บทที่ 67 ไม่มีกู่ฉินหรือ? ข้าจะช่วยเจ้าทำกู่ฉินเอง!
“ผู้อาวุโส ผู้น้อยเช่นข้ารู้สึกขอบคุณท่านยิ่งนัก!”
หลิงอินกับหลี่จิ่วเต้ากำลังเดินออกนอกเมือง แล้วนางก็เอ่ยขอบคุณผู้ยิ่งใหญ่ด้วยใจจริง
“ข้าว่างอยู่ อีกอย่างข้าสร้างกู่ฉินได้ มันหาใช่เรื่องใหญ่อันใดเลย”
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม เขาเดินไปเนินเขาเขียวกับหลิงอินเพื่อจะตัดไม้มาทำกู่ฉิน
ทักษะกู่ฉินของหลิงอินนั้นยอดเยี่ยมเสียจนเขานึกว่าครอบครัวของหลิงอินมีกู่ฉิน ทำให้นางได้ฝึกซ้อมที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง ทว่าหลังจากไปถึงบ้านของนาง เขาก็พบว่าที่นั่นไม่มีกู่ฉินเลย…
เท้าความว่า วันนั้นมารดาของหลิงอินเชิญเขาไปเป็นแขกจึงมีโอกาสไปยังบ้านของนาง
แม่ของหลิงอินกล่าวว่าเราสองแม่ลูกต้องพึ่งพาอาศัยกันและชีวิตก็ไม่ได้ดีเพียงนั้น แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อกู่ฉินให้หลิงอินกัน…
แม่ของหลิงอินเองก็ไม่ทราบว่าหลิงอินเรียนรู้ทักษะกู่ฉินได้อย่างไร
เขาสัมผัสได้ว่าชีวิตของหลิงอินไม่เรียบง่ายเลย นางต้องเรียนรู้ทักษะกู่ฉินโดยไม่มีกู่ฉินในบ้าน แต่กลับมีทักษะกู่ฉินยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้
ตอนนั้นเอง เขาจึงบอกนางว่าจะช่วยสร้างกู่ฉินให้
ทว่าในตอนนั้นเขามัวแต่ง่วนอยู่กับการช่วยชายชรารักษาอาการบ้าจึงไม่มีเวลาว่างเลย
หลังจากการรักษาชายชราในช่วงเวลานี้ อาการของอีกฝ่ายก็ทุเลาลงมาก ไม่ได้ฝันถึงการเป็นผู้ฝึกตนอีกต่อไป และไม่ได้พูดเรื่องผู้ฝึกตนอีกแล้ว
เขารู้สึกว่าชายชราเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องช่วยทำกู่ฉินให้เด็กสาวด้วย วันนี้เขาจึงมาชวนหลิงอินไปเนินเขาเขียวเพื่อหาไม้ทำกู่ฉิน
หากจะตัดไม้ในเนินเขาก็ไม่ค่อยสะดวกเสียเท่าไหร่ที่จะนำแมวขาวตัวน้อยมา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ได้พามันมาด้วย
‘ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ถึงกับสร้างกู่ฉินให้ข้า!’
หัวใจของหลิงอินเต้นกระหน่ำด้วยความซาบซึ้ง
ผู้อาวุโสสอนเสียงกู่ฉินให้นางและยังช่วยนางสำรวจวิถีแห่งกู่ฉินด้วย สิ่งนี้เองที่ทำให้นางฝึกฝนได้เร็วยิ่งยวด และการฝึกตนของนางในทุกด้านก็สมบูรณ์แบบมาก มันไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย!
ใช่…
วันนี้นางเริ่มฝึกตนแล้ว!
ไม่กี่วันมานี้ นางไม่เคยฝึกฝนเลย
ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ได้ปรับปรุงทักษะกู่ฉินอันโดดเด่นและเล่นให้นางฟังเป็นการส่วนตัว แสดงให้เห็นถึงวิถีแห่งกู่ฉินแบบใหม่ ซึ่งนางได้รับประโยชน์อย่างมากมาย!
ไม่กี่วันมานี้ นางไม่ได้เริ่มฝึกฝน เพราะกำลังทำความเข้าใจวิถีแห่งกู่ฉินที่ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่แสดงให้เห็น
จนในที่สุดนางก็ตระหนักถึงบางสิ่งและค่อย ๆ เริ่มฝึกฝนไป
ทว่าทันทีที่เริ่มฝึกฝน นางก็ต้องตกใจ
เป็นเรื่องเหลือเชื่อยิ่งนักที่ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่แสดงวิถีแห่งกู่ฉินแบบใหม่ ที่เหนือกว่าวิถีแห่งกู่ฉินที่นางเคยฝึกฝนมาก่อนหน้า!
ทันทีที่ฝึกฝน นางรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างมาก และตระหนักถึงปัญหาที่นางมีในวิถีแห่งกู่ฉินที่นางฝึกฝนมาก่อนหน้านี้…
หากยังฝึกฝนตามวิถีแห่งกู่ฉินแบบก่อนหน้า แม้ว่านางจะมีอีกหนึ่งอายุขัย บัลลังก์ก็ยังคงอยู่ไกลเกินเอื้อมอยู่ดี
แต่หลังจากฝึกฝนวิถีแห่งกู่ฉินแบบใหม่ที่อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่แสดงให้เห็น จู่ ๆ นางก็รู้สึกถึงความแตกต่างจนพัฒนาขึ้นอย่างมากในทุกด้าน ทีนี้บัลลังก์ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ยามนี้นางเริ่มคาดหวังจะเป็นจักรพรรดิและก้าวไปถึงระดับที่สูงยิ่งกว่านั้นแล้ว ซึ่งก็คือขอบเขตมหาจักรพรรดิ!
มาตอนนี้ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ต้องการทำกู่ฉินให้นาง นี่จะไม่ให้ซาบซึ้งได้อย่างไร
ด้วยขอบเขตของผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ กู่ฉินที่สร้างจะไม่ใช่กู่ฉินอันยิ่งใหญ่เชียวหรือ?
นี่จะต้องเป็นกู่ฉินล้ำค่าที่เหนือจินตนาการอย่างแน่นอน!
แม้ว่านางที่เป็นเทพธิดาแห่งกู่ฉิน มันก็คงเทียบไม่ได้แน่นอน!
ถึงกระนั้นหลิงอินยังคงแคลงใจอยู่เล็กน้อย
ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่บอกว่าจะพานางไปเนินเขาเขียวเพื่อตัดต้นไม้ อืม~ …มีต้นไม้ล้ำค่าในเมืองชิงซานด้วยหรือ?
นางสับสนงงงวย แต่ไม่กล้าออกปากถามไปมากกว่านี้
เมื่อผู้มีอำนาจลงมือกระทำสิ่งใด นั่นย่อมต้องมีความหมายลึกซึ้ง นางไม่สามารถต่อกรกับผู้ยิ่งใหญ่และทำให้พรกลายเป็นหายนะได้
เนินเขาเขียวอยู่ไม่ไกลนักเลยใช้เวลาไม่นาน หลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินก็มาถึง
ชายหนุ่มคุ้นเคยกับถนนหนทางดีจึงพาหลิงอินเข้าไปในส่วนลึกของพงไพร
“แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว…”
หลี่จิ่วเต้าเลือกต้นไม้ที่เหมาะสมในการสร้างกู่ฉิน
นี่คือต้นไม้สูงตระหง่านที่มีความหนาเพียงไม่กี่คนโอบ มันเป็นต้นหนานมู่เก่าแก่ชั้นดีที่สุดสำหรับทำกู่ฉิน!
หลิงอินมองขึ้นลงที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ ด้วยความสงสัยว่านี่คือต้นไม้สมบัติล้ำค่าชนิดหนึ่งหรือไม่?
‘ไม่เห็นจะรู้สึกอันใดเลย…’
นางครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเริ่มค้นหาด้วยสัมผัสวิญญาณ ทว่าก็ไม่พบสิ่งพิเศษเกี่ยวกับต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เลย…
ในความคิดของนาง นี่คือต้นหนานมู่เก่าแก่ธรรมดาสามัญ
…
บนท้องฟ้าสูงของเนินเขาเขียว นาวาเทวะปรากฏขึ้นและหายไปเป็นครั้งคราว โผทะยานผ่านความว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง
“ซากโบราณสถานยากจะเปิดออก และสมบัติในนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ยากจะจินตนาการได้ ข้าต้องกลับไปรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับซากโบราณสถานต่อหน้าปรมาจารย์สวรรค์ และให้ปรมาจารย์สวรรค์นำสมบัติศักดิ์สิทธิ์มาช่วย!”
บนนาวาลำนั้น ชายชราผมขาวพึมพำกับตัวเอง
ต่อให้วันเวลาผันผ่านไม่กี่วัน ต่อให้ผู้แข็งแกร่งจะจัดรูปแบบและรวบรวมกำลังของทุกคนเข้าด้วยกัน มันก็ยังยากที่จะสร้างความเสียหายให้กับซากโบราณสถานได้อยู่ดี…
และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะโจมตีไปอีกสองสามเดือน มันก็ยากที่จะได้ผล
เขาต้องการกลับไปภาคกลางและให้ปรมาจารย์สวรรค์นำสมบัติศักดิ์สิทธิ์มาช่วยเขา ซากโบราณสถานนี้ซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคิด!
มันอาจมีสมบัติล้ำค่าท้าทายสวรรค์อยู่ในนั้น!
นอกจากนี้ ไม่เพียงแค่เขาที่กำลังกลับ ยังมีคนแข็งแกร่งอีกหลายคนกลับมาด้วย พวกเขาล้วนแต่ต้องกลับไปรายงานเรื่องซากโบราณสถานที่นี่ และต้องให้ผู้ที่แข็งแกร่งกว่ามา
แกร็ก!
พลันมีเสียงแตกหักอย่างกะทันหันจากตัวเรือ พริบตาเดียวเรือทั้งหมดก็ระเบิดในทันที เศษซากชิ้นส่วนกระจัดกระจายร่วงหล่นสู่พื้น!
“สถานการณ์อะไรกันนี่!”
ชายชราผมขาวรู้สึกหวาดกลัว แต่โชคดีที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วจึงรีบหนีออกมาได้ทันท่วงที
ถึงกระนั้นเขายังได้รับผลกระทบจากพลังบางอย่าง และร่างทั้งร่างก็ร่วงหล่นจากอากาศสู่ส่วนลึกของเนินเขาเขียวราวกับถูกพัดตกอย่างแรง!
ปากของชายชราเต็มไปด้วยเลือดและกระดูกทั่วร่างแตกหัก ซึ่งหมายความว่าเขาหนีได้ไวพอ หากช้ากว่านี้มีหวังถูกพลังนั้นฉีกเป็นชิ้น ๆ ไม่ต่างจากเรือเป็นแน่!
“ผู้ใดเป็นคนทำ!”
คลื่นนับพันโหมซัดอยู่ในใจ สีหน้าผู้พูดเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ต้องทราบว่า ‘หูช่วง’ ชายชราผู้นี้เป็นถึงตัวตนทรงพลังอันดับต้น ๆ ในภาคกลาง เขาเป็นผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ของแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน และการฝึกฝนของเขาก็หาได้ต่ำต้อยไม่ ทว่าเขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัสจากแรงระเบิดเช่นนี้?
“นาวานี่เป็นสมบัติโบราณเชียวนะ!”
สิ่งที่ทำให้เขาเหลือเชื่อยิ่งกว่าคือ นาวาที่เขานั่งนั้นเป็นสมบัติโบราณ มันไม่เพียงเดินทางผ่านความว่างเปล่า แต่ยังต้านทานแรงระเบิดของกองกำลังอันทรงพลังได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ยามนี้มันกลับถูกทำลายในพริบตา!?
“ท่านผู้นั้นเป็นใครกัน!”
เขาสูดไอเย็นเข้าตัว แผ่นหลังสั่นเทาทั้งที่เย็นเยียบ ดูเหมือนว่าเขาจะ…ได้พบกับผู้ยิ่งใหญ่ที่คาดไม่ถึงเสียแล้ว!
…
“เสียงอะไรน่ะ”
หลี่จิ่วเต้ากำลังตัดต้นไม้ด้วยขวาน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดัง ทว่าเมื่อหันมองไปรอบ ๆ กลับไม่พบอะไรเลย
ถึงอย่างนั้นแล้ว บนเนินเขาเขียวก็มีสัตว์ป่าอยู่มากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีเสียงดัง ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มเลยไม่ได้สนใจอีกและหันไปโค่นต้นไม้ใหญ่ต่อ
ส่วนหลิงอินนั้น นางไม่ได้สังเกตสิ่งใดเลย เพราะสายตาและความสนใจของนางล้วนจับจ้องไปยังขวานในมือของหลี่จิ่วเต้า…