รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 99 น่าเบื่อนัก มาแข่งกันว่าผู้ใดฆ่าได้เยอะกว่ากัน!

บทที่ 99 น่าเบื่อนัก มาแข่งกันว่าผู้ใดฆ่าได้เยอะกว่ากัน!

บทที่ 99 น่าเบื่อนัก มาแข่งกันว่าผู้ใดฆ่าได้เยอะกว่ากัน!

ดาวเคลื่อนดาราคล้อย ข้ามน้ำข้ามทะเล หมิงเยวียเดินทางเป็นพันลี้ในหนึ่งก้าว ประดุจลำแสงที่ทะลุผ่านขุนเขา หมายจะสลัดให้หลุดจากการไล่ฆ่าของหูช่วง

ทว่าหูช่วงยังคงไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ และไม่ยอมแพ้แม้แต่วินาทีเดียว มิหนำซ้ำเขายังไล่ตามมาเป็นระยะทางทั้งหมดหลายหมื่นลี้แล้วด้วย!

“บัดซบ! หูช่วง ข้าไปฆ่าพ่อเจ้าหรือแย่งเมียเจ้าหรือไร? เจ้าถึงต้องมาไล่ฆ่าข้าอยู่แบบนี้!”

หมิงเยวียบันดาลโทสะขึ้นมา ทว่าก็เจือความน้อยใจอยู่นิดหน่อยเช่นกัน

เขาทำอะไรไปหรือ หูช่วงถึงต้องไล่ล่าเขาอยู่เช่นนี้ ประหนึ่งว่าเขากับหูช่วงมีความแค้นต่อกันระดับฆ่าพ่อแย่งเมีย…

“สิ่งที่เจ้าทำร้ายแรงกว่าเรื่องพวกนี้ทั้งหมด!”

สีหน้าของหูช่วงเย็นชายิ่ง เขารีดเร้นพลังจากศาสตร์เวทย์ประจำกายไม่หยุด จากนั้นก็ปล่อยลำแสงน่ากลัวออกไปลำแล้วลำเล่า โจมตีใส่หมิงเยวียไม่หยุด

ทำให้ท่านเซียนไม่พอใจ จนท่านเซียนออกคำสั่งสังหารเช่นนี้ นี่ร้ายแรงยิ่งกว่าความแค้นฆ่าพ่อแย่งเมียเสียอีก!

อย่างเช่นที่เขาได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าหมิงเยวียหนีไปที่ใด หมิงเยวียก็หนีเคราะห์ครั้งนี้ไม่พ้น จำต้องตายเพื่อชดใช้ความผิดเท่านั้น!

“ไปตายเสีย! ปุถุชนพวกนั้นเป็นพ่อเจ้าหรือไร!?”

หมิงเยวียเดือดดาล หนนี้ช่างบ้าบอยิ่งนัก เขาต้องมาโดนไล่ฆ่าเพราะสังหารปุถุชนไปจำนวนหนึ่งอย่างนั้นหรือ? เกรงว่านี่จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโลกแห่งการฝึกตนกระมัง!

เขาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่ามีผู้ใดถูกไล่ฆ่าเป็นหมื่นลี้เพียงเพราะสังหารปุถุชน!

น่าโมโหสิ้นดี เขาโกรธจนอวัยวะภายในแทบระเบิด อยากจะหยุดแล้วสู้กับหูช่วงสักแปดร้อยยก ตัดสินชะตาไปเลยก็ดี!

อนิจจา…คิดได้เช่นนั้น แต่เขากลับไม่กล้าจริง ๆ!

ต่อให้เอาชนะหูช่วงได้ก็เปล่าประโยชน์ เบื้องหลังของหูช่วงยังมีแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน ส่วนเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนไร้สำนัก เขาไม่กล้าลงมือปลิดชีพหูช่วงจริง ๆ

ขืนฆ่าหูช่วงจริง ๆ แดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนย่อมไม่ปล่อยเขาไว้ ถึงครานั้น เขาคงหมดทางรอดจริง ๆ แล้ว…

หมิงเยวียเร่งความเร็วหนี ไม่กล้าชะลอแม้แต่น้อย หนีอุตลุดไปอีกหลายหมื่นลี้

ทว่าหูช่วงกลับไม่ยอมปล่อยเขาไป และยังไล่ฆ่าเขาอยู่!

“สหายลู่ชวง…?”

ม่านตาของเขาไหวระริกเมื่อได้เห็นยอดฝีมือคุ้นหน้า ซ้ำแล้วอีกฝ่ายก็กำลังโดนผู้อาวุโสจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนไล่ฆ่าอยู่เช่นกัน

“แดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคิดจะทำอันใดกัน!”

เขางุนงงอย่างสิ้นเชิง

ลู่ชวงเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายเจ็ดดารา ความสามารถเทียบเคียงยอดฝีมือจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ไฉนวันนี้ถึงโดนแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนไล่ฆ่าด้วย

“หัวหน้าพรรครุ่นก่อนของพรรคไป่จี๋…”

หมิงเยวียได้เห็นคนคุ้นหน้าอีกท่าน นี่ก็ถูกไล่ฆ่าเช่นกัน ซ้ำยังกำลังหนีด้วยความเร็วสูงสุดด้วย

ผู้ที่ไล่ฆ่าเขาก็คือยอดฝีมือจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน!

ตึง ตึง ตึง!

พสุธาสั่นไหวรุนแรง เป็นคชมังกรขนาดมโหฬารตัวหนึ่งห้อตะบึงหนีบางอย่าง พอมองดูดี ๆ ด้านหลังมียอดฝีมือจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนไล่ฆ่าอยู่เช่นกัน!

เขารู้สึกวิงเวียน เอากับมันสิ คชมังกรตัวนี้เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของราชันคชมังกรแห่งเผ่าคชมังกร รายนี้ก็ยังโดนแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนไล่ฆ่าด้วยหรือ…

นิกายเจ็ดดารา พรรคไป่จี๋ เผ่าคชมังกร ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกลุ่มอำนาจระดับต้น ๆ ของภาคกลาง ด้อยกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงนิดเดียวเท่านั้น!

‘นี่มันเรื่องอันใดกัน!’

เขาสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างมาก หนนี้แดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเล่นแรงเกินไปจริง ๆ พวกเขาต้องการสิ่งใดกันแน่!?

“โดนไล่ฆ่าเพียงเพราะสังหารปุถุชนอย่างนั้นหรือ???”

เขาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หูได้ยินเพียงเสียงคำรามกราดเกรี้ยวจากผู้อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายเจ็ดดารา หัวหน้าพรรครุ่นก่อนแห่งพรรคไป่จี๋ และพี่ชายแท้ ๆ ของราชันคชมังกร

พวกเขาโดนคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนไล่ฆ่าอย่างไม่ลดละ เพราะสังหารปุถุชนในเมืองอย่างนั้นหรือ…

“บ้าเอ๊ย! แดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกลายเป็นผู้พิทักษ์ปุถุชนไปแล้วหรือไร!?”

เขาก่นด่าไม่หยุด คิดไม่ตกเลยว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคิดจะทำอะไร อาละวาดไล่ฆ่าไปทั่วทุกหนแห่งเพียงเพราะปุถุชน ไม่เคยมีกลุ่มอำนาจใดทำเช่นนี้มาก่อน!

พรวด!

เลือดสาดกระเซ็นในบัดดล เป็นการโจมตีของหูช่วงถาโถมเข้ามา เขาโดนเข้าเพราะใจลอยจึงหลบมิทัน แล้วแขนขวาทั้งแขนก็ระเบิดเป็นผุยผงทันที!

หมิงเยวียทั้งโมโหทั้งตะลึง ทว่าไม่กล้าหยุดยั้งแต่อย่างใด

หากก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหูช่วงเพียงแสดงไปอย่างนั้น แต่หลังได้เห็นเหล่าคนที่โดนแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนไล่ฆ่าเหมือนกัน… เขาก็ไม่คิดเช่นนั้นอีกต่อไป!

มิได้เป็นการแสดง หูช่วงกับแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเอาจริง!

ณ เมืองหลัวชวน

เมืองปุถุชนซึ่งมีขนาดมโหฬาร ซ้ำยังมีจำนวนประชากรเฉียดล้าน และอาณาเขตกว้างขวาง

เมืองนี้ถูกล้างบางเช่นเดียวกัน ศพผู้คนเกลื่อนกลาดไปทั่ว เดิมเคยมีปุถุชนนับล้าน แต่บัดนี้เหลือเพียงหลักพันเท่านั้น…

“ฮี่ฮี่ กู้เฟย ดูท่าเจ้าใกล้แพ้แล้ว…”

ดรุณีน้อยอายุราว ๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี ดวงหน้าของนางสดใส รูปร่างอรชรสมบูรณ์ และมีรูปโฉมพิลาสล้ำราวกับเทพเซียนที่จุติลงมาจากสวรรค์

ทว่าทั้งที่นางงดงามดุจเทพเซียน แต่กลับโหดเหี้ยมยิ่งกว่าผู้ใด แส้ยาวในมือทั้งฟาดทั้งเหวี่ยง พริบตาเดียวก็ระเบิดหัวของปุถุชนไปหลายสิบคน

“สี่แสนแปดหมื่นพอดี!”

นางเอียงคอ ปากนับจำนวนดูท่าทางน่ารักไม่หยอก

อสรพิษในคราบหญิงงาม คำนี้เหมาะกับใช้บรรยายเด็กสาวผู้นี้อย่างยิ่งยวด เพราะนางสังหารปุถุชนไปถึงสี่แสนแปดหมื่นคนแล้ว!

“อีอีเก่งจริง ๆ ข้านี่ใช้ไม่ได้เลย เพิ่งฆ่าไปได้สี่แสนหกหมื่นกว่าเท่านั้น ต่อให้ข้าฆ่าปุถุชนที่เหลือทั้งหมด ก็เอาชนะเจ้าไม่ได้หรอก”

เด็กหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งหัวเราะเบา ๆ ยอมรับความพ่ายแพ้

มนุษย์เราไม่อาจมองแต่เพียงภายนอกจริง ๆ

หนึ่งเด็กสาวงดงามดุจเทพเซียน หนึ่งเด็กหนุ่มสูงส่งดุจเทวดา แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเลือดเย็นยิ่งกว่าผู้ใด อีกทั้งตอนนี้กำลังแข่งกันว่าผู้ใดฆ่าปุถุชนได้มากกว่ากันด้วย…

“รู้ว่าข้าเก่งก็ดีแล้ว หลังจากนี้อย่าลืมเรียกข้าว่าท่านพี่อีอีเล่า!”

เด็กสาวเชิดใบหน้างดงามและเอ่ยอย่างทะนงตัว

พวกเขาแข่งกันว่าผู้ใดเข่นฆ่าปุถุชนได้มากกว่า ฝ่ายแพ้ต้องเรียกฝ่ายชนะว่าท่านพี่

“ได้เลย ไม่มีปัญหา ท่านพี่อีอี”

เด็กหนุ่มชุดเขียวยอมรับความพ่ายแพ้ จึงเรียกเด็กสาวว่าท่านพี่

“ดีมาก น้องชายกู้เฟยผู้แสนดี”

ถังอีอียิ้มสดใสราวบุปผาแย้มบาน นี่เพราะรู้สึกดีใจสุด ๆ

“อย่าเพิ่งได้ใจไป กล้าพนันกับข้าต่อหรือไม่ พวกเราไปแข่งกันต่อที่เมืองถัดไปเถิด!”

กู้เฟย เด็กหนุ่มชุดเขียวกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้

“แข่งก็แข่ง ข้าต้องกลัวเจ้าหรือไร!”

“เจ้าพูดเองนะ! พวกเราไป มุ่งหน้าไปยังเมืองถัดไป”

พูดจบ พวกเขาทั้งสองก็ตั้งท่าจะเหินอากาศออกจากที่นี่ มุ่งหน้าไปยังเมืองปุถุชนถัดไป

ฟึ่บ!

ทว่าในเวลานั้นเอง กลับมีร่างหนึ่งปรากฏกายตรงหน้าพวกเขา ขวางทางไปของพวกเขาไว้

“ฮี่ฮี่ ท่านอาเฮ่อมาได้อย่างไร!?”

หลังเด็กสาวเห็นคนมาใหม่ ก็เรียกขานอย่างสนิทสนมทันที

“สวัสดีท่านอาเฮ่อ”

เด็กหนุ่มทักทายอย่างมีมารยาท

ผู้มาเยือนมองเด็กหนุ่มและเด็กสาวก่อนจะลอบถอนหายใจ กลัวสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมเกิดขึ้นจริง ๆ…

เขารู้จักเด็กหนุ่มและเด็กสาวคู่นี้ดี ทั้งสองต่างมีภูมิหลังไม่ธรรมดา ล้วนมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์

เด็กหนุ่มมีนามว่ากู้เฟย มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ไร้กำเนิด

เด็กสาวมีนามว่าถังอีอี มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ร้อยบุปผา

ขณะเดียวกัน เด็กทั้งคู่ก็มิใช่สมาชิกแดนศักดิ์สิทธิ์ธรรมดา

กู้เฟยคือบุตรชายของประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์ไร้กำเนิด ขณะที่ถังอีอีคือบุตรสาวของประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์ร้อยบุปผา

หากฆ่าสองคนนี้ เขากับแดนศักดิ์สิทธ์ไร้กำเนิดและแดนศักดิ์สิทธิ์ร้อยบุปผาต้องผูกใจเจ็บกันเป็นแน่ อีกทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ไร้กำเนิดและแดนศักดิ์สิทธิ์ร้อยบุปผาย่อมไม่ยอมเลิกราโดยง่ายแน่

“ภาคกลางดีปานนั้น เหตุใดพวกเจ้าต้องมาเพ่นพ่านที่นี่ด้วย…”

ผู้มาเยือนมองกู้เฟยและถังอีอี

“ข้าเบื่อหน่ายจะอยู่ภาคกลางแล้ว ถึงได้ขอร้องท่านแม่ขอติดตามมาด้วย!”

ถังอีอียังไม่รู้ว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้นกับตน จึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ข้าเองก็เช่นกัน อยู่ภาคกลางไปก็เบื่อ จึงขอติดตามท่านพ่อมาที่แดนบูรพาทิศด้วย”

กู้เฟยก็ไม่รู้ตัวว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้นกับตนเช่นกัน เขาเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกับถังอีอี

“เบื่อแล้วพวกเจ้าก่อเหตุสังหารหมู่ได้หรือ พวกเจ้าเองก็เป็นมนุษย์ ไยจึงทำกับปุถุชนได้ลงคอ!?”

ผู้มาเยือนโกรธจนตัวสั่น “ศพกองกันเกลื่อนเมือง เลือดไหลราวกับลำธาร พวกเจ้าเพิ่งอายุสิบกว่าปี เหตุใดจิตใจถึงโหดเหี้ยมทารุณปานนี้!?”

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท