รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 68 บารมีผู้ยิ่งใหญ่ไม่อาจหยาม เพราะมีพลังคอยปกป้อง

บทที่ 68 บารมีผู้ยิ่งใหญ่ไม่อาจหยาม เพราะมีพลังคอยปกป้อง

บทที่ 68 บารมีผู้ยิ่งใหญ่ไม่อาจหยาม เพราะมีพลังคอยปกป้อง

ตึง! ตึง! ตึง!

เสียงตัดต้นไม้ดังห่างออกไปไม่ไกล ใบหน้าหูช่วงซีดเผือด สีหน้าหวาดผวา!

ทุกครั้งที่ขวานฟันลงไปล้วนเสมือนฟันเข้าไปกลางใจเขา เขารู้สึกถึงความหนักอึ้งเหลือแสน คนทั้งคนสติใกล้แตกเต็มที อกสั่นขวัญแขวนอย่างยิ่งยวด!

ชายชราขนลุกขนพองไปทั้งตัว เหงื่อเย็นเม็ดเท่าถั่วซึมออกจากหน้าผาก วิญญาณของเขาสั่นสะท้าน ประหนึ่งไปเยือนยมโลก เผชิญหน้ากับความตาย!

“นะ นี่ นี่มัน!”

เขาหันไปตามเสียง มองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังตัดต้นไม้ใหญ่ผ่านระยะห่างระหว่างแมกไม้

เด็กหนุ่มผู้นี้มีอายุราวสิบเจ็ดสิบแปด เรือนร่างสูงโปร่ง แต่งกายเรียบง่าย บุคลิกสง่าองอาจ แลดูไม่ธรรมดา

เขากำลังหวดขวานตัดต้นไม้ ทุกครั้งที่จามขวานนั้นไหลลื่นดั่งสายน้ำ แฝงบุคลิกผู้ฝึกฝนวิถีอย่างไม่ปรุงแต่ง!

หูช่วงตกตะลึงค้างอยู่ที่เดิม ขนทั่วร่างลุกชันไปทั้งตัว ต้องเป็นยอดฝีมือระดับใดกัน ฝีมือหวดขวานถึงเลิศเลอเหนือสรรพสิ่งเช่นนี้!

แดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน เป็นหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางและรากฐานมั่นคง สั่งสมวิชามากจนน่าทึ่ง มีกระทั่งวิชาทิพย์โบราณจากบรรพกาล

วิชาโบราณเช่นนี้อยู่ในระดับขั้นสูงส่ง ถือเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ เขาในฐานะผู้อาวุโสใหญ่แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนฝึกฝนเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์มาเช่นกัน

แต่ต่อให้เป็นเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ เมื่ออยู่เบื้องหน้าวิชาขวานของเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ดูไม่ได้ เทียบไม่ได้เลย!

พูดแบบไม่เกินจริง ความต่างชั้นนั้นเปรียบเสมือนความต่างระหว่างหิ่งห้อยกับสุริยัน ไม่อาจนำมาเทียบกันได้เลย เพราะมิได้อยู่ในระดับเดียวกัน

“นั่น…นั่นคือขวานเบิกสวรรค์หรือ!?”

เขาเห็นขวานในมือเด็กหนุ่มแล้ว ภาพขวานเล่มแรกที่บุกเบิกโลกลอยเข้ามาในหัวทันที ขวานเบิกสวรรค์!

ขวานเบิกสวรรค์ ตามตำนานเป็นอาวุธอันดับหนึ่งในสิบอาวุธจักรพรรดิซึ่งโบราณที่สุด แสนยานุภาพสยดสยอง ว่ากันว่าขวานเบิกสวรรค์ตวัดเบา ๆ เพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำลายทวีปทั้งทวีปได้ หากออกแรงจามลงไป สามารถทำลายทุกทวีปในใต้หล้านี้ได้!

“นี่คืออาวุธอันดับหนึ่งในสิบอาวุธจักรพรรดิที่โบราณและแข็งแกร่งที่สุดเชียวนะ…เกินกว่าอาวุธจักรพรรดิอื่นจะทัดเทียม!”

หูช่วงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว อย่างไรก็ทำใจเชื่อไม่ลงว่าเขาได้เห็นขวานเบิกสวรรค์!

อาวุธจักรพรรดินั้นหาตัวจับได้ยากยิ่ง นับแต่โบราณมามีเพียงไม่กี่ชิ้น สิบอาวุธจักรพรรดินับเป็นที่สุดของอาวุธจักรพรรดิ แสนยานุภาพนั้นอยู่เหนือจินตนาการ!

แท้จริงแล้ว จำกัดความด้วยคำว่าอาวุธจักรพรรดิดูจะเล็กน้อยเกินไปด้วยซ้ำ…

เพราะตามบันทึกโบราณ สิบอาวุธจักรพรรดินั้นอยู่เหนือระดับจักรพรรดิ มิใช่ระดับที่อาวุธจักรพรรดิรุ่นหลังเปรียบเทียบได้ ห่างชั้นกันไม่รู้ตั้งเท่าไหร่!

ผู้คนรู้สึกว่าสิบอาวุธจักรพรรดินั้นเทียบเทียมอาวุธเซียน เพียงแต่ไม่มีผู้ใดเคยพานพบเทพเซียนมาก่อน และไม่เคยประจักษ์เห็นอาวุธเซียน ด้วยเหตุนี้ คำเรียกอาวุธจักรพรรดิจึงยังมิเปลี่ยน

ขวานนั้นเป็นสีเขียวอมน้ำเงิน ด้ามขวานสลักลวดลายไว้มากมาย ทุกครั้งที่ขวานจามลงไป สำแดงถึงกลิ่นอายวิถีอันพิเศษบางอย่าง

นี่คือกลิ่นอายพิเศษนิรันดร กาลเวลาไม่อาจแบ่งแยก และยากจะเข้าใกล้!

หูช่วงรู้สึกถึงกลิ่นอายนิรันดรนี้ ถึงแน่ใจได้ว่าขวานนี้คือขวานเบิกสวรรค์ในตำนาน

‘มิน่าเล่า ผู้คนถึงลือกันว่าสิบอาวุธจักรพรรดิแท้จริงแล้วคืออาวุธเซียน อมตะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเซียนมิใช่หรือ!?’

หูช่วงอกสั่นขวัญผวา หวาดหวั่นใจสุดซึ้ง

เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นการดำรงอยู่ระดับไหนกัน ถึงได้ตัดต้นไม้ด้วยขวานเบิกสวรรค์!

‘นี่ข้าโชคดี…หรือโชคร้ายกันแน่’

หูช่วงไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาควรอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ของตัวเองอย่างไรดี

หากจะบอกว่าตัวเขาโชคดี ได้พบผู้ทรงพลังไม่อาจหยั่งเช่นนี้ หากจะบอกว่าตัวเขาโชคร้าย ชีวิตเขาเกือบหาไม่เพราะผู้ทรงพลังผู้นี้ตัดต้นไม้เช่นกัน…

‘ผู้ทรงพลังตัดต้นไม้ด้วยขวานเบิกสวรรค์หรือนี่…’

หูช่วงไม่รู้ว่าควรเอื้อนเอ่ยสิ่งใด

อาวุธจักรพรรดิอันดับหนึ่งในตำนาน ขวานเบิกสวรรค์ซึ่งถูกขนานนามว่ายอดขวานบุกเบิกฟ้าดินนี้ กลับถูกใช้ในการตัดต้นไม้อย่างนั้นหรือ!

ไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง น่ากลัวว่าต่อให้อัดอีกฝ่ายให้ตายเขาก็คงไม่เชื่อ!

“มนุษย์…?”

หูช่วงสัมผัสคลื่นพลังปราณจากตัวผู้ทรงพลังผู้นี้ไม่ได้เลย หากมิใช่ว่าเขาจำขวานเบิกสวรรค์ได้ และรู้สึกถึงกลิ่นอายวิถีอมตะอันแสนน่ากลัวของขวานเบิกสวรรค์ เขาแทบคิดว่านี่คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งกำลังตัดต้นไม้อยู่

‘ขวานเบิกสวรรค์น่ากลัวปานใด แค่ตวัดเบา ๆ ภูผาพสุธายังต้องทลาย ทว่านี่เขาจามลงไปตั้งหลายที ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นยังมิรู้ล้ม คิดแล้วคงเป็นความตั้งใจของผู้ทรงพลัง…’

หูช่วงครุ่นคิดอย่างจริงจัง

ปุถุชนธรรมดา ตัดต้นไม้เฉย ๆ…

เขาเกิดความคิดบางอย่างในใจ นี่ผู้ทรงพลังกำลังท่องโลกหล้าด้วยฐานะมนุษย์หรือ?

“ข้าบังอาจเหินเหนือหัวผู้ทรงพลัง! ไม่ตายนับว่าโชคดีเท่าไรแล้ว!”

ของเขตของผู้ทรงพลังนั้นสูงส่งปานใด เป็นการดำรงอยู่เหนือจินตนาการ แต่เขากลับเหินข้ามหัวผู้ทรงพลังทั้งอย่างนี้…ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง!

ลองทบทวนดี ๆ แล้ว นาวาเทวะถูกทำลาย ตัวเขาบาดเจ็บสาหัส ย่อมเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นแน่!

ถึงแม้ผู้ทรงพลังจะท่องโลกหล้าในฐานะปุถุชน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงการดำรงอยู่เหนือจินตนาการ บารมีล้นหลาม ไม่ยอมให้ผู้ใดล่วงเกิน!

จึงได้มีพลังบางอย่างคอยปกป้องความน่าเกรงขามของผู้ทรงพลังในมุมที่มองไม่เห็น เขาเคยได้ยินมาว่า ผู้ใดกล่าววาจาดูหมิ่นคนใหญ่คนโตเหนือจินตนาการเหล่านี้ ต้องถูกลงโทษกันทั้งสิ้น!

อย่างเช่นจักรพรรดิฮวงกู่ ฮวง

เขาสูญหายไปแล้วหลายหมื่นปี ทว่าเมื่อมีใครบางคนกล่าววาจาล่วงเกินจักรพรรดิฮวง ก็ถูกพลังบางอย่างลงโทษทันควัน จวบจนสิ้นใจตายจาก!

คนใหญ่คนโตเหนือจินตนาการเช่นนี้ ต่อให้กายไม่อยู่แล้ว ก็ไม่อาจหมิ่นประมาทได้แม้แต่น้อย!

เพราะมีพลังบางอย่างคอยปกป้องบารมีของคนใหญ่คนโตเหนือจินตนาการเหล่านี้อยู่!

“คนตัวเล็ก ๆ เช่นข้า ไม่ควรค่าให้พูดถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ทรงพลัง ย่อมมิใช่ผู้ทรงพลังที่ลงมือกับข้า หากผู้ทรงพลังลงมือกับข้าจริง…ข้าคงตายไปนานแล้ว!”

เขาไม่คิดว่าตนเองเป็นที่สนใจของผู้ทรงพลังแน่นอน

มือถือขวานเบิกสวรรค์เช่นนี้ ต้องเป็นคนใหญ่คนโตระดับไหนเชียว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นท่านเซียน หรืออาจน่ากลัวยิ่งกว่านั้น!

ขวานเบิกสวรรค์หาใช่อาวุธที่ถือครองได้ทุกคน กลิ่นอายวิถีเซียนอมตะในนั้นก็มิใช่สิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปจะรับได้ไหว!

แม้แต่จักรพรรดิเมื่อต้องเผชิญกับกลิ่นอายวิถีเซียนอมตะก็ไม่อาจต้านทานได้ไหว ห่างชั้นกันไกลโข มีเพียงท่านเซียน หรือการดำรงอยู่เหนือระดับเซียนเท่านั้นจึงจะปลอดภัย

เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านเซียน หรือแม้กระทั่งการดำรงอยู่ที่อาจน่ากลัวยิ่งกว่าท่านเซียน เขาด้อยกว่ามดปลวกเสียอีก…

คิดเสียเถิด ด้อยกว่ามดปลวกแล้วจะเป็นที่สนใจได้อย่างไร?

“ข้าอยู่เฉย ๆ ดีกว่า อย่าได้ไปรบกวนท่านเซียนเลย…”

เขาเอ่ยเสียงเจี๋ยมเจี้ยม ไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปรบกวนท่านเซียน กลัวจะขัดแข้งขัดขาท่านเซียนเข้า

‘ท่านเซียนปรากฏกายที่นี่ ข้าควรให้ความสำคัญกับที่นี่ได้แล้ว!’

เขาคิดในใจ

ตู้ม! เสียงต้นไม้ล้มดังมาจากฟากโน้น

หลี่จิ่วเต้าตัดต้นหนานมู่เก่าจนล้ม

“ขวานเล่มนี้ใช้ดีจริง ๆ…”

เขาคิดในใจ พึงพอใจในขวานเล่มนี้มาก

ขวานเล่มนี้เป็นรางวัลจากระบบให้เขาเช่นกัน

เขามีทักษะการโค่น และทักษะการโค่นของเขาก็ไปถึงขั้นเทวะแล้ว

ต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้ หากเป็นคนทั่ว ๆ ไปต้องใช้เวลาตัดอยู่หลายวันเป็นอย่างน้อย เขากลับตัดจนล้มได้ในเวลาไม่นาน

ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับทักษะการโค่นของเขา

เขารู้เคล็ดการตัดต้นไม้ใหญ่แบบประหยัดเวลาและแรง

หลังจากตัดต้นไม้จนล้ม หลี่จิ่วเต้าก็เลือกไม้ท่อนที่ดีที่สุดขึ้นมา เขาต้องการสร้างกู่ฉินจากไม้ท่อนนี้

“เอาล่ะ เรากลับไปซื้อใยไหมมาทำพิณฉินดีกว่า”

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยกับหลิงอินด้วยรอยยิ้ม

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท