บทที่ 34 เพื่อเป็นการขอบคุณ เจ้าจงตายซะ
“ท่านบรรพชน ทุกอย่างดูแปลก ๆ อย่างไรชอบกล!”
หลังจากเจ้าสำนักจัดแจงที่อยู่ให้หนิงเจี๋ย เขาก็ไปพบกับเวิงอู๋โยวทันที
ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปของหนิงเจี๋ย ทำให้เขามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ!
“ข้าเองก็รู้สึกแปลกเช่นกัน”
เวิงอู๋โยวขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “ส่งคนไปดูแลเขาให้ดี จำไว้ว่าอย่าได้มีปัญหา หากปล่อยให้เขารบกวนผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ พวกเราจะมีตราบาปได้!”
เจ้าสำนักไท่หัวพยักหน้า ตระหนักดีถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ และกล่าวว่า “เช่นนั้น ข้าจะอยู่ดูแลที่นี่เอง”
“ไม่ต้อง ข้าจะจัดการเอง!”
เวิงอู๋โยวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นการดีกว่าสำหรับเขาที่จะดูแลด้วยตนเอง
หากมีเขาอยู่ที่นี่ ที่นี่ก็ค่อนข้างปลอดภัย
ภายในห้อง ใบหน้าของหนิงเจี๋ยมืดมน ตั้งแต่เขาถูกนักบุญวิญญาณเข้าสิง เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจเท่านี้มาก่อน!
“บัดซบ คอยดูเถอะ!”
ดวงตาของเขาเย็นชาและอาฆาต
“ชายชราผู้นั้นระมัดระวังพอที่จะเฝ้าดูที่นี่ด้วยตัวเอง”
เสียงของวิญญาณนักบุญดังขึ้น และรู้สึกได้ว่าเวิงอู๋โยวกำลังปกป้องอยู่ข้างนอก
“ข้าควรทำอย่างไรดี ในเมื่อเขาเฝ้าอยู่ข้างนอก แล้วข้าจะสอบถามเกี่ยวกับที่อยู่ของเซี่ยเหยียนได้อย่างไร”
“ตกใจอันใดกัน! ข้าอยู่นี่แล้ว ข้าจะช่วยเจ้าหาเอง”
ลำแสงหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างของหนิงเจี๋ย และบินออกไปทางหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
กระทั่งเวิงอู๋โยวก็ไม่สังเกตเห็น
เวิงอู๋โยวขยายสัมผัสวิญญาณออกจนถึงขีดสุด และครอบคลุมทั้งห้องที่หนิงเจี๋ยพักอยู่
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นเลย
ลำแสงนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิญญาณที่วิญญาณนักบุญได้แบ่งออกมา
ท้ายที่สุดแล้ว หลิงเสิ่งก็เป็นนักบุญ แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ก็นับว่าเป็นตัวตนอันน่าทึ่งอยู่ดี เพราะเขาสามารถหลีกเลี่ยงสัมผัสวิญญาณของเวิงอู๋โยวไปได้
ใช้เวลาไม่นานนัก วิญญาณที่แยกออกไปก็กลับคืนสู่ร่างของหนิงเจี๋ย และเวิงอู๋โยวก็ไม่ได้สังเกตเห็นเช่นกัน
“เป็นอย่างไรบ้าง”
หนิงเจี๋ยรีบถาม
วิญญาณนักบุญลังเลเล็กน้อยและเอ่ย “ข้าคิดว่าเจ้าไม่ควรรู้ดีกว่า…”
“มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่!”
หนิงเจี๋ยจะยอมแพ้ได้อย่างไร
ในใจของเขา เซี่ยเหยียนยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่ง!
“อืม เซี่ยเหยียนน่าจะอยู่ในเมืองชิงซานกับพวกมนุษย์…”
วิญญาณนักบุญได้บอกข้อมูลทั้งหมดที่เขาค้นพบจากวิญญาณที่แยกออกไป
หลิงเสิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังของเขาก็มีจำกัด แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมากเกินพอที่จะจัดการกับศิษย์ของสำนักไท่หัวได้
หลังจากที่แยกวิญญาณออกไป เขาก็ควบคุมศิษย์ของสำนักไท่หัวได้อย่างง่ายดาย และหาข่าวที่เขาต้องการได้
เซี่ยเหยียนมักจะไปเมืองชิงซานเพื่อหามนุษย์ผู้หนึ่ง นี่ไม่ใช่ความลับในสำนักไท่หัว และศิษย์ของสำนักไท่หัวหลายคนก็รู้เรื่องนี้
“เซี่ยเหยียนชอบเล่นกู่ฉิน และมนุษย์คนนั้นก็เล่นกู่ฉินได้ดีมาก เซี่ยเหยียนจึงชื่นชมมนุษย์คนนั้นมาก…”
วิญญาณนักบุญเอ่ย
“ในสำนักไท่หัว เซี่ยเหยียนนั้นเก่งกาจและโดดเด่นมาก เจ้าสำนักไท่หัวกับผู้อาวุโสต่างชื่นชอบเซี่ยเหยียนยิ่ง แม้ว่าเซี่ยเหยียนมักจะไปหามนุษย์ผู้นั้น แต่เจ้าสำนักไท่หัวกับผู้อาวุโสก็ไม่เคยพูดถึงเซี่ยเหยียนในเรื่องที่ไม่ดีเลย”
วิญญาณนักบุญยังคงเอ่ยต่อไป
“คาดว่าเจ้าสำนักไท่หัวสังเกตเห็นว่า ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเซี่ยเหยียนนั้นไม่ปกติ เขาจึงโกหกว่าเซี่ยเหยียนออกไปกับผู้อาวุโสสูงสุด ทว่าจุดประสงค์ก็น่าจะเพื่อปกปิดให้เซี่ยเหยียนนั่นแหละ”
หลิงเสิ่งคาดเดา
“อ๊ากก!”
หนิงเจี๋ยดูเหมือนคนบ้า ตาของเขาแดงก่ำ และร่างทั้งร่างก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร!
ชายหนุ่มมองเซี่ยเหยียนเป็นภรรยาของตนเอง แล้วเขาจะยอมให้เซี่ยเหยียนใกล้ชิดกับชายอื่นได้อย่างไร
เขาถูก…สวมหมวกเขียว*[1]!
“ไป!”
หนิงเจี๋ยโกรธจัด เขาอยากจะปรี่ไปเมืองชิงซานเพื่อสังหารมนุษย์ที่ใกล้ชิดกับเซี่ยเหยียนเสียตอนนี้!
“หาข้อแก้ตัว อย่าปล่อยให้ชายชราข้างนอกทำร้ายเจ้าได้”
วิญญาณนักบุญสั่งและเอ่ยต่อ “เจ้าบอกพวกเขาว่าเซี่ยเหยียนเป็นภรรยาของเจ้าไปแล้ว พวกเขาย่อมต้องการปกปิดเรื่องนี้และคงจะไม่อยากให้เจ้ารู้อย่างแน่นอน เจ้าจะออกไปพร้อมกับจิตสังหารมิได้ เช่นนั้น จะทำให้ชายชราข้างนอกนั่นสงสัยเอาได้ และเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะลำบากแทน”
“เข้าใจแล้ว”
หนิงเจี๋ยหายใจเข้าลึก ๆ ระงับความโกรธในใจของเขาและทำให้ตัวเองสงบลง
ในที่สุดชายหนุ่มก็เปิดประตูและเดินออกไปอย่างใจเย็น
‘จะพักผ่อนแล้วหรือ’
ใบหน้าของเวิงอู๋โยวงงงวยยิ่งนัก แต่เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกมาและยังคงซ่อนตัวอยู่ในความมืด
หลังจากที่หนิงเจี๋ยเดินออกมา เขาก็ไปหาเจ้าสำนักไท่หัวโดยอ้างว่าจู่ ๆ ตนก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีสิ่งที่ต้องทำ หากเซี่ยเหยียนกลับมาแล้ว ให้เซี่ยเหยียนรอเขา
“ได้”
เจ้าสำนักไท่หัวพยักหน้าตอบโดยไม่สงสัยอะไรอีก
“ไปแล้วรึ?”
เวิงอู๋โยวปรากฏตัวอย่างกระสับกระส่าย รู้สึกอยู่เสมอว่าสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้น
“ไม่ได้ ข้าจะไปที่บ้านของผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่”
เขาออกจากสำนักไท่หัวและรีบไปที่เมืองชิงซานทันที
“ผู้อาวุโส อยู่หรือไม่”
เมื่อเขามาถึงเมืองชิงซานก็พบว่าร้านปิดอยู่ เขาจึงได้แต่เคาะประตูทว่าไม่กล้าเข้าไป
“ชายชราคนนี้มาเสียไวเชียว!”
ใบหน้าของหนิงเจี๋ยมืดมน เวิงอู๋โยวเร็วกว่าเขายิ่ง เพราะก่อนที่เขาจะมาถึงเมืองชิงซาน เวิงอู๋โยวก็ก้าวเข้าสู่เมืองชิงซานเสียแล้ว
“ข้าจะสังหารมนุษย์นั่นเมื่อเขาจากไป!”
ดวงตาของชายหนุ่มเย็นชายิ่ง เขายืนอยู่หน้าประตูเมืองชิงซาน แต่ไม่ได้เข้าไปในเมือง
เห็นเวิงอู๋โยวมายังเมืองชิงซานเช่นนี้
เขาไม่จำเป็นต้องสงสัยแล้ว เซี่ยเหยียนต้องอยู่กับมนุษย์คนนั้นเป็นแน่! ไม่เช่นนั้นเวิงอู๋โยวจะมาที่เมืองชิงซานนี้ได้อย่างไร
เวิงอู๋โยวต้องมาหาเซี่ยเหยียนเป็นแน่!
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ จิตสังหารของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น มนุษย์ผู้นั้นจะต้องตาย!
เวิงอู๋โยวอยู่ที่นั่น คงไม่สะดวกที่เขาจะทำสิ่งต่าง ๆ ได้ มันจะดีกว่าหากเขารอให้เวิงอู๋โยวจากไปก่อนแล้วค่อยลงมือ
ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครกล้ามายุ่งกับเขาอีกแล้ว และเขาจะทำอะไรก็ได้!
“พี่เต้าออกไปเนินเขาเขียวแล้ว!”
“ฮ่า ๆ ไปช่วยพี่เต้าย้ายเหยื่อกันเถอะ”
นายพรานหลายคนตื่นเต้นพลางเดินผ่านหนิงเจี๋ย รีบออกจากเมืองไปยังเนินเขาเขียว
“พี่เต้า?”
หนิงเจี๋ยขมวดคิ้ว คนคนนั้นชื่อหลี่จิ่วเต้า…
“พี่เต้าที่ว่าใช่หลี่จิ่วเต้าหรือไม่”
เขาถามนายพรานทั้งหลาย
“ใช่แล้ว!”
“ในเมืองชิงซานแห่งนี้มีพี่เต้าเพียงหนึ่งเท่านั้น ก็คือพี่หลี่จิ่วเต้านั่นเอง!”
นายพรานหลายคนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ดี!”
หนิงเจี๋ยเงยหน้าขึ้นและหัวเราะ สวรรค์อยู่ข้างข้า หลี่จิ่วเต้าไม่ได้อยู่ในเมืองแต่อยู่ในป่าเขา เวิงอู๋โยวนั้นมาเสียเที่ยวแล้ว
“พาข้าไปเนินเขาที่ว่าที!”
หนิงเจี๋ยพูดกับนายพราน ก่อนจะทะยานขึ้นไปในอากาศ
“ผู้ฝึกตนนี่นา…!”
นายพรานตกใจและรีบนำทางหนิงเจี๋ยไป
ในไม่ช้า หนิงเจี๋ยก็มาถึงเนินเขาเขียว
“ขอบคุณที่พาข้ามาเนินเขา”
หนิงเจี๋ยกล่าวกับนายพรานด้วยรอยยิ้มสดใส
“ไม่…ไม่เป็นไรเลย!”
นายพรานยิ้มเขินเล็กน้อย เขายังไม่เคยได้รับการขอบคุณจากผู้ฝึกตนเลย และคำขอบคุณจากหนิงเจี๋ยก็ทำให้เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“เพื่อเป็นการขอบคุณที่พาข้ามายังที่นี่ เจ้าก็…ตายซะ”
หนิงเจี๋ยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตบนายพรานด้วยฝ่ามือ โดยฉับพลัน ร่างของนายพรานระเบิดออกเป็นหมอกโลหิตในทันที กระดูกและเนื้อถูกพลังฉีกกระชากออกเป็นชิ้น ๆ
ชายหนุ่มเปิดใช้ม่านแสงปกคลุมร่าง เพื่อไม่ให้อวัยวะกับโลหิตอีกฝ่ายกระเซ็นเข้ามาใส่เสื้อผ้าตนเองได้
“หลี่จิ่วเต้าสินะ ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว!”
ลำแสงสองสายพุ่งออกมาจากดวงตาของหนิงเจี๋ย มันดูเฉียบคมและน่าพรั่นพรึง กลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันอาบไปทั่วร่าง
*[1] สวมหมวกเขียว หมายถึง ภรรยามีการคบชู้ หรือภรรยานอกใจ