้าใจทำนองกู่ฉิน ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่เวิงอู๋โยวสงบจิตสงบใจลงได้
สำหรับพวกเขา นี่ถือเป็นโอกาสอันดีงามและพวกเขาก็หวงแหนมันเป็นอย่างมาก จนไม่กล้าที่จะชักช้าเลยแม้แต่น้อย
ขอบเขตของเซี่ยเหยียนนั้นต่ำที่สุด และสิ่งที่นางเข้าใจได้ก็มีจำกัดยิ่ง ในไม่ช้า นางก็ออกจากการฝึกตน
ที่นางมิอาจฝึกต่อได้ เป็นเพราะมรรคาแห่งทำนองกู่ฉินนั้นล้ำลึกเกินกว่าที่นางจะเข้าใจได้!
หากนางยืนกรานจะเข้าใจต่อไป ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเข้าใจอะไรได้ แต่นางยังจะทำร้ายตัวเองด้วย!