รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 64 ไม่ได้บ้าไปเสียหมด แต่ยังรวมความจริงเข้ากับจินตนาการอีกต่างหาก

บทที่ 64 ไม่ได้บ้าไปเสียหมด แต่ยังรวมความจริงเข้ากับจินตนาการอีกต่างหาก

บทที่ 64 ไม่ได้บ้าไปเสียหมด แต่ยังรวมความจริงเข้ากับจินตนาการอีกต่างหาก

ชายชราเมิ่งจีไม่รู้เลยว่าที่ท่านเซียนเอ่ยหมายถึงสิ่งใด

แต่เขาจะกล้าแอบซ่อนหรือไร จึงรีบเอ่ยไปเสียทุกอย่าง “ครอบครัวข้าอยู่ที่นิกายลับสวรรค์ และข้าฝึกฝนอยู่ในนิกายลับสวรรค์มาตั้งแต่เด็กแล้ว…”

‘ยังไม่หลุดจากจินตนาการอีกหรือ’

‘เปิดปากพูดทีก็ยังเกี่ยวกับความลับสวรรค์อยู่อีก…’

หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ

“อ้อ บ้านอยู่ภาคกลางนี่เอง แล้วเหตุใดจึงมายังแดนตะวันออกเล่า”

เขาถามอีกครั้ง

“มีนิมิตทางบูรพาทิศ และสงสัยว่ามีสมบัติโบราณปรากฏขึ้นในโลก เหยียนโจวทั้งหมดตื่นตระหนก ผู้ฝึกตนและผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนเดินทางมายังบูรพาทิศ รวมถึงข้าด้วย ข้าก็รีบมายังตะวันออก”

ชายชราเมิ่งจีไม่กล้าหมกเม็ดอันใดทั้งสิ้นและตอบกลับไปตามจริง

‘นิมิตทางบูรพาทิศ’

หลี่จิ่วเต้ามองออกไป และเห็นประกายเจิดจ้าบนท้องฟ้าดูคล้ายกับเสาแสงในระยะไกล

‘ดูเหมือนผู้เฒ่าจะไม่ได้บ้าไปหมดเสียทีเดียว ยังรู้วิธีผสมผสานความจริงเข้ากับจินตนาการอีกด้วย…’

หลี่จิ่วเต้าค่อย ๆ ไตร่ตรอง

ชายชราไม่ได้บอกว่าตนบ้าไปแล้ว แต่บอกเห็นนิมิตทางบูรพาทิศ และจินตนาการภาพผู้ฝึกตนขโมยสมบัติ…

เขาถามชายชราเมิ่งจีอีกสองสามคำถาม รวมถึงชายชราเมิ่งจีมีญาติหรือไม่ ตอนนี้อยู่ที่ไหน และอื่น ๆ

“ข้ามีบุตรชายและบุตรสาว ทั้งคู่ฝึกฝนอยู่ที่ภาคกลางในตอนนี้”

ชายชราเมิ่งจีไม่กล้าซ่อนอะไรไว้ แต่ตอบทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับภาคกลาง

‘ความเพ้อฝันของชายชราต้องมีมานานแล้วแน่ ๆ…รายละเอียดทั้งหลายจึงถูกคิดไว้หมดแล้ว’

หลี่จิ่วเต้าไม่ได้ปลุกเขาตื่นขึ้นทันที เพราะกลัวจะไปกระตุ้นชายชราเข้า ซึ่งนั่นอาจทำให้อาการของชายชราแย่ลงไปอีก

อาการบ้าห้ามเร่งรีบ สิ่งแปลกปลอมมีบทบาทจำกัด ยิ่งเป็นโรคจิตเวชด้วยแล้ว หลี่จิ่วเต้าต้องค่อย ๆ รักษาผู้สูงอายุท่านนี้ไปเรื่อย ๆ

แน่นอนว่าเขาตามน้ำไปตลอดไม่ได้ เช่น ชายชราเป็นผู้ฝึกตน นั่นจะทำให้ภาพลวงตาของชายชราหนักข้อขึ้นกว่าเดิม

เขาต้องการรักษาชายชราทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าชายชราจะรับรู้ถึงความเป็นจริง

“ท่านผู้เฒ่า ผู้ฝึกตนจากทุกทิศมาที่นี่เพื่อแย่งชิงสมบัติ ซึ่งนับว่าอันตรายอย่างยิ่ง ท่านผู้เฒ่าอาจจะต้องกลับบ้านกับข้าก่อน พักผ่อนสักหน่อยแล้วมาจัดระเบียบความคิด จากนั้นจึงค่อยคิดเกี่ยวกับวิธีแย่งชิงสมบัติ”

หลี่จิ่วเต้ากล่าว

“หา!?”

ชายชราเมิ่งจีตกตะลึงมากยิ่งขึ้น ท่านเซียนไม่ได้จะจัดการเขาแต่กลับเชิญเขาเข้าบ้าน สิ่งนี้หมายความเช่นไร?

เขาไม่กล้าถามคำถามใด ๆ อีกต่อไป แต่ทำตามคำพูดของท่านเซียนทันที “อันตรายยิ่ง อันตรายมากจริง ๆ! ข้าจะต้องคิดเรื่องนี้ให้มาก ๆ!”

ตนจะกล้าถามมากกว่านี้ได้อย่างไร มันยากจะเดาว่าเซียนกำลังคิดอะไรอยู่ หากเขาขอมากเกินไป จะเป็นอย่างไรหากท่านเซียนหมดความอดทนและสังหารเขาทิ้งเสียตรงนี้?

แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรต่อหน้าท่านเซียนได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ เขาควรจะติดตามท่านเซียนไปก่อน

หลิงอินที่นั่งฟังทุกสิ่งอย่างอยู่ข้าง ๆ กลับไม่เข้าใจเรื่องราวอันใดทั้งนั้น

‘ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่จะพาปลาซิวปลาสร้อยกลับบ้านไปทำไม?’

หลี่จิ่วเต้ามองไปที่หลิงอิน คิดว่าหลิงอินต้องสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงพาชายชราบ้า ๆ บอ ๆ กลับบ้านด้วย

อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายที่จะอธิบายที่นี่

เขาไม่สามารถพูดต่อหน้าชายชราว่า ‘ข้าต้องการรักษาอาการบ้าของเขา’ ได้ จริงหรือไม่เล่า?

“เรื่องนี้…ข้าจะพูดถึงเรื่องนี้เมื่อกลับถึงบ้าน”

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยกับหลิงอิน

“เข้าใจแล้ว”

หลิงอินพยักหน้า ไม่กล้าถามมากกว่านี้

ด้วยขอบเขตอันสูงส่งเช่นนี้ การกระทำใด ๆ ย่อมมีความหมายลึกซึ้ง นางจะกล้าถามความจริงได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นก็รนหาที่ตายแล้ว!

แม้ว่าผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่จะปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี แต่นางก็ไม่กล้าถามไปเรื่อย นางยังคงรู้ที่ของตัวเองดี

อีกด้านหนึ่ง ลั่วสุ่ยมาถึงซากโบราณสถานเรียบร้อยแล้ว

อย่างที่คาดเดา ผู้ฝึกตนทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่

นางซ่อนพลังปราณของตนเอง ไม่กล้าเปิดเผยมากเกินไป

ท้ายที่สุดก็มีผู้แข็งแกร่งมากเกินไปที่นี่

แม้ว่านางจะพัฒนาเป็นพยัคฆ์ขาว อีกทั้งพลังยังมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ทว่าเมื่อเทียบกับผู้อยู่ที่นี่แล้ว นางยังคงไม่ดีเท่านัก และมันก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนางที่จะเปิดเผยตัวตนมากเกินไป

“ข้าไม่เห็นสมาชิกเผ่าอสรพิษโซ่แดงเลย…”

นางมองไปรอบ ๆ และไม่เห็นสมาชิกเผ่าอสรพิษโซ่แดงที่นี่

นี่ค่อนข้างผิดปกติ

มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในบูรพาทิศและกองกำลังเหยียนโจวทั้งหมดก็กำลังเคลื่อนไหว ทว่าเผ่าอสรพิษโซ่แดงกลับไม่มา นี่ช่างเป็นเรื่องที่แปลกนัก

“เผ่าอสรพิษโซ่แดง ตอนนี้พวกเขากำลังลำบาก สหายของราชันวิฬาร์หิมะสวรรค์ต้องการล้างแค้นแทนราชันวิฬาร์หิมะสวรรค์ จึงรวมขุมพลังเข้าโจมตีเผ่าอสรพิษโซ่แดง พวกเขาจะอยู่รอดหรือไม่นั้น มันยากจะกล่าวได้ในตอนนี้”

ลั่วสุ่ยถามผู้ฝึกตนจากภาคกลางเกี่ยวกับสถานการณ์ของเผ่าอสรพิษโซ่แดง และผู้ฝึกตนจากภาคกลางก็ตอบเช่นนี้

“ดีจริง ๆ”

ลั่วสุ่ยยิ้ม และร่างนั้นก็ถอยออกจากสถานที่นี้ กลับไปยังเมืองชิงซาน

เพราะนี่เป็นข่าวดีนางจึงมีความสุขมาก พ่อของนางไม่เป็นไรแล้ว เป็นเผ่าอสรพิษโซ่แดงเสียอีกที่กำลังย่ำแย่

ในไม่ช้านางก็กลับมายังลานเล็ก ๆ และผู้อาวุโสก็ยังไม่กลับมา

ลั่วสุ่ยกลายเป็นร่างแมวล่วงหน้า ไม่กล้าเปิดเผยร่างที่แท้จริงต่อหน้าผู้อาวุโส นับประสาอะไรกับการเผยร่างพยัคฆ์ขาวร่างใหม่ของนาง

ใช้เวลาไม่นานนัก หลี่จิ่วเต้าก็กลับมา นางร้องออกมาอย่างเป็นสุขและโผเข้าสู่อ้อมแขนของหลี่จิ่วเต้า

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม?”

หลี่จิ่วเต้ายิ้มและสัมผัสขนอันนุ่มนิ่มของเสี่ยวไป๋

“เมี้ยว!”

ลั่วสุ่ยร้องอีกครั้ง และหัวของลูกแมวก็ถูเข้ากับแขนของหลี่จิ่วเต้า

“ดีจริง ๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะดีขึ้นแล้ว”

หลี่จิ่วเต้ายิ้มออกมาอีกครั้ง เขาก็มีความสุขมากเช่นกัน

ตอนที่เขาออกไป เจ้าแมวน้อยดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เขายังเป็นห่วงแมวขาวตัวน้อยมากด้วย แต่เมื่อกลับมาเห็นมันทำท่าตื่นเต้น เขาก็รู้ว่าเจ้าแมวน้อยหายเป็นปกติแล้ว และมันก็ไม่ได้ดูผิดปกติอีก

เอาล่ะ!

ปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว!

ลั่วสุ่ยกล่าวว่าผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ก็คือผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ เขารู้ว่านางเป็นห่วงพ่อ ด้วยเหตุนี้ นางจึงไปที่ซากโบราณสถานเพื่อสอบถามข่าวคราวเกี่ยวกับพ่อของนาง และแน่นอนว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่คาดเอาไว้!

“ท่านผู้เฒ่า เข้ามาเถิด”

หลี่จิ่วเต้ามองชายชราโง่งมที่ยังยืนอยู่นอกร้าน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ชายชรากำลังจ้องมองแผ่นป้ายด้วยสายตาว่างเปล่า

พลังมโนจริงจังบังเกิดขึ้น

หลี่จิ่วเต้าคิดว่ามันน่าจะเป็นคำว่า ‘เต๋า’ บนแผ่นป้ายของเขาที่ไปแตะต้องแรงมโนของชายชราอีกครั้ง

“ผู้เฒ่าเมิ่งจี?”

เมื่อลั่วสุ่ยเห็นชายชรา นางก็จำตัวตนของเมิ่งจีได้ทันที

ผู้เฒ่าเมิ่งจีเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในภาคกลาง และทักษะการอนุมานของเขาก็ยอดเยี่ยมยิ่งนัก กองกำลังมากมายต่างไปหาผู้เฒ่าเมิ่งจีเพื่อทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ

‘เหตุใดผู้อาวุโสจึงพาผู้เฒ่าเมิ่งจีกลับมาด้วยล่ะ?’

ลั่วสุ่ยคิดกับตัวเอง

“โอ้”

ชายชราเมิ่งจีกลับมามีสติ และหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ!

คำว่า ‘เต๋า’ บนแผ่นป้ายทำให้เขารู้สึกถึงวิถีอันลึกซึ้งและไร้ขอบเขตเหลือคณา เต๋าที่เขาฝึกฝนมาหาใช่แม้แต่เศษธุลีเมื่อเผชิญหน้ากับป้ายแผ่นนี้ มันกระจ้อยร่อยยิ่งนัก…!

เมิ่งจีตกใจกลัวมาก ท่านเซียนช่างทรงพลังยิ่งนัก และแผ่นป้ายที่แขวนอยู่หน้าร้านก็เหนือจินตนาการยิ่ง!

ทว่าพอเขาเดินเข้าไปในร้านพลันยิ่งตกใจเสียยิ่งกว่าเดิม เพราะภาพวาดแต่ละแบบปรากฏวิถีแห่งเต๋าอันน่าเหลือเชื่อ ซ้ำจี้หยกแต่ละอันยังมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งซ่อนเร้นเอาไว้!

ที่สำคัญคือทั้งร้านล้วนเต็มไปด้วยสัมผัสเต๋าสูงสุด สถานที่แห่งนี้ต้องเป็นดินแดนที่ได้รับพรจากเซียนเป็นแน่ หากเขาได้ฝึกฝนที่นี่ เขาก็จะกลายเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ได้ไม่ยาก!

‘สวรรค์ ข้าได้เห็นเซียนจริง ๆ หรือนี่ ในที่สุดข้าก็ได้มาถึงดินแดนแห่งเซียน ต่อให้ตายไปก็ไม่เสียใจแล้ว!’

เมิ่งจีรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก กระทั่งรู้สึกว่าแม้ว่าท่านเซียนจะโกรธเขาและตบเขาจนตาย มันก็คุ้มค่าแล้ว!

มีผู้ใดในโลกนี้เคยเห็นเซียนบ้างเล่า

หึ ๆ…เขาได้เห็นแล้ว!

เพราะท่านเซียนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท