รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 13 เสียงที่ดึงดูดเทพเซียนให้มาฟัง

บทที่ 13 เสียงที่ดึงดูดเทพเซียนให้มาฟัง

บทที่ 13 เสียงที่ดึงดูดเทพเซียนให้มาฟัง

แม้ว่าเซี่ยเหยียนจะฝึกฝนและทำความเข้าใจจนเสร็จในเวลาไม่นาน แต่นางก็ยังได้รับคุณประโยชน์มากมายจากมัน กระทั่งระดับยังเพิ่มขึ้นถึงห้าระดับเลยทีเดียว!

ขณะที่ลวี่เหลียงนั้น แม้จะฟังต่อไปเรื่อย ๆ มันก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเข้าใจมรรคาแห่งทำนองกู่ฉินได้ แต่เพราะฝึกมรรคาแห่งฟ้าดินมา ทำให้เมื่อฟัง ‘หิมะขาวในวสันตฤดู’ ที่ผู้อาวุโสเป็นผู้บรรเลง เขาจึงยังพอเข้าใจในบางอย่างที่เกี่ยวกับมรรคาแห่งฟ้าดินอยู่บ้าง และนี่จึงทำให้เขาสามารถฝึกฝนต่อไปได้

อันที่จริงแล้ว เวิงอู๋โยวนั้นนับว่าเก่งที่สุดในที่นี้

เขาอยู่มานาน จึงเคยพบเห็นมรรคาที่สอดคล้องกับทำนองกู่ฉินนี้ไม่น้อย ขณะเดียวกันก็อยู่ใกล้กับ ‘ความตาย’ ซึ่งค่อนข้างเข้ากับอารมณ์ของทำนอง ‘หิมะขาวในวสันตฤดู’ อยู่พอสมควร

เวิงอู๋โยวจึงสามารถทำความเข้าใจได้มากที่สุด กระทั่งทำได้ไวและอดทนได้นานที่สุด

ต่อให้ลวี่เหลียงถูกบังคับให้หยุดและไม่อาจเข้าใจได้อีกต่อไป แต่เขายังสามารถเข้าใจได้อีก!

ทว่าพอมาถึงท่อนกลางของทำนองกู่ฉิน เขาก็ทำไม่ได้อีกต่อไป

‘แค่นี้ข้าก็สามารถอยู่ไปได้อีกเป็นพันปีแล้ว!’

ในใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ภายใต้ ‘วิถีเต๋าแห่งกู่ฉิน’ นี้ เขาบรรลุจากขอบเขตนิพพานไปยังขอบเขตผันอนันต์ได้แล้ว มิหนำซ้ำ อายุขัยของเขายังถูกยืดออกไปอีกเป็นพันปี!

นี่เป็นเรื่องที่น่าดีใจยิ่ง!

ความจริงแล้วมันเป็นขอบเขตที่ไร้ซึ่งความหวังในการก้าวข้ามได้ ทว่าตอนนี้เขาสามารถก้าวข้ามมันไปได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไร?

ราวกับว่าได้เกิดใหม่ก็มิปาน!

ทว่าทันทีหลังจากนั้น ใบหน้าดีใจก็แข็งค้างไปในบัดดล กลายเป็นสีหน้าหวาดกลัวสุดขีดออกมาแทน!

เขาเห็น…อะไรกัน!?

เงาร่างขนาดใหญ่ซึ่งปล่อยกลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์ออกมา ต่างเริ่มทยอยปรากฏตัวทั้งในลานและนอกลาน กระทั่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าก็ยังมี เหมือนกับว่าตั้งใจมาที่แห่งนี้เพื่อฟังท่วงทำนองที่บรรเลงโดยผู้อาวุโส

‘นั่นใช่เทพเซียนบนสวรรค์หรือไม่!?’

เวิงอู๋โยวตกตะลึงอึ้งค้างไปในทันที

เงาขนาดใหญ่ซึ่งปลดปล่อยกลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์ออกมาตรงหน้าของพวกเขานั้น ช่างละม้ายคล้ายกับเทพเซียนจากสวรรค์ชั้นฟ้าไม่มีผิด!

เทพเซียนเหล่านี้ต่างถูกเสียงกู่ฉินของท่านผู้อาวุโสดึงดูดมา…นี่ท่านผู้อาวุโสทรงพลังถึงเพียงใดกันแน่!

ต้องทราบว่า เหล่าทวยเทพถือกำเนิดมาพร้อมพลังศักดิ์สิทธิ์อันน่าหวาดกลัวและน่าพรั่นพรึงยิ่ง

แต่ในขณะเดียวกัน เทพบรรพกาลนั้นถือว่าน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า พวกเขาควบคุมวิถีแห่งเต๋ามากมาย เช่นวายุ ฝนฟ้า อัสนี และพลังงานอื่นของสวรรค์และโลก ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็สามารถทำลาย ‘สวรรค์และโลก’ ที่ว่านี้ได้ด้วยเพียงแค่ยกมือขึ้น!

เวิงอู๋โยวมองไปยังเซี่ยเหยียนและลวี่เหลียง

เซี่ยเหยียนนั้นดูปกติ ไร้ซึ่งสีหน้าใด ๆ เผยออกมาให้เห็น

ทว่าลวี่เหลียงนั้นเป็นเหมือนเขา ซึ่งก็คือหวาดกลัวและตื่นตะลึง!

‘อย่างไรเสีย ขอบเขตของเซี่ยเหยียนก็ต่ำเกินกว่าจะเห็นเทพเซียนเหล่านี้…’

หากเซี่ยเหยียนสามารถมองเห็นได้ นางคงไม่มีวันใจเย็นและไร้อารมณ์เช่นนี้ได้หรอก เพราะตัวตนเช่นเทพเซียนนั้นน่าหวาดกลัวเกินไป!

หลี่จิ่วเต้านั้นจมจ่อมกับห้วงอารมณ์ของทำนองไปแล้ว จึงไม่ได้สังเกตเลยว่าเวิงอู๋โยว เซี่ยเหยียน และลวี่เหลียงได้ทะลวงขั้นเพราะฝีมือของเขาเป็นที่เรียบร้อย

หลังจากบรรเลงจบ หลี่จิ่วเต้าก็คลี่ยิ้มออกมา ‘หิมะขาวในวสันตฤดู’ นั้นบรรเลงออกมาดีเยี่ยมมาก เขารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

เวิงอู๋โยวเห็นชัดเจนว่าในลานแห่งนี้ เทพบรรพกาลบนท้องฟ้าโค้งคำนับให้กับหลี่จิ่วเต้า ก่อนจะหายตัวไปในพริบตา

‘ผู้อาวุโสเป็นตัวตนเช่นไรกันแน่!’

หนังหัวของเขาชาดิก ยิ่งรู้จักกับหลี่จิ่วเต้ามากเท่าใด ก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น

ด้วยกู่ฉินเซียนในมือของเขา เหล่าเทพบรรพกาลต่างตื่นตกใจกับหลี่จิ่วเต้าเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งสงสัยว่าหลี่จิ่วเต้ามาจากที่แห่งหนใดกันแน่!?

“ผู้อาวุโสเล่นได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”

เวิงอู๋โยวชื่นชมจากใจจริง

ก่อนที่เขาจะนำน้ำอมฤตไท่อีออกมาให้หลี่จิ่วเต้า

น้ำอมฤตไท่อีนั้นถูกบรรจุอยู่ขวดขนาดเล็ก ซึ่งมีขนาดไม่ต่างกับนิ้วโป้งสักเท่าไหร่

“ข้าเคลิบเคลิ้มกับทำนองกู่ฉินของท่านเหลือเกิน แต่เนื่องจากความสามารถของข้านั้นมีจำกัด จึงไม่อาจทำความเข้าใจทั้งหมดได้ ยามนี้แค่ได้ยินผู้อาวุโสบรรเลง มันก็ทำให้ข้ารู้สึกตื่นตะลึงแล้ว ทั้งยังคิดว่าตัวข้านั้นได้รับอะไรมามากมายเหลือเกิน!”

เวิงอู๋โยวยื่นน้ำอมฤตไท่อีให้ผู้อาวุโสด้วยความเคารพ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “นี่เป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโส ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะไม่รังเกียจมัน!”

น้ำอมฤตไท่อีนั้น ผู้ก่อตั้งสำนักหวงแหนและรักมันเป็นอย่างยิ่ง

อีกทั้ง ในบ่อน้ำอันเล็กจ้อยมีน้ำอมฤตไท่อีเพียงสามสิบหยดเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากปล่อยน้ำอมฤตไท่อีทั้งสามสิบหยดออกไป พวกมันสามารถเปรียบได้กับแม่น้ำและทะเลอันกว้างใหญ่!

ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดสำหรับสำนักไท่หัว!

อดีตกาลนานมาแล้ว ผู้ก่อตั้งสำนักไท่หัวได้รับหยดน้ำอมฤตไท่อีมาทั้งหมดห้าสิบหยด แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ใช้มันไปแล้วยี่สิบหยด และเขาก็นำอีกสามสิบหยดที่เหลือนั้นมาที่นี่

ผลของน้ำอมฤตไท่อีนั้นสุดยอดยิ่ง เพียงแค่หนึ่งหยดผู้บ่มเพาะก็สามารถฝึกฝนร่างจิตวิญญาณแห่งน้ำ สามารถเดินบนแม่น้ำและทะเลได้อย่างอิสระราวกับเดินบนผืนดิน

อีกทั้ง หลังจากร่างจิตวิญญาณแห่งน้ำได้พบกับน้ำ พลังของมันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น กระทั่งว่าสามารถเอาชนะศัตรูที่เก่งกาจกว่าตนถึงสองเท่าได้!

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่กล้าจะเสียน้ำอมฤตไท่อีไปแม้แต่หยดเดียว ขณะที่ยี่สิบหยดแรกต่างถูกมอบให้กับศิษย์ที่เก่งกาจของสำนักไท่หัว

และศิษย์ที่เก่งกาจซึ่งได้รับน้ำอมฤตไท่อีไป ต่างก็ประสบความสำเร็จในกาลต่อมา ทำให้แต่ละคนกลายเป็นขุมพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งช่วยให้สถานะและการดำรงอยู่ของสำนักไท่หัวมั่นคงยิ่งขึ้น!

แต่ไม่ว่าน้ำอมฤตไท่อีจะหายากและยอดเยี่ยมมากเพียงใด มันก็ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงต่อหน้าผู้อาวุโสที่ทรงพลังเลยแม้แต่น้อย

เวิงอู๋โยวรู้ดี แต่เขาก็ยังมอบน้ำอมฤตไท่อีให้แก่หลี่จิ่วเต้า

ผู้อาวุโสไม่เพียงช่วยเหลือสำนักไท่หัวไว้ได้ แต่ยังบรรเลง ‘หิมะขาวในวสันตฤดู’ ซึ่งช่วยให้เวิงอู๋โยวก้าวข้ามขอบเขต และช่วยให้อายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย!

แม้ว่าในแง่ของพลังผู้อาวุโสแล้ว น้ำอมฤตไท่อีจะถือว่าไร้ประโยชน์ แต่เขาจะไม่แสดงความขอบคุณเลยก็ไม่ได้!

นั่นเป็นมารยาทที่หยาบคายเกินไป!

“ข้านำมันมาทั้งสามสิบหยดเลยทีเดียว!”

ข้างกายเขา ดวงตาของลวี่เหลียงหดลงทันควัน ด้วยรับรู้ได้ทันทีว่าอะไรอยู่ในขวดเล็ก ๆ นั้น จากนั้นหัวใจของเจ้าตัวก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง

ก่อนหน้านี้ สำนักเมฆาลับฟ้าเสนอใช้วิชาลับแลกเปลี่ยนน้ำอมฤตไท่อีหนึ่งหยด แต่สำนักไท่หัวกลับไม่ยอม

ตอนนี้เวิงอู๋โยวกลับมอบให้ทั้งสามสิบหยด เขาจะไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไร?

ทักษะเทวะราชัน คือทักษะที่สามารถสยบปรมาจารย์ได้อย่างง่ายดาย และนับเป็นทักษะระดับสูงที่สุดในบูรพาทิศนี้!

แน่นอนว่าต่อให้ต้องการน้ำอมฤตไท่อีจริง เขาจะไม่แลกมันกับวิชาลับของสำนักเมฆาลับฟ้า!

เนื่องจากมันคือรากฐานของสำนัก และไม่อาจรั่วไหลหรือแลกเปลี่ยนกันเฉย ๆ ได้

ทักษะเทวะราชันที่พวกเขานำออกมานั้น ได้มาจากโบราณสถานโดยปราชญ์สำนักเมฆาลับฟ้า

‘ตาเฒ่านี้รู้ดีว่าผู้อาวุโสทรงพลังคงจะไม่ชอบน้ำอมฤตไท่อี แต่ก็ยังคงเอามันออกมา นี่คงเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสกระมัง…’

ลวี่เหลียงครุ่นคิดในใจ

เขารู้สึกว่าตัวเองไม่อาจนิ่งเฉยได้ อย่างไรแล้ว เขาก็ได้รับประโยชน์มากมายจากผู้อาวุโส

‘ข้าไม่มีสิ่งใดมอบให้ได้เลย เช่นนั้น เมื่อข้ากลับไป ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้เจ้าสำนักฟัง จากนั้นก็จะนำสมบัติในสำนักมาแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโส!’

ลวี่เหลียงตัดสินใจแล้ว

‘ขวดขนาดเล็กเท่าฝ่ามือมีน้ำเพียงหยดเดียว นี่มันคืออะไร?’

หลี่จิ่วเต้าไม่รู้จริง ๆ ว่ามันคือสิ่งใด

“นี่คืออะไรหรือ”

เขาเอ่ยถามออกไป ตามหลักการที่ว่าหากไม่เข้าใจอะไรก็ให้ถาม เช่นนั้น หลี่จิ่วเต้าจึงถามเวิงอู๋โยวด้วยความสงสัย

คำถามนี้ทำเอาเวิงอู๋โยวชะงักไปเล็กน้อย…

ผู้อาวุโสกลับ…ไม่รู้ว่าน้ำอมฤตไท่อีคืออะไรเช่นนั้นหรือ?

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท